
ดิฉันสะดุดใจนิดหนึ่งตรงที่ศาลพิเศษใช้คำว่า เพื่อเป็นกำลังทำลายล้างรัฐบาล
ความจริงตั้งแต่เริ่มแรก การลอบยิงและวางยาพิษหลวงพิบูลนั้น ถ้าหากว่าเกิดขึ้นจริง ก็เป็นการประทุษร้ายต่อตัวบุคคล หาใช่รัฐบาลทั้งชุดไม่ การอ้างว่าเตรียมคนไปทำร้ายพระยาพหลฯและนายปรีดี ก็คือประทุษร้ายต่อตัวบุคคลเช่นกัน
ที่ตลกคือ หลังจากลงมือไม่สำเร็จ ผู้วางแผนก็ดูเหมือนว่าจะเลิกเอาใจใส่คนสำคัญคนอื่นอีก ทำหนเดียวเลิกคิดทำไปเลย หันมาตั้งหน้าตั้งตาประทุษร้ายหลวงพิบูลฯคนเดียว
สมมุติว่า ต่อให้เกิดตายกันขึ้นมาจริงๆ ทั้งพระยาพหลฯ หลวงพิบูลฯและนายปรีดี ก็มิใช่ว่ารัฐบาลจะล้ม จนต้องกลับสู่ระบอบสมบูรณาฯ เพราะรัฐมนตรีที่เหลือ กับส.ส.ทั้งสภาเขาก็ต้องหาคนใหม่ในคณะรัฐมนตรีขึ้นมาเป็นนายกฯรักษาการณ์จนได้ ใครจะยอมสละตำแหน่งล้มเลิกรัฐบาลทั้งคณะ และล้มสภากันไปง่ายๆ
ก็ทีประธานาธิบดีลินคอล์นถูกยิงตายเอย ประธานาธิบดีเคนเนดี้ถูกลอบสังหารเอย ก็ไม่เห็นรัฐบาลอเมริกันชุดนั้นจะล้มกันสักครั้งเดียว
ด้วยเหตุนี้หรือเปล่าจึงต้องมีการเสริมข้อหาให้กลายเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐบาล เพราะข้อหามุ่งสังหารหลวงพิบูลฯคนเดียวยังไม่หนักแน่นพอ จึงมีการกล่าวหาเพิ่มเติม โดยเล็งเป้าหมายที่กรมขุนชัยนาทฯว่า คิดการล้มล้างรัฐบาลชุดนี้ เพื่อจะเชิญเสด็จสมเด็จพระปกเกล้าฯกลับมาแล้วให้พระยาทรงสุรเดชเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งๆตามคำกล่าวหาและพยานบุคคล ผู้ร่วมมือที่จะลงมือกับเสด็จในกรมฯ ก็มีแต่คนขับรถชาวบ้านกิ๊กก๊อกสองสามคนเท่านั้น
ราวกับว่าไม่มีหลวงพิบูลฯเสียคนเดียว ผู้ก่อการทั้งหลายตลอดจนนายทหารและส.ส.ที่สนับสนุนระบบรัฐสภาอีกมากมายก่ายกอง มาตลอดตั้งแต่พ.ศ. 2475 จน 2482 จะปล่อยมือจากบ้านเมืองโดยสิ้นเชิง ให้ใครทำอะไรก็ได้ไม่ว่ากัน
แต่ศาลพิเศษก็ยังเชื่อว่าเสด็จในกรมทรงกระทำผิดจริง