ย้อนมาถึงเรื่องพุทธศาสนา ดิฉันเข้าใจจากที่อ่านบทความของพระมหาประเสริฐในค.ห. 32 ว่าประชาธิปไตยในกลุ่มพระสงฆ์สมัยพุทธกาล หมายถึงการดำเนินงานด้านพระวินัย ไม่ใช่จุดมุ่งหมายของพุทธศาสนา กล่าวคือการจะกำหนดพระวินัยขึ้นมาสักข้อก็ต้องฟังเสียงของที่ประชุมสงฆ์ว่าเห็นพ้องต้องกันหรือไม่ ไม่ใช่เป็นการกำหนดจากเบื้องบนคือพระพุทธองค์ลงมาให้เบื้องล่างคือพระภิกษุทั้งหลายปฏิบัติ
ไม่มีครับ พระพุทธองค์ทรงบัญญัติพระวินัยหลังจากที่มีผู้มาฟ้องว่าพระสงฆ์ประพฤติไม่ชอบเช่นนั้นเช่นนี้ เมื่อทรงเห็นด้วยก็ทรงบัญญัติห้ามทีละข้อสองข้อ จนเป็น๒๒๗ข้อ โดยไม่เคยให้คณะสงฆ์โหวตเอาหรือไม่เอาเลย
ครั้งหนึ่งเทวทัตเคยเสนอให้ทรงบัญญัติข้อห้ามสี่ข้อ ทรงไม่เห็นด้วย เทวทัตก็แยกตัวออกไปพร้อมสงฆ์จำนวนหนึ่ง ก็ทรงปล่อยไป ซึ่งก็ถูกแล้ว หากเห็นว่าสังคมนี้ไม่น่าอยู่ก็ออกไปได้ไม่มีใครว่า แต่ถ้าจะอยู่ก็ต้องทำตามข้อบัญญัติของพระองค์
พุทธศาสนาเลือกคนที่จะเข้ามาบวชเป็นพระภิกษุ มีข้อแม้หลายประการ ถ้าผ่านจึงจะยอมให้บวช แต่ถ้ามีสงฆ์ค้านแม้แต่องค์เดียวระหว่างการบวช ก็ถือว่าเป็นโมฆะ ปัจจุบันเวลาพระสวดญัตติ องค์อื่นที่นั่งหัตถบาตจะต้องอยู่ในอาการนิ่งสำรวม ถ้าขยับตัวยุกยิก ท่านจะหยุดเพื่อถามว่าท่านคัดค้านหรือ หากไม่ก็ต้องเริ่มต้นสวดกันใหม่
วิธีการเช่นนี้ ไม่ถือว่าใช่ประชาธิปไตยนะครับ