ยินดีต้อนรับ
ท่านผู้มาเยือน
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
หน้าแรก
ตู้หนังสือ
ค้นหา
ข่าว
: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
เรือนไทย
>
General Category
>
ภาษาวรรณคดี
>
"มะจาเร่", "ฮัดช่า", "ฮัลเลวังกา" แปลว่าอะไร
หน้า: [
1
]
พิมพ์
อ่าน: 7034
"มะจาเร่", "ฮัดช่า", "ฮัลเลวังกา" แปลว่าอะไร
bahamu
อสุรผัด
ตอบ: 38
เมื่อ 16 ก.ค. 12, 13:30
มาจากภาษาใด แล้วยี่เก โบราณต่างจากสมัยนี้มากไหม แล้วกลายเป็นการแสดงได้อย่างไร
ต่างจากละครพันทางอย่างไร นอกจากเสื้อผ้า เพราะบทเจรจาเป็นกลอน ไม่ใช่แบบละครเวที
แล้วเสื่อมความนิยมแบบงิ้วหรือเปล่า สมัยก่อนช่อง9 จะมีลิเกตอนบ่าย หรือซื้อวิทยุไปฟังลิเก แล้วลูกค้าเอามาคืนเพราะมีแต่ทหารพูดออกวิทยุ
เวลาออก " แขก "ของ " ลิเก " บ้านเรา
ก็จะมีคนแต่งตัวเหมือนแขก " อินเดีย " ออกมาร้องว่า .............. " ฮัลวังกา เชิญทัศนา ชมลิเก " เป็นมุสลิมอย่างเดียวหรือ
อย่างในหนังโหมโรง จะมีอาบังมาออกแขก แล้วไปพูดกระทบ เลยไม่ได้เล่น แสดงว่าในแต่ละวันลีลาออกแขก จะไม่ซ้ำกันใช่หรือไม่
ลิเกของเรามาแล้ว ขอเชิญน้องพี่ เข้ามานั่งสิ
ลีลาไม่ทันสมัย ต้องของอภัย ประทานโทษที
(จำไม่ได้ แต่กล่าวกระทบท่านผู้นำ)
ฮัลเลวังกา...ลิเกไม่มี
บันทึกการเข้า
siamese
หนุมาน
ตอบ: 7165
หนุ่มรัตนะกับภูเขาทอง
ความคิดเห็นที่ 1
เมื่อ 17 ก.ค. 12, 09:27
ในสมัยช่วง ๒๐ ปีมานี้มารายการโทรทัศน์ของกองทัพบกช่อง ๕ แพร่ภาพออกอากาศ "ลิเก" คณะวิญญู จันทร์เจ้า เพื่อสืบทอดศิลปะการแสดงลิเกไว้
การออกแขกเสมือนหนึ่งการไหว้ครูโขน ครูละคร ต้องมีการออกแขกทุกครั้ง ซึ่งคำว่า "ลิเก" มาจากคำว่า "ดิเกร์" เป็นภาษาเปอร์เซียร์
ดิเกร์ นั้นมีรากศัพท์ดั้งเดิมจากคำว่า "ซิกูร์" ซึ่งมีความหมายว่า เป็นพิธีการสวดอย่างหนึ่งในระหว่างสวดพระคัมภีร์อัลกุลอ่าน ซึ่งการสวดพระคัมภีร์กินเวลานาน มีการสวดอยู่ ๒ แบบคือ สวดแบบออกเสียง และไม่ออกเสียง ซึ่งในสมัยราชวงศ์โมกุล ที่ประเทศอินเดียได้รับวัฒนธรรมมุสลิมเข้าไปผสม จึงเรียกการสวดในลักษณะที่ออกเสียงว่า Dhikir - ดฮิกิร โดยเป็นการสวดพระคัมภีร์ที่โยกตัวไปมา และเปล่งเสียงเพื่อลดความง่วงในระหว่างการสวด
พ่อค้าชาวอินเดียเข้ามาค้าขายที่หมู่เกาะสุมาตรา ก็นำเอาหลักศาสนาและวิธีการสวดพระคัมภีร์อัลกุลอ่านติดเข้ามาด้วย และเรียกเพี้ยนกันไปว่า Dikir - ดจิกะระ และยังมีผลเข้ามายังดินแดนภาคใต้ของประเทศไทยแล้วเรียกเพี้ยนไปอีกทอดหนึ่งว่า Dikay - ดิจเก เมื่อวัฒธรรมนี้เข้ามาในช่วงรัชกาลที่ ๓ - ๕ ชาวสยามก็เรียกกันเลยว่า "ยี่เก"
เมื่อดิเกร์ - ลักษณะการสวดพระคัมภีร์อัลกุลอ่าน ผสมผสานกับการร้องลำตัด กลายเป็นศิลปะการแสดงประเภทใหม่ เรียกว่า ดิเกร์ มัลฮาแบร์ - ลิเกฮูลู โดยใช้รำมะนา ประกอบการจังหวะแต่สำหรับชาวสยาม รับยี่เก ในอีกลักษณะหนึ่ง เป็นการแสดงการร้อง เล่นบนเวที แต่ยังคงไว้ซึ่งเครื่องดนตรีหลักคือ รำมะนา
ยี่เก กลายเป็น ลิเกพื้นบ้าน ลิเกป่า ลิเกทรงเครื่อง ลิเกไฮเทค และยังคงพัฒนาต่อมา สัปดาห์ที่แล้วเห็นมีการนำเอาดิจิตัล มาทำการสร้างฉากเสมือนจริง โดยไม่มีการวาดภาพพื้นฉากท้องพระโรง ป่าไม้ แต่เป็นระบบดิจิตอลสร้างภาพฉากท้องพระโรง ป่าไม้ ให้เสมือนจริง เป็นการต่อยอดลิเก ให้ล้ำยุคพัฒนาไปอีกขึ้นหนึ่ง
บันทึกการเข้า
siamese
หนุมาน
ตอบ: 7165
หนุ่มรัตนะกับภูเขาทอง
ความคิดเห็นที่ 2
เมื่อ 17 ก.ค. 12, 09:42
ลิเก ในสังคมชาวสยามมีอยู่ ๓ ลักษณะ ที่เกิดขึ้นในระวางรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
๑. ลิเกบันตน
๒. ลิเกลูกบท
๓. ลิเกทรงเครื่อง
แต่ก็ไม่มีอะไรจะเทียบเท่าลิเกทรงเครื่องของลิเกของพระยาเพชรปราณี ที่คิดเครื่องแต่งตัวอย่างกษัตริย์ พระมเหษี ท้าวพระยา สวมถุงเท้าขาว ใส่กำไลเท้า เล่นเรื่องจักรจักรวงศ์วงศ์ โดยมีการเล่นเรื่องแรกคือ "ลัษณะวงศ์" และเครื่องประดับก็เป็นเงิน ติดเพชรแพรวพราว บ้างสวมพู่ขนนกพองขาวไว้ที่ศีรษะ เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของยี่เก
บันทึกการเข้า
หน้า: [
1
]
พิมพ์
กระโดดไป:
เลือกกระทู้:
-----------------------------
General Category
-----------------------------
=> ศิลปะวัฒนธรรม
=> ภาษาวรรณคดี
=> ระเบียงกวี
=> ชั้นเรียนวรรณกรรม
=> หน้าต่างโลก
=> ประวัติศาสตร์โลก
=> ประวัติศาสตร์ไทย
=> ทันกระแส
=> วิเสทนิยม
=> ห้องหนังสือ
=> ชมรมอนุรักษ์ภาพจิตรกรรมไทย
Powered by SMF 1.1.21
|
SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder
XHTML
|
CSS
|
Aero79
design by
Bloc
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.027 วินาที กับ 19 คำสั่ง
Loading...