เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 2 [3] 4
  พิมพ์  
อ่าน: 15971 ศิลปะไทย ในมรดก ดอริส ดุ๊ก (Doris Duke)
piyasann
พาลี
****
ตอบ: 379


ความคิดเห็นที่ 30  เมื่อ 12 ก.ค. 12, 18:26

ในการประมูลครั้งนี้ มีไฮไลท์ มากมาย

ในหมวดจิวเวอร์รี่ ก็เช่น สร้อยคอมรกตบีท (เม็ดมรกตแบบเม็ดลูกประคำ) พร้อมสร้อยข้อมือเข้าเซ็ทกัน, แหวนเพชร emerald cut ๑๙.๗๒ กะรัต จากร้าน Tiffany & Co., สร้อยคอเพชร Belle Époque diamond and pearl pendant ของ Carteir (ชิ้นใหญ่ ๆ เป้งๆ มักเป็นของแม่เธอ ของแม่ดุ๊กเอง มักเป็นของชิ้นกำลังดี แต่มีดีไซน์มากกว่าความใหญ่)



บันทึกการเข้า
piyasann
พาลี
****
ตอบ: 379


ความคิดเห็นที่ 31  เมื่อ 12 ก.ค. 12, 18:33

ในหมวด ไวน์ เช่น แชมเปญ Dom Pérignon-Vintage 1921 , Château d'Yquem-Vintage 1929 (ไวน์หวานที่ดีที่สุดในโลก ตัวหนึ่ง) และ Romanée Conti-Vintage 1934 ซึ่งเป็นไวน์ที่เรียกกันว่า แพงที่สุดในโลก DDCF ก็เอาออกมาประมูลซ่ะ  ๑๘ ขวด !!!

แม่ดุ๊ก มี cellar ไวน์ ขนาดใหญ่ บรรจุไวน์ ฝรั่งเศสชั้นดี ซึ่งเธอไม่ได้ไปตามซุปเปอร์มาเก็ตแล้วซื้อมาทีละสอง สามขวด , ของเธอ ไวเนอรี่ชื่อดัง และเจ้าของชาร์โตในฝรั่งเศส จะต้องส่งจดหมายมาถึงเธอ แนะนำว่า วินเทจใหม่ของเขาดีอย่างไร  แล้วเธอก็จะส่งจดหมายตอบว่า จะเอาทีละกี่ ลัง หรือ กี่สิงลัง !!!!!!

ถ้าดูตามหนัง Bernard and Doris  ตา Lafferty นี่เป็นขี้เหล้ามีรสนิยมเริ่ดหรู ลักกินไวน์ราคาแพงของแม่ดุ๊ก เป็นลังๆ พอเธอลงมาสำรวจ เซลล่าไวน์ กลับไล่พนักงานดูแลห้องไวน์ ออก แทน !!!!!

Cellar ไวน์ของ แม่ดุ๊ก ยังน่าจะเก็บไวน์ดีๆ ของโลกไว้อีกมาก (เอามาประมูลแค่นิดเดียว) ทาง DDCF คงรอให้มูลค่าของไวน์ สูงขึ้น (เพราะเธอมีแต่ของเก่าเก็บและหายาก แพงขึ้นทุกปี) คงเปิดประมูลอีกต่อๆ ไป ......



บันทึกการเข้า
piyasann
พาลี
****
ตอบ: 379


ความคิดเห็นที่ 32  เมื่อ 12 ก.ค. 12, 18:38

ของอื่นๆ ก็เป็นพวกแต่งบ้าน และมีศิลปะวัตถุ บ้าง มีชิ้นเด็ดๆ หลายอัน

ท่านใดสนใจ เข้าไปดูรายการ The Doris Duke Collection ได้ที่

http://www.christies.com/special_sites/duke_jun04/highlights.asp?sale=1


ตัวอย่างเช่น โคมไฟ ดูเขรอะๆ แต่สวยชิ้นนี้ เป็นผลงานของ ร้านอัญมณีชื่อดัง Tiffany Studios  มีราคาประเมินอยู่ที่ ๖๐๐,๐๐๐ - ๙๐๐,๐๐๐ เหรียญสหรัฐ !!!!


บันทึกการเข้า
piyasann
พาลี
****
ตอบ: 379


ความคิดเห็นที่ 33  เมื่อ 12 ก.ค. 12, 18:43

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้  เป็นเพียง การแนะนำให้รู้จักว่ แม่ดุ๊ก หรือ Doris Duke คือใคร......... เธอมีความสำีัคัญกับการสะสมอย่างไร


มีคนกระทุ้งล่ะ ว่า นอกเรื่องไปไกล เลี้ยวเข้าเรื่องเสียที.........


หนึ่งในของสะสมของเธอ ก็คือ ศิลปะไทย ที่เธอพยายามรวบรวมไว้้ เพื่อทำเป็นโครงการ "Thai Village" ในสหรัฐอเมริกา


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
piyasann
พาลี
****
ตอบ: 379


ความคิดเห็นที่ 34  เมื่อ 12 ก.ค. 12, 20:05

Doris Duke กับ มรดก ศิลปะไทย

ดอริส ดุ๊ก เกิดขึ้นมาบนกองเิงินกองทอง กว่าเธอจะได้มีอิสระเสรี ก็เมื่อเธอ ได้รับมรดกของบิดา และแต่งงานครั้งแรก เมื่ออายุ ๒๓ ปี กับ James H. R. Cromwell ทั้งสอง ออกเดินทางฮันนีมูนรอบโลกด้วยกันในปีค.ศ. ๑๙๓๕ โดยเดินทางท่องเที่ยวใน อียิปต์, อินเดีย, สิงค์โปร์, ไทย, อินโดนิเซีย, ฟิลิปปินส์, ฮองกง,จีน, ญี่ปุ่น การเดินทางไปในเอเชียครั้งนี้ ทำให้ แม่ดุ๊ก หลงรักความเป็นโลกตะวันออกอย่างจัง......พร้อมๆ กับหลงใหลโลกศิลปะมุสลิม

ในการเดินทางครั้งนี้ ก็นับป็นครั้งแรก ที่แม่ดุ๊ก เดินทางมาเยือนเมืองไทย ......

(ในภาพ รบกวนคุณ Siamese ช่วย Key ด้วยว่า น่าจะเป็นสถานที่ใด? ขอเชิญท่านผู้เชียวชาญด้านภาพอย่างเอกอุ โปรดชี้แนะ)


บันทึกการเข้า
piyasann
พาลี
****
ตอบ: 379


ความคิดเห็นที่ 35  เมื่อ 12 ก.ค. 12, 21:14

การมาฮันนีมูนครั้งแรกนี้ ดูเหมือนแม่ดุ๊ก จะตกหลุมรักศิลปะตะวันออกกลางก่อน หลังจากจบทริปฮันนีมูนแล้ว เธอก็เริ่มก่อร่างสร้าง บ้าน Shangri La ที่ฮาวาย เพื่อเป็นบ้านพักในระหว่างฤดูหนาว ด้วยศิลปะอิสลาม ในหนังสือศิลปะของเธอกล่าวว่า เธอชอบ ทัชมาฮัลมาก แต่เธอคงคิดว่า จะจำลองมายังไงเนี้ยยยยย..... จะให้สวย ให้เริ่ด เหมือนของจริง เธอคงประมาณหมดตัวพอดี,  ทำอย่างอื่นดีกว่า ..........จึงออกมาเป็น บ้าน    แชงกาลีร่า ที่ ด้านนอกเรีบบหรู ดูเหมาะกับริมทะเล (เพราะสร้างด้วย หินด้วยปูนทั้งนั้น) แต่ด้านในซิ !!!!! แทบจะเป็นสวรรค์บนดิน.......


จนกระทั้ง เดือน มีนาคม ค.ศ. ๑๙๕๗  ในระหว่างท่องเที่ยวเอเชีย,   แม่ดุ๊ก แวะเดินทางมายังเมืองไทย กับกิ๊กของเธอ (เลิกกับสามีคนที่ ๑ แล้ว) คือ Joe Castro นักดนตรีแจ็สชื่อดัง และ เพื่อนของเขา Parviz กวีชาวอีหร่าน,  การมาเมืองไทยครั้งนี้ แม่ดุ๊กได้พบกับ François Duhau de Bérenx   ...... นาย de Bérenx จึงอาสาเป็นไกด์ พา แม่ดุ๊กและคณะท่องเที่ยวบางกอก พานั่งเรือชมทัศนียภาพตามคลองในกรุงเทพ

ต้องนึกว่า ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๐๐ สภาพกรุงเทพฯ คงยังน่าหลงไหลเพียงใด ได้ชมธรรมชาติ กับวิธีชีวิตของชาวไทย ที่ฝรั่งไม่เคยสัมผัส แน่นอนหล่ะ การท่องเที่ยวครั้งนี้ ทำให้แม่ดุ๊ก เธอติดในบรรยากาศชีวิตตามสายน้ำของคนไทยอย่างจังหนับ........


จบท้ายของทริป ด้วยการที่ แม่ดุ๊ก ได้รับเชิญไป ทานดินเนอร์ ที่ วังสวนผักกาด ของ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุมภฏพงศ์บริพัตร กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิต และหม่อม พันธุ์ทิพย์ บริพัตร ....... เรา, ท่านก็ทราบดีว่า วังสวนผักกาดนี้ เป็นแหล่งรวมของศิลปะวัตถุไทย ชั้นเลิศ มีการจัดวางได้อย่างดีเยี่ยม และท่านเจ้าของบ้าน (วัง) ก็ทรงเป็นผู้ใหญ่ที่น่าเคารพนับถือ   เมื่อ แม่ดุ๊ก ได้มาเห็นหมู่เรือนไทยหลังเล็กกระทัดรัด และ ศิลปะไทยของสะสมของ พระองค์จุมภฏ และของคุณท่าน ซึ่งจัดวางกับเครื่องเรือนและของสมัยใหม่จากยุโรปได้อย่างลงตัว กับทั้งอัธยาศัยไมตรีของเจ้าบ้าน ซึ่งก็เปรียบเสมือนตัวแทนของคนไทยทุกคน ก็หลงรัก อย่งแรง !!!!! เหมือนเช่นเมือ ๒๐ ปีที่แล้ว ที่เธอตกหลุมรัก ศิลปะโลกมุสลิม

ภาพ : ตู้พระธรรมขาสิงห์ สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น หนึ่งในคอเล็กชั่น ของแม่ดุ๊ก ไม่ได้แจ้งว่า ส่งมอบให้กับพิพิธภัณฑ์ใด อาจจะเป็นหนึ่งในหลายใบ ที่กลับมาอยู่ในเมืองไทย หลังจากออกนอกประเทศไป หลายสิบปี......



คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
piyasann
พาลี
****
ตอบ: 379


ความคิดเห็นที่ 36  เมื่อ 12 ก.ค. 12, 21:36

François Duhau de Bérenx นี้ เป็นฝรั่ง ที่เข้ามาอยู่ในเมืองไทย เขาว่าเป็นมัณฑนากร และ นายหน้าค้างานศิลปะหนุ่ม ซึ่งขณะนั้น ทำงานให้กับ ร้าน Star of Siam ร้านขายผ้าไหม และเสื้อผ้าสำเร็จรูป(เจ้าแรกๆ ) ของ Mrs. Vera Sykmam ที่โรงแรมเอราวัณ  

ค.ศ. ๑๙๕๙, สองปีหลังจากพบแม่ดุ๊กครั้งแรก de Bérenx ได้รับเชิญจากแม่ดุ๊ก ให้ไปเยือนบ้าน Shangri La ที่ฮาวาย เพื่อหารือโครงการในการจำลองวิธีชีวิต คนไทย บ้านไทย และศิลปะไทย ที่เธอได้ประสบพบเจอมา  (เช่นเดียวกับทำบ้าน Shangri La เป็นศิลปะมุสลิม) โดยสิ่งที่เธอประทับใจมากที่สุดคือ บ้านทรงไทยของวังสวนผักกาด วิธีชีวิตคนไทยริมแม่น้ำ และศิลปะกรรมในพระบรมมหาราชวัง กับทั้งศิลปะวัตถุของไทยทั้งหลาย

แม่ดุ๊ก ตกลงให้ de Bérenx เป็นนายหน้าหางานศิลปะวัตถุของ ไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (พม่า ลาว เขมร เป็นต้น) โดยกำชับว่า "ต้องเป็นของดี เท่านั้น" กระโหลกกะลา หาได้ทั่วไป ฉันไม่เอาน่ะ ต้องสวยที่สุด หายากที่สุด ตามคอนเซ็ปคนสวย รวย และเริ่ด อย่างฉันเท่านั้นย่ะ !!!!!

เธอจึ่งเริ่มปฏิบัติการ ด้วยการ เปิดบัญชีที่กรุงเทพฯ สำหรับส่งเงินให้ de Bérenx มองหาซื้อของให้ โดย de Bérenx จะต้องเขียนจดหมายรายงานความคืบหน้าทุกอาทิตย์ ......

de Bérenx และลูกน้องคนไทย จึงเดินทางไปยังอยุธยาและจังหวัดต่างๆ ล่า หา ของเก่าชิ้นเด็ด จัดส่งไปให้ แม่ดุ๊ก ที่สหรัฐอเมริกา มากมายมหาศาล......

สมัยช่วง กึ่งพุทธกาลนั้น ภาคราชการยังไม่ได้มีกฏระเบียบเรื่อง การส่งออกศิลปะวัตถุ อันเป็นสมบัติของชาติไปยังต่างประเทศ การส่งออกหรือขายให้กับชาวต่างชาติ ขายไปเมืองนอก ก็ทำได้โดยไม่ลำบากยากเย็นนัก........  ฝั่งนั้น มีตังค์ ฝั่งเรามีของ Demand Supply เกิด - ของเก่าของไทยจำนวนมหาศาลจึงไปอยู่ในมือ ฝรั่งต่างชาติเสียมาก ...... ไม่ใช่แต่ คนที่เก็บ เล่น สะสมของเก่าเท่านั้น ตามมหาวิทยาลัย และพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ก็ ออร์เดอร์ สั่งซื้อศิลปะของเก่า ของไทย ไปไว้ให้พิพิธภัณฑ์ ต่างชาติมากมาย  พุธโธ่ .....ของเก่าชิ้นหนึ่ง สมมุติ ๑๐,๐๐๐ บาท บ้านเราว่า แพงแล้ว เมื่อเทียบกับฝรัี่ง มันก็แค่ไม่กี่ร้อยเหรียญ งบก็เยอะ ของดีๆ กว่าครึ่งไทย จึงหายไปจากประเทศเสียหมด !!!!!!!

ตา de Bérenx ได้เป็นคณะกรรมการจัดสร้างบ้านไทยที่สหรัฐอเมริกาอยู่ด้วยตั้งแต่แรก, หาของให้แม่ดุ๊ก อยู่ กว่า ๔ ปี แล้วคงมีปัญหากัน สุดท้าย ในปี ค.ศ. ๑๙๖๓ เขาก็ออกจากคณะกรรมการ และหยุดหาของให้แม่ดุ๊ก โดยส่งของล็อตสุดท้ายให้เธอ เป็นเงินกว่า ๑๑,๘๐๐ เหรียญสหรัฐ

สิ่งของที่  de Bérenx หาให้ หลายชิ้นก็สืบค้นได้จากจดหมาย และเอกสารของมูลนิธิของแม่ีดุ๊ก หลายๆ ชิ้น (น่าจะระยะหลังๆ แล้ว) บางทีก็เป็นของใหม่ คือ แสดงศิลปะความเป็นไทยเท่านั้น ไม่ใช่ของเก่าซ่ะแล้ว(ถ้าเก่าก็เก่่าไม่มาก ๒๐-๓๐ ปี)  เช่นพวกเครื่องดนตรี ต่างๆ ก็ไปปรากฏอยู่ในมิวเซีย ว่า de Bérenx เป็นคนจัดหาให้แม่ดุ๊ก

จากนั้นมา ก็มีข่าวว่า ตา de Bérenx ไปทำมาหากิน ค้าของเก่าอยู่ที่ฮองกง จบเรื่อง คนหาของ ส่งให้เธอรายแรกไป หนึ่งราย..........

ภาพ หีบพระมาลัย และสมุดข่อย เขียนสี สภาพสมบูรณ์มาก ปัจจุบัน เก็บรักษาไว้ที่ Asian Art Museam of San Francisco



บันทึกการเข้า
piyasann
พาลี
****
ตอบ: 379


ความคิดเห็นที่ 37  เมื่อ 16 ก.ค. 12, 22:46

ปีค.ศ. ๑๙๖๑ แม่ดุ๊ก ตั้งองค์กรขึ้นเพื่อเป็นตัวจักรในการดำเนินการโครงการ หมู่บ้านไทย ที่เธอวาดฝัน ชื่อ "The Thai House Foundation"  และเปลี่ยนเป็น Foundation for Southeast Asian Art and Culture (SEAAC) ในเวลาต่อมาจนปัจจุบัน โครงการของเธอ ย่อมไม่ใช่แค่ เอาบ้านไทย ๓-๔ หลัง ไปตั้งไว้ที่ฮาวาย เฉยๆ เป็นแน่ ระดับ "ตัวแม่" แล้ว เธอฝันที่จะจำลองของสำคัญ ชนิดแข่งกับ คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ (เมืองโบราณ) เชียวแหล่ะ  ...... เธอชี้นิ้วเลย ฉันจะเอา พระอุโบสถวัดพระแก้ว กับปราสาทพระเทพบิดร ไปจำลองไว้ที่ฮาวาย ย่ะ !!!!!!!!!!

ช่วงทศวรรษ ๑๙๖๐'s แม่ดุ๊กของเรา "อิน" กับศิลปะไทย และประเทศไทยมาก เธอเดินทางมาเมืองไทยเป็นว่าเล่น  ช่วงนี้เธอได้ "เพื่อเก่า" ที่โคจรมาเจอ และชอบศิลปะไทย เฉกเช่นเดียวกัน คือ Jim Thompson (เธอเคยเจอกับเขาที่สหรัฐอเมริกา เมื่อทศวรรษ ๑๙๓๐'s มาก่อนแล้ว) ทั้งจิม ทอมป์สัน และแม่ดุ๊ก ต่างก็ ชื่นชมในศิลปะไทย และของประเทศเพื่อนบ้าน อย่างล้ำลึก ยิ่งเธอได้เห็นบ้านของจิมที่กรุงเทพฯ ได้สนทนาวิสาสะ อย่างคนคอเดียวกัน คุยกันรู้เรื่องแล้ว ขีดความมุ่งมาด ปราถนา ก็พุ่งขึ้น เ...........  ว่ากันว่า เธอยอมลงทุนตาม จิม ไปช๊อปปิ้งของเก่า ที่เวิ้งนครเกษม (แต่ในหนังสือเรียกไม่เพราะเลยว่า Thieves' Market คงต้งองการแสดงให้เห็นนั้นแหล่ะว่า เธอยอมลงทุนลงแรงแค่ไหน) 

ดอริส ดุ๊ก เริ่มสั่งให้หาที่ดิน แปลงงามในฮาวาย สำหรับโปรเจ็คนี้ เธอให้ไอเดียว่า ที่ดินที่เธอต้องการ ที่สำคัญคือ ต้องมี ลำน้ำไหลผ่าน เช่นเดียวกับ "คลอง" ที่เธอเห็นที่เมืองไทย และ (ฮาวายมีหลายเกาะ) เพื่อจะได้เป็นที่สงบ ร่มเย็น สมเป็นบ้านริมคลอง งานนี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องหมูๆ ของบรรดานายหน้าค้าที่ดิน ......
บันทึกการเข้า
siamese
หนุมาน
********
ตอบ: 7165


หนุ่มรัตนะกับภูเขาทอง


ความคิดเห็นที่ 38  เมื่อ 17 ก.ค. 12, 07:20

Doris Duke กับ มรดก ศิลปะไทย

ในการเดินทางครั้งนี้ ก็นับป็นครั้งแรก ที่แม่ดุ๊ก เดินทางมาเยือนเมืองไทย ......

(ในภาพ รบกวนคุณ Siamese ช่วย Key ด้วยว่า น่าจะเป็นสถานที่ใด? ขอเชิญท่านผู้เชียวชาญด้านภาพอย่างเอกอุ โปรดชี้แนะ)

เธอยืนถ่ายภาพเบื้องหลังเป็นพระเศวตกุฎาคารวิหารยอด ในวัดพระศรีรัตนศาสดารามครับ


บันทึกการเข้า
piyasann
พาลี
****
ตอบ: 379


ความคิดเห็นที่ 39  เมื่อ 23 ก.ค. 12, 21:56

ขอขอบคุณ คุณ Siamese ที่เข้ามาชี้แจง  นี่ถ้าให้ทำนาย ก็จะว่า คงเป็น อลาบาสเตอร์ + พระวิภาคภูวดล (เจมส์ แมคคาร์ธี ) กลับชาติมาเกิด จึงรู้แผนที่เมืองไทย เป็นอย่างเอกอุ .........

และแล้วแม่ดุ๊กกับ SEAAC ก็ตัดสินใจไม่ตกเสียที่ ว่าโครงการ "Thai Village" จะเลือกที่ดินแปลงงาม แปลงใดในฮาวายดี ? ......

มีการตกลงเลือกที่ดินแปลงหนึ่ง ใน Haiku Valley ขนาด  ๓๘.๕ เอเคอร์ และ ที่เช่าระยะยาวอีก ๗๗ เอเคอร์ แต่แม่ดุ๊กก็ติดใจว่า "ทำไมต้องเช่า ฉันมีเงินซื้อน่ะ !!!!!!"  สุดท้าย ที่ดินแปลงดังกล่าว ก็ถูกตีตราเป็น state park ไปก่อนที่จะมีการจ่ายเงิน จึงต้องรอหาที่ดินกันต่อไป

เป็นอันว่า โครงการ สร้างหมู่บ้านไทย ซึ่งเธอเคยเขียนจดหมายถึง de Bérenx ว่า "เราต้องการสร้างพิพิธภัณฑ์ ที่เป็นศูนย์กลาง ของศิลปะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และต้องแสดงถึงวิธีชีวิตของคนไทย (We plan to use these houses to show how thw people from the country lived in ancient times.To create the true atmosphere of a home of this type,)"

โดยเธอประสงค์จะสร้าง บ้านเรือนไทยไม้สักขึ้น ๑๐ หลัง จำลองสถานที่สำคัญของไทยอีกมากมาย เช่น Sala และ Ubosot  คือ จำลอง "พระที่นั่งอาภรณ์ภิโมกข์ปราสาท" ในพระบรมมหาราชวัง, อุโบสถวัดพระแก้ว และปราสาทพระเทพบิดร ไว้ในหมู่บ้านไทย ที่สหรัฐอเมริกา จึงยังรีรอกันอยู่ ด้วย ยังหาที่ดินก่อสร้างไม่ได้.........

ภาพโมเดล โครงการ Thai Village ประมาณต้นทศวรรษ ๑๙๖๐'s


บันทึกการเข้า
piyasann
พาลี
****
ตอบ: 379


ความคิดเห็นที่ 40  เมื่อ 23 ก.ค. 12, 22:01

แบบร่างบ้านเรือนไทย ซึ่งเธอได้ว่าจ้าง อาจารย์จากมหาวิทยาลัยชื่อดังในกรุงเทพฯ ด้านสถาปัตยกรรมไทย เป็นคนวาดแบบ และโครงร่างของโครงการ


บันทึกการเข้า
piyasann
พาลี
****
ตอบ: 379


ความคิดเห็นที่ 41  เมื่อ 23 ก.ค. 12, 22:05

ฝาประกน ซึ่ง สั่งมาจากเมืองไทย หมายว่าจะทำหมู่บ้าน เรือนไทย ไม้สัก ๑๐ หลัง แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ ..... เรือนไทยเหล่านี้ แม่ดุ๊กเอง ก็ต้องศึกษามาอย่างดีพอ เพราะเธอเคยเขียนจดหมายเล่าให้่คนอื่นฟังว่า บ้านเรือนไทยนี้ จะต้องไม่มีการตอกตะปูเหล็ก !!!! ต้องใช้วิธีการเข้าลิ่มไม้ อย่างไทยแท้ เท่านั้น และต้องสร้างอย่างถูกต้องตามวิธีของชนชาติไทยเท่านั้นด้วย !!!!!!


บันทึกการเข้า
piyasann
พาลี
****
ตอบ: 379


ความคิดเห็นที่ 42  เมื่อ 23 ก.ค. 12, 22:10

สมัยก่อน บ้านไทยยังมีมาก คงแห่ขายฝรั่ง ขายคนมีเงินกันอุตลุต อย่างคอเล็กชั่นของแม่ดุ๊ก ก็มีมากมาย สร้างบ้านได้ ถึง ๑๔ หลัง มีกระเบื้องหลังคาดินเผา ๔๐๐,๐๐๐ ชิ้น และ กระเบื้องหลังคาดินเผาแบบเคลือบ อีก ๑๐๐,๐๐๐ ชิ้น พร้อมของสะสมอีกกว่า ๒,๐๐๐ รายการ......


บันทึกการเข้า
piyasann
พาลี
****
ตอบ: 379


ความคิดเห็นที่ 43  เมื่อ 23 ก.ค. 12, 22:26

ในระหว่างที่เธอรอ ที่ดิน ที่เหมาะสมในการสร้าง หมู่บ้านไทยในฮาวายนั้น เธอก็เก็บ และ เก็บ และ เก็บ สะสมศิลปะวัตถุของไทยไปด้วย ......

นอกจากสั่งของเก่า จากเมืองไทยแล้ว บางสิ่ง ที่เธอต้องการ ก็ไม่สามารถ ใช้เงินซื้อได้ เช่น เธอต้องการ พระที่นั่งอาภรณ์ภิโมกข์ปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง !!! เป็นต้น หนทางเดียว ก็คือการทำ "จำลอง (replica)"

แม่ดุ๊กได้ว่าจ้าง บริษัท เจริญแสงไทย ? (Charoen Sengthai Limited Partnerships) ซึ่งเป็นเจ้าเดียวกับการจำลอง พระที่นั่งอาภรณ์ฯ ให้กับงาน World Fair ที่กรุงบรัสเซล ประเทศเบลเยี่ยม ในปีค.ศ. ๑๙๕๘ ซึ่งปัจจุบัน ศาลาจำลองนี้อยู่ที่ สวน Olbrich Botanical Garden มลรัฐวิสคอนซิล สหรัฐอเมริกา

คาดว่า ตัวศาลาจำลองนี้ น่าจะทำที่เมืองไทย โดยบริษัทดังกล่าว แล้ว ถอดเป็นชิ้นๆ ขนส่งไปสหรัฐอเมริกา เพราะต้องมีการจ้างช่างไม้จากเมืองไทย


ภาพ พระที่นั่งอาภรณ์ภิโมกปราสาท ในพระบรมมหาราชราชวัง ภาพจาก วิกิพิเดีย


บันทึกการเข้า
piyasann
พาลี
****
ตอบ: 379


ความคิดเห็นที่ 44  เมื่อ 23 ก.ค. 12, 22:30

ศาลาจำลอง ที่ สวน Olbrich Botanical Garden ภาพจากวิกิพิเดีย


บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 [3] 4
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.101 วินาที กับ 20 คำสั่ง