ลายบนใบดาบคาตะนะ เกิดจาการพอกโคลนแล้วไปเผา เรียกว่าฮามอน ไม่ได้เกิดจากการตี แต่จะมีการไล่อากาศระหว่างตี
อาจใช้ฟางหรือผงน้ำยาในการประสานเหล็กแต่ละชนิดในติดกัน วิธีนี้รับมาจากจีน ดีไม่ดีมายุคสัมฤทธิ์ ก่อนยุคชุนชิว
คาตานะทุกเล่ม พื้นฐานมาจากกระบี่จีนยุคราชวงศ์ถังครับ ยุคชุนชิวการถลุงเหล็กยังไม่ได้มีวิวัฒนาการที่มากพอเลย
สมัยนั้นอาวุธส่วนใหญ่ ไม่มาจากสำริด ก็ทองแดงเป็นหลักครับ
ดาบสมัยอยุธยา มีใช้เหล็กต่างชนิดกันตีประสานแบบคาตะนะ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะรับเทคนิคจากจีน มุสลิม ญี่ปุ่น แม้พม่า มอญ ไทใหญ่ก็มี
แต่ผู้แต่งขุนแผน ใส่รายละเอียดไว้มาก ผิดที่ตอนท้ายได้ใบดาบไม่รอยขนแมว คงเป็นเหล็กกล้า เพราะไม่บอกอัตราส่วน เพียงบอกตีทบไปมา
เอาเข้าจริง เหล็กในอยุธยาหายากมาก และที่หาได้ก็คุณภาพไม่ใคร่จะดีเท่าไร ถ้าดูในรายละเอียดการสั่งสินค้าของบริษัทอีสต์อินเดีย จะเห็นการสั่งแร่เหล็กมาเป็นหาบ ๆ เลยก็มี บ่อที่ทำอาวุธ หรือแม้แต่พระแสงก็อยู่ที่อุตรดิตถ์ จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ต้องมีการประสมเหล็กหลาย ๆ ชนิดเข้าด้วยกัน และก็เพื่อเป็นอาถรรพ์ตามตำราด้วยอย่างที่ได้นำเสนอไปแล้วครับ
อ่านหาความรู้มาหลายที่ ติดใจที่คุณ enep โพสต์ไว้ใน
http://www.konrakmeed.com ที่สุดครับ
ถึงประโยชน์ใช้สอยของมีด Damascus
"ในอดีตเหล็กดามัสกัสน่าจะมีจุดประสงค์ในการทำสามประการ คือ
1. ประสานเหล็กตั้งแต่สองชนิดขึ้นไปเข้าด้วยกันเพื่อความคงทนของดาบเพื่อความอ่อนตัวได้และเพื่อความแข็งคม
จะได้ไม่หักง่ายเช่นดาบญี่ปุ่นถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้สามารถรับดาบที่ใหญ่กว่าได้โดยไม่หักแต่มีความคมสุดยอด
2. ปรับปรุงคุณภาพเหล็กที่มีอยู่ให้เป็นเหล็กที่มีคุณภาพดีขึ้น เช่นดาบไทยหรือเพื่อ
ให้เหล็กมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมจากเศษเหล็กอาวุธต่างๆเพื่อสร้างเป็นอาวุธใหม่ขึ้น
3. เพื่อให้เป็นที่อยู่ของพิษต่างๆ เมื่อโดนบาดเพียงเล็กน้อยจะตายด้วยพิษ เช่น กริช
ในปัจจุบันผมเข้าใจว่าการสร้างลายต่างๆเพื่อจุดประสงค์ในการขายครับ"
และขอเสริมด้วยข้อมูลจากคุณ Warut (Guru ด้านมีดอันดับต้นๆ ของเมืองไทย) จากเว็บเดียวกันนะครับ
"ข้อดีด้านการใช้งานเท่าที่เคยรวบรวม มีหลักๆอยู่ 3 ข้อครับ....คาสิโน
1.การที่เหล็ก Damsacus มีเนื้อเหล็กอ่อนกระจายอยู่ทั่วทั้งใบ จึงทำให้มีความเหนียวและแข็งทั้งใบ
ต่างจากมีดที่ชุบคมแข็งหลังอ่อน ที่จะอาศัยส่วนสันมีดเป็นตัวรับแรง เพิ่มความเหนียว
บางเล่มอาจจะชุบแข็งแค่ 1 cm. จากคมมีดเท่านั้น ใช้ไปลับไป ส่วนแข็งหมดซะแล้ว
2.ข้อนี้น่าจะเป็นจุดเด่นด้านประสิทธิภาพของ Damascus โดยตรง เพราะฝรั่งเรียกว่า "Damascus Effect"
เวลาลับมีดเหล็ก Damascus เหล็กอ่อนจะถูกกินออกไปมากกว่าเหล็กแข็ง ทำให้เกิดลักษณะ "คมคล้ายฟันเลื่อยเล็กๆ"
(Micro-serrated) ทำให้ตัดเฉือนได้ดีในวัสดุบางประเภท.....Micro-serrated นี้เกิดได้แม้ใช้หินลับมีดความละเอียดสูงๆ
3.ข้อสุดท้ายคือมีด Damascus จะลับง่าย ก็สืบเนื่องจากข้อที่แล้ว คือชั้นเหล็กอ่อนจะถูกลับออกไปง่าย ทำให้ลับง่ายกว่ามีดเหล็กแข็งล้วนๆ
คาตานะ จริง ๆ แล้วมีสองชั้นครับ ชั้นนอกแข็ง ส่วนข้างในเป็นโลหะอ่อนเปรียบเสมือนโช๊คอัพของรถยนต์ เพราะฉะนั้นเวลาฟัน จึงมีการผ่อนแรงได้ ทำให้ดาบไม่หัก ถ้าเอาแต่ชั้นนอกอย่างเดียว ฟันตรง ๆ โอกาสหักสูงครับ ดาบไทยเดิมเน้นที่ความเหนียว เพราะลักษณะการใช้อาวุธต่างจากญี่ปุ่น ถ้าดูในวิชาดาบไทย ดาบเหนือจะเน้นลีลาพริ้วไหว แต่เข้าทำรวดเร็วเผลอก็เสร็จ ใช้วิธีสลายแรงเป็นส่วนมาก
วิชาดาบภาคกลาง เนื่องจากต้องปะทะเป็นส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้นทางดาบก็จะเน้นไปที่ความแข็งแรงกว่าทางดาบเหนือเล็กน้อย บางสำนักมีการควงฟัน กระโดดฟัน เพราะฉะนั้นดาบที่จะใช้ต้องเหนียวและแข็งพอตัว ถ้าหนักอย่างคาตานะ คงไม่ถนัดนักสำหรับวิถีของนักรบภาคกลาง เท่าที่เคยเห็นดาบไทยตีเลียนแบบคาตานะ หรือจะเป็นดาบแบบทางสายเวียดนาม ตัวดาบจะยาวไปเลย และไม่น่าจะเป็นดาบสองมืออย่างที่คนไทยภาคกลางถนัดกัน อารมณ์ใช้ก็คงน้อง ๆ ในหนังบางระจันทร์ หรือ ขุนศึกเสมาภาคหนังใหญ่ ที่ดาบโตกว่าตัว แลดูเก้งก้าง รัศมีอาวุธดูยังไงก็ยังขัดตาอยู่เสมอมา
แต่เรื่องอาวุธนี้ ขุนแผนกล่าวแบบเหมารวมเกินไป รูปแบบอาวุธไทย ไม่หลากหลายมากนักรับมาจากอินเดีย จีนก็มาก ในแง่นิยายใช่ แต่ไม่มีพื้นฐานความจริงเท่าที่ควร
ดาบในยุคแรก ๆ ของอยุธยาที่ขุดเจอกันบ่อย ๆ หรือแม้แต่ที่มีอ้างถึงอยู่ใน ลิลิตโองการแช่งน้ำ จะกล่าวถึง "ตาว" ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับดาบจีน (ต้าว) ครับ
แม้แต่หลักฐานทางโบราณคดีที่ขุดเจอที่ลำปาง ก็เจอรูปนักรบเหน็บดาบที่เอว แนวคิดก็เหมือนดาบยุคราชวงศ์ถังไม่มีผิด
ทวนไทยที่เห็นสั้นมาก ต่างจากของทางพม่า จีนชัดเจน ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ ยกเว้นกว่าม้าไทยเตี้ยมาก จนมีสำนวนว่า "ขี่ม้าสามศอก"
ทวนที่ว่า "ทวน(ทหารเดิน)เท้า" หรือ "ทวนหลังม้า" ล่ะครับ ?
เพราะที่เห็นในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร ทวนก็ยาว ๆ ทั้งนั้น ซึ่งน่าจะเป็นแนวคิดของ พลฟาลังซ์ (Phalanx) แบบเดียวกับกรีกโบราณ
เคยได้ยินแต่ไปฝากตัวเป็นศิษย์สำนักนั้นๆ ไม่ต้องไปขอเจ้าที่ไหนทั้งนั้น แล้วคนเมืองขึ้นต้องไปขอทีก็เกินไป การฝึกยุทธเป็นเรื่องปิด ไม่ใช่ต้องสำแดง
มวย อาวุธคงไปบังคับไม่ได้ สมัยซ่ง หมิง ห้ามสะสมอาวุธ ยังแปรเป็นเครื่องมือการเกษตรได้ จนเกิดกองกำลังภายหลัง
ผมหมายถึงว่า ถ้าวิชานั้น ๆ ขาดการสืบทอดแล้ว ถึงแม้จะมีตำราอยู่ แต่ตัวคนสอนไม่มีแล้ว ผู้ที่จะเรียนใหม่ ต้องขอพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ครับ
เหมือนกับกรณี ที่ในหลวงทรงครอบครูวิชานาฏศิลป์ให้ใหม่เมื่อหลายสิบปีก่อน เพราะตัวครูที่สืบทอดวิชามานั้นเหลือน้อยตัวแล้ว และกำลังจะขาดผู้สืบทอดครับ
ซึ่งคตินี้ ในวิชามวย วิชาดาบ ก็รับเอามาเต็ม ๆ เหมือนกัน ไม่เช่นนั้น ก่อนจะตีมวย หรือจะตีดาบ คงไม่ต้อง "ถวายบังคม" ก่อนหรอกครับ
ถ้าดูในคลิปบน youtube ทุกสำนักมวยหรือสำนักดาบจะต้อง "ถวายบังคม" ก่อน โดยหันหน้าไปทิศทางที่ทรงประทับอยู่ มันเป็นจารีตที่เป็นมานานแล้วครับ
ขนาดสายดาบอิสลามที่อยู่ในภาคกลางไม่ว่าจะ สเลมาน ลูกปีกกา , บ้านชไว อ่างทอง ผมก็เห็นเขาทำท่าแบบเดียวกับถวายบังคมของดาบสายพุทธเหมือนกัน เพียงแต่ว่าเขาทำเป็นท่าละหมาดแทนเท่านั้นเอง
แต่แนวคิดนั่นคือถวายบังคมชัด ๆ
อยุธยาก็มีซ่องสุมกันเยอะแยะ ชิงอำนาจออกบ่อย ไม่งั้นจะก่อการได้หรือ ถ้าไพร่เลว ไม่รู้เชิงเพลงมวย อาวุธ
เวลาทำสงครามกัน เขาตีกันไม่กี่นาทีหรอกครับ ถ้าอ่านประวัติศาสตร์มากพอ จะเห็นว่ากองทัพในภูมิภาคนี้ ส่วนใหญ่รบกันแบบตะลุมบอน สักพักพอกระบวนทัพฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเริ่มเสียเปรียบ ก็จะแตกพ่ายไปเอง
เพราะฉะนั้น ไม่จำเป็นต้องรู้เพลงมวย เพลงอาวุธ หรอกครับ เขาเกณฑ์มารบก็ต้องยอมมาตายให้เขา
อีกอย่างหนึ่ง ในพระไอยการกระบดศึก(โบราณเขียนแบบนี้) ก็ยังมีหลายมาตราที่กล่าวไว้ถึงในลักษณะที่ว่า "หากมีการย่อท้อ กลัวตาย หรือรบไม่ได้เรื่อง แล้วมีการแตกถอยหนีมา" ให้ลงโทษตามแต่ละสถานการณ์ เช่นถอยออกมากี่ช่วงตัวช้าง ถ้าถอยถึงสามช่วงตัวช้าง ให้ตัดหัว แบบนี้เป็นต้น
นั่นก็สะท้อนให้เห็นว่า การรบโดยทหารที่เกณฑ์มา ไม่ได้มีอะไรยืนยันได้ว่า ทหารจะต้องเป็นวิชาแบบนี้ทุกคนครับ