เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 13 14 [15] 16 17 ... 37
  พิมพ์  
อ่าน: 172082 เก็บตกมาจากการเดินทาง
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 210  เมื่อ 16 ก.ค. 12, 10:00

เห็นภาพแล้ว ทำให้นึกถึงคำว่า Inferno  และ engulfed by forest fire  คงจะไม่ผิดความหมายไปใช่ใหมครับ

ผมเข้าใจว่าป่าที่ถูกไฟใหม้ในครั้งนี้ น่าจะเป็นป่าที่มีต้นสนเป็นหลัก ไฟจึงดูจะลุกลามไปรวดเร็วมาก ใบต้นสนที่ร่วงลงมากองที่พื้นดินนั้นเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีพอๆกับใบสดที่ต้นของมัน ผมเคยเห็นภาพไฟใหม้ใบสนที่ยังสดติดอยู่กับต้น เหมือนกับการจุดคบเพลิงเลยทีเดียว เกิดเร็ว ลุกโชติช่วงเร็ว แล้วก็มอดเร็ว การลามต่อเนื่องของไฟอย่างรวดเร็วจึงเกิดจากการที่ไฟที่กระจายเชื่อมต่อกันเหนือพื้นดิน ลูกไฟที่ตกลงมาสู่พื้นก็จะช่วยทำหน้าที่กระจายไฟไปตามพื้นดินด้วยความเร็วที่น้อยกว่าตามกิ่งก้านสาขาของต้นไม้  ต้นสนเป็นต้นไม้ที่มียาง (resin) บางพันธุ์ก็มียางมาก บางพันธุ์ก็น้อย  ยางสนนี้เมื่อนานปีเข้าก็จะแข็งตัว หลายร้อยล้านปีเข้าก็กลายเป็น อำพัน (Amber) ที่เอามาทำเป็นเครื่องประดับอันสวยงาม   

ไฟป่าบนภูเขาคราวนี้ คนที่ติดตามข่าวอยู่เขาบอกว่าไฟมันข้ามเหวได้  คือไม่ได้หยุดอยู่แต่เฉพาะในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง   ถึงไม่มีทางเชื่อมต่อกับพื้นดินภายนอก   ไฟก็ไปทางอากาศได้  พอๆกับพื้นดิน
บนภูเขา เห็นแต่สนค่ะ  อาจมีไม้อื่นแต่สนหนาแน่นที่สุด
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 211  เมื่อ 18 ก.ค. 12, 21:52

เว้นวรรคมาช่วงสั้นๆ

ขอเล่าเรื่องเกี่ยวกับการจราจรที่พบมา  เริ่มที่ญี่ปุ่น 

ญี่ปุ่นผลิตรถยนต์ภายในประเทศมากมาย แต่มียอดการขายในประเทศแต่ละปีไม่ถึงห้าแสนคัน น้อยกว่ายอดการส่งออกมาก แม้จะมีกฏหมายออกมาอย่างไร (บังคับเรื่องอายุการใช้งาน ฯลฯ) ยอดการซื้อภายในก็ไม่ค่อยจะกระเตื้องขึ้นมา
คนญี่ปุ่นนั้น ก่อนที่จะซื้อรถได้ จะต้องแสดงว่าเขามีที่จอดสำหรับรถนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นในเขตบ้าน หรืออาคารสถานที่เช่าจอดรถ รถที่จอดข้างถนนแบบค้างคืนจึงไม่พบเห็นมากนัก จะพบเห็นมากก็ตามชนบทในที่ทำการเกษตรที่ห่างไกลเมือง  ปัญหาที่จอดรถเป็นเรื่องใหญ่มากในญี่ปุ่นสำหรับทุกคนที่ใช้รถ ค่าจอดรถก็แพงมาก จอดข้างถนนก็มีเวลาจำกัด บางถนนให้จอดได้ไม่เกิน 1 ชม. หรืออย่างมากไม่เกิน 2 ชม.โดยต้องเสียค่าจอดด้วย  ส่วนมากก็จะให้จอดได้ไม่เกิน 15 นาทีโดยไม่ต้องเสียค่าจอด
ทีผมชอบมาก คือวิธีการตรวจสอบว่ารถคันใดอดเกินกว่า 15 นาที ไม่ยุ่งยากเลยครับ เขาใช้ตำรวจหญิง 2 คน ใช้รถคันเล็กๆ ขับไปเรื่อยๆ พอถึงที่รถจอดก็เอาชอล์คขาวผูกติดที่ปลายไม้ ยื่นแขนไปขีดเส้นบนยางรถลากลงมาที่ผิวถนน แล้วก็ขับต่อไป  อีกประมาณ 15 นาทีก็วนกลับมาใหม่ หากเส้นชอล์คบนยางและถนนยังตรงกันอยู่ ก็ลงมาเขียนใบสั่งเลย แต่หากไม่ตรงก็ขีดใหม่ แสดงว่าเป็นรถคันใหม่มาจอด  ก็รู้กันอยู่ คนที่นำรถมาจอดก็จะขยับรถไปหน่อย ก็รอดตัวแล้ว แต่ก็ทำได้ครั้งสองครั้งเท่านั้น ตำรวจก็รู้
กรณ๊มีมิเตอร์ให้หยอด มิเตอร์จะมีเครื่องตรวจจับ (เป็นแสงอินฟาเรด) ว่ามีรถมาจอดหรือไม่ หากมี มันก็จะเริ่มทำงาน ให้เวลาเราไปหาเหรียญมาหยอดสักประมาณ 5 นาที หากไม่มีการหยอดเหรีญ มันก็จะกระพริบไฟให้ตำรวจรู้ มาเขียนใบสั่ง หากจอดครบเวลาเต็มที่ที่เขาให้จอดแล้ว จะหยอดเหรียญซ้ำอีกมันก็ไม่รับ  แล้วมิเตอร์ก็จะเดินถอยหลังไปอีกประมาณ 10 นาที หากไม่เอารถออกไป มันก็จะกระพริบไฟเรียกตำรวจอีก  หากเอารถออกไปก่อนหมดเวลา มันก็จะไม่ยอมให้รถคันอื่นมาใช้เวลาที่เหลือนั้น มิเตอร์มันจะกลับมาที่ศูนย์เลย  ก็ต้องใช้วิธีขยับรถออกไปแล้วถอยเข้าใหม่จึงจะหยอดเหรียญจอดใหม่ได้

ระบบมิเตอร์แบบนี้ คิดว่าก็มีใช้ในอเมริกาเหมือนกัน แต่ไม่เคยเห็นในยุโรป
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 212  เมื่อ 19 ก.ค. 12, 22:08

ดังกล่าวมาแล้วว่า ที่จอดรถในญี่ปุ่นหายากมากและแพงมาก  จึงมีการจอดรถในที่หรือเวลาห้ามจอดมากอยู่พอควร

น่าสนในในความคิดและการวิเคราะห์ของเขาครับ   ปัญหาก็เหมือนๆกันทั่วโลก คือ ใช้การเขียนใบสั่งเหน็บไว้ที่หน้ากระจกรถ บ้างก็ล็อกล้อ บ้างก็ยกรถออกไปเลย บ้างก็ใช้สายรัดป้ายติดไว้ที่กระจกหูช้างข้างรถ   การทำด้วยวิธีเหล่านี้ ได้ผลในระดับหนึ่ง ซึ่งมันก็สร้างปัญหาให้กับตำรวจ เนื่องจากว่าผู้ทำผิดก็จะมีข้ออ้างต่างๆนาๆ มีทั้งเส้นเล็ก เส้นใหญ่ และคนในสังกัดของผู้มีอำนาจ อิทธิพล และที่มีภูมิคุ้มกัน (จนท.ทางการทูต)   

ญี่ปุ่นเขาได้ความคิดใหม่เมื่อไม่ถึงสิบปีมานี้ คือแทนที่จะต้องให้ตำรวจเผชิญหน้าโดยตรงและตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับผู้กระทำผิด (ซึ่งมักจะจบลงด้วยการอลุ่มอล่วยและลดหย่อน)  เขาใช้หลักการว่า ตำรวจจะจับผู้กระทำผิดได้ (โดยไม่ต้องมีหมาย) ก็ต่อเมื่อเป็นความผิดซึ่งหน้า การเขียนใบสั่งนั้นไม่ได้เป็นการสั่งคนที่กระทำผิด เนื่องจากไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่ขับรถมากระทำความผิดนั้นๆ
ทางออก คือ ใ้ห้ผู้อื่น (นิติบุคคลอื่น) เป็นผู้ดำเินินการแทน   วิธีดำเนินการก็คือ ใช้ผู้สูงอายุที่เกษียณแล้วเดินตรวจตรา มีหน้าที่เพียงส่งข้อมูลทะเบียน ยี่ห้อรถ สีรถ สถานที่ วัน เวลา และรูปถ่ายประกอบผ่านทางระบบไอที (แบบ real time) ไปยังศูนย์ ซึ่งด้วยระบบอัตโนมัติที่เชื่อมต่อกับระบบข้อมูลทะเบียนรถ ก็จะพิมพ์หนังสือแจ้งไปยังเจ้าของรถที่จดทะเบียนคันนั้น ซึ่งก็คือ การเอาเรื่องกับคนที่เป็นเจ้าของรถคันนั้น แทนที่จะไปเอาเรื่องกับคนที่เป็นผู้ขับขี่รถไปกระทำความผิด (กล่าวง่ายๆว่า ให้ไปไล่เบี้ยกันเอาเอง)  ให้มาชำระค่าปรับภายใน 1 เดือน หากยังไม่มาก็จะเตือนเป็นครั้งที่สอง ให้เวลาอีก 1 เดือน คราวนี้ต้องไปชำระกับตำรวจโดยครง และหากยังไม่มาอีกฝ่ายตำรวจก็จะดำเนินการยกเลิกทะเบียนรถคันนั้น (คือ ไม่สามารถใช้รถคันนั้นบนถนนได้อีกต่อไป)

นุ่มนวลดี เหี้ยมดี ตำรวจไม่ต้องเผชิญหน้าโดยตรง คนแก่ีมีงานทำมีรายได้ เจ้าของรถไม่รู้ว่าจะไปทะเลาะกับใครดี หลักฐานแน่นหนา เหมือนกับข้อมูลจากกล้องรักษาความปลอดภัย   
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 6362


ความคิดเห็นที่ 213  เมื่อ 20 ก.ค. 12, 09:57

คลิปจากยูทูบ ครับ

              สาวญี่ปุ่นจอดรถในที่ห้ามจอด ครั้นโดนคุณน้าแจกใบสั่งก็ร้องห่มร้องไห้โยเย

             
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 214  เมื่อ 20 ก.ค. 12, 10:12

^
โอ้ย ทนดูไม่หวาย ใจอ่อน ใจอ่อน
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 215  เมื่อ 20 ก.ค. 12, 20:34

เคยโดนปรับมาแล้วเรื่องจอดรถเกินเวลา ที่อังกฤษ  ความจริงก็ไม่ได้ลืมหรอกค่ะ แต่ว่าเดินไกลรถมากไปหน่อย    พอกระหืดกระหอบำกลับมาปรากฏว่าตำรวจกำลังจรดปากกาเขียนใบสั่งพอดี   อ้อนวอนขอความเห็นใจว่ารีบกลับมาฉิวเฉียดไปแค่นาทีสองนาที  พี่แกก็ไม่ยอมลดหย่อน  

เมืองที่อยู่ในอเมริกาเป็นเมืองที่จอดรถฟรี  ศูนย์การค้ามีที่จอดรถเหลือเฟือ   ข้างถนนก็จอดฟรี    เพราะรถน้อยกว่าถนน    แต่ถ้าไปเมืองหลวงก็จะตรงกันข้าม   หยอดเหรียญกันมือเป็นระวิง  
พูดถึงเรื่องศูนย์การค้าแล้วสังเกตอีกอย่างว่าคนในเมืองนี้เขาไม่ค่อยนิยมศูนย์การค้าเท่าไหร่   เข้าแต่ซูเปอร์อย่าง Walmart ซึ่งคล้าย BIG C ของเรา คือมีทั้งซูเปอร์และส่วนขายสินค้าอื่นๆ      ศูนย์การค้ามักตั้งอยู่ห่างเขตในเมือง  บางแห่งก็ออกไปอยู่กลางทุ่งเลยทีเดียว  คนก็ขับรถไปไม่ย่อท้อ      เขาไม่นิยมทุบบ้านในเมืองทิ้งแล้วทำศูนย์การค้าอย่างบ้านเรา  กฎหมายเขาแบ่งสันปันส่วนบ้านและแหล่งธุรกิจออกห่างจากกันเป็นสัดส่วน   
ข้อนี้ฝรั่งที่มาเที่ยวกรุงเทพชอบบรรยากาศกรุงเทพมากกว่า เพราะที่พักกับร้านอาหาร ศูนย์การค้า โรงหนัง อยู่ติดกันหมด  เดินเที่ยวได้ตามสบาย
บันทึกการเข้า
ประกอบ
สุครีพ
******
ตอบ: 1342


ความคิดเห็นที่ 216  เมื่อ 21 ก.ค. 12, 00:04

ขอเสริมเรื่องรถๆ ราๆ ในอังกฤษหน่อยครับ

การจะซื้อรถในอังกฤษ จะไม่มีเงื่อนไขว่าต้องมีที่จอดรถเหมือนในญี่ปุ่น  และบ้านโดยส่วนใหญ่มักจะไม่มีที่จอดรถซะด้วย
บ้านของคนชั้นกลางทั่วๆ ไปในอังกฤษ มักเป็นเหมือนทาวน์เฮาส์บ้านเรา ปลูกติดๆ กันขนาดไม่กว้างขวางนัก มี 2 หรือ 3 ห้องนอนเท่านั้น
ด้านหน้าบ้านอาจะมีพื้นที่เล็กๆ ปลูกต้นไม้ได้นิดหน่อย แต่ไม่พอจอดรถ  หรือถ้าพอจอด ก็ไม่ค่อยมีใครใช้ทำที่จอดรถกัน กันเป็นสวนเล็กๆ ซะมากกว่า
หลายๆ บ้านที่เคยเห็นมา มีพื้นที่หลังบ้านเป็นลานกว้างเหลือเฟือไว้ตากผ้า แต่ไม่มีถนนเข้าถึงให้เอารถไปจอดได้ คาดว่าบ้านพวกนี้อาจสร้างตั้งแต่สมัยมากกว่าร้อยปีก่อน คนไม่มีรถใช้กัน

เมื่อบ้านจำนวนมากไม่ได้เตรียมพื้นที่สำหรับจอดรถ ดังนั้นคนจำนวนไม่น้อยจึงจอดรถบนถนนหน้าบ้านกัน
ซึ่งแต่ละถนนที่เป็นย่านพักอาศัย ถ้าเป็นย่านตัวเมืองหน่อย เจ้าของบ้านจะจอดรถก็ต้องไปเสียค่าธรรมเนียมให้บางเทศบาลก่อนซึ่งก็ไม่แพง
แล้วเค้าจะให้บัตรมาแปะหน้ารถว่าเราสามารถจอดตรงบริวเวณย่านนั้นๆ ได้ แต่ก็ต้องแย่งกันจอดกับคนที่มีบ้านแถวนั้นอีก ไม่มีที่จอดประจำหรือสงวนไว้
ส่วนใครไม่มีบัตรสุ่มสี่สุ่มห้าไปจอด โดนพนักงานเดินตรวจมาเห็นอาจโดนปรับครั้งละ 60 ปอนด์ได้
พนักงานเดินตรวจจะถ่ายรูปรถเรา ลงเวลาไว้ แปะสัญลักษณ์ใบสั่ง แล้วก็เป็นหน้าที่เจ้าของรถต้องไปเสียค่าปรับ ถ้าไม่เสียจะต่อภาษีปีต่อไปไม่ได้

หน้าบ้านผมก็มีใครต่อใครเอารถมาจอดทุกวันเพราะเป็นย่านบ้านนอก ใครก็จอดได้ บ้านผมดีหน่อยมีพื้นที่จอดรถส่วนตัวด้านหลัง เลยไม่ต้องแย่งจอดหน้าบ้านกับใคร
แถมเวลาจอดรถหน้าบ้านกัน คนจำนวนไม่น้อยจะจอดแบบปีนฟุตพาธขึ้นมาค่อนคันกัน เพราะถนนหนทางค่อนข้างแคบ จะได้เหลือพื้นที่ถนนให้รถอื่นๆ ไปมาได้สะดวกขึ้นอีกนิด
บันทึกการเข้า

วิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 217  เมื่อ 21 ก.ค. 12, 21:29

ที่จริงแล้วไทยเราก็มีกฎหมายในลักษณะนี้เหมือนกันครับ

ผมก็ไม่เคยรู้เลย จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อสักสี่ปีมาแล้ว ผมไปหาซื้อรถเก่าๆเอาไว้ใช้ในสวนที่ต่างจังหวัด  เป็นรถที่เจ้าของมีทะเบียนบ้านอยู่อีกอำเภอหนึ่ง ตัวผมเองมีทะเบียนบ้านอยู่ กทม.  แต่จะซื้อและโอนทะเบียนมาเป็นชื่อของผมใช้ในอีกอำเภอหนึ่งของจังหวัดเดียวกัน  เ้จ้าหน้าที่เขาขอทราบสถานที่ๆจะนำรถมาจอด ผมก็บอกว่าที่สวน เขาก็ขอเลขทะเบียนบ้านที่อำเภอนั้น สุดท้ายต้องใส่ชื่อผู้ซื้อรถเป็นคนเฝ้าสวนที่มีทะเบียนบ้านอยู่ในอำเภอที่ผมมีสวนอยู่    ก็เพิ่งรู้สาเหตุว่า จะมีรถก็ต้องมีที่จอดรถประจำ (คือมีถิ่นฐานที่อยู่ของรถด้วย) หากจะโอนรถเป็นชื่อผม รถคันนั้นก็จะต้องมีการโอนทะเบียนมาอยู่ กทม.ตามที่อยู่ของผม

ก็คือมีหลักปฏิบัติเหมือนกันในเรื่องที่จอดรถ เพียงแต่เราอะลุ่มอล่วยกันมากๆๆๆ และอนุโลมว่าการมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านใด ก็หมายความว่าสถานที่นั้นจะต้องเป็นบ้านหรืออาคารสถานที่ๆมีที่จอดรถ มิน่าเล่าจึงเกิดภาพที่เห็นการเอารถมาจอดข้างถนนกันเต็มไปหมด 
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 218  เมื่อ 21 ก.ค. 12, 21:52

ภาพที่ผมประทับใจมากที่สุดเกี่ยวกับการจับผู้ปฏิบัติผิดกฏจราจร คือที่ โตเกียว

ตำรวจจราจรใช้รถจักรยานถีบไปจับผู้ขับขี่รถ   ที่สี่แยกแห่งหนึ่ง รถเข้าเลนผิดจะตรงไปแต่เข้าไปยู่ในเลนเลี้ยวซ้าย  ตำรวจซึ่งยืนอยู่ก็ชี้นิ้วสั่งให้ผู้นั้นเลี้ยวซ้าย ชายผู้นั้นก็ไม่ค่อยจะเชื่อ ค่อยๆขยับรถไปทางตรง ตำรวจก็คว้าจักรยานขี่ตามเบียดบังคับให้เลี้ยวซ้าย แล้วเบียดให้จอด แล้วเขียนใบสั่ง  ว้าว อะไรจะปานนั้น สุดยอดจริงๆ


เลยทำให้นึกถึงคำว่า "จริงๆ"    คนไทยเราพูดคุยกันแหย่กัน โดยเฉพาะผู้หญิงชอบใช้จนติดปากว่า "อ้าว จริงๆ เป็นอย่างนั้นจริงๆ"   น่ากลัวครับ ในภาษาญี่ปุ่น เสียงของคำไทยนี้ใกล้เคียงกับคำที่มีความหมายถึงของสำคัญของท่านชาย    คำว่า มะม่วง ก็เช่นกัน ก็มีความหมายไม่ค่อยดี   แต่คำว่า ขี้เหร่ นั้นดีนะครับ แปลว่าสวย   
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 219  เมื่อ 21 ก.ค. 12, 22:01

สุดยอดของคนไทยที่ไปท่องเที่ยวในต่างประเทศเรื่องหนึ่ง คือ การข้ามถนน

สงสัยว่าจะสอนกันผิดมา ยิ้มกว้างๆ  เห็นเป็นประจำเลยครับ   ยืนออกันอยู่ตรงห้วถนนบริเวณสี่แยก พร้อมที่จะข้ามทางม้าลาย พอไปเขียวให้รถไปได้ เท่านั้นแหละครับ พร้อมใจกันก้้าวลงถนน เดินแบบมองระวังรถ จูงมือกัน แถมดันกันด้วย  เสียงบีบแตรลั่นไปหมดเลยแต่ก็บ่ยั่น เิดินต่อไปข้ามถนนจนสำเร็จ  ภาพนี้ก็พอเห็นได้เป็นประจำใน กทม.เหมือนกัน 
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 220  เมื่อ 22 ก.ค. 12, 17:22

เมืองในอเมริกาเป็นเมืองที่รถกลัวคน   ไม่รู้ว่าเมืองใหญ่ๆอย่างแอลเอ และซานฟรานซิสโกจะยกเว้นหรือไม่  แต่ในเมืองที่ไปอยู่  เดินข้ามถนนได้สบายค่ะ เพราะรถน้อย  วิ่งช้า   ถ้าเดินจากลานจอดรถในศูนย์การค้าเข้าไปในอาคาร รถจะหยุดให้ทันทีแค่แหย่เท้าลงไปที่ถนน     
รัฐที่ดิฉันอยู่มีพื้นที่เยอะแต่คนอยู่อาศัยน้อย   จึงไม่แออัดต้องประหยัดเนื้อที่อย่างซานฟรานซิสโกหรือนิวยอร์ค   ลักษณะการออกแบบศูนย์การค้า( เรียกว่า shopping mall) และซูเปอร์มาร์เก็ตที่นั่นเหมือนห้างแมคโครในไทย    คือมีลานจอดรถกว้างขวางอยู่ข้างหน้า   ส่วนตัวอาคารเป็นแบบกว้างชั้นเดียว  แผ่ไปในทางราบ  มีหนึ่งหรือสองชั้นอย่างมาก    ไม่ได้ตั้งสูงขึ้นไปหลายชั้นเหมือนบ้านเรา  เพราะที่ว่างมันยังมีอยู่เหลือเฟือ  ขับรถไม่กี่นาทีก็ออกนอกเมืองเห็นแต่ทุ่งกว้างแล้ว
ชาวเมืองที่นี่ไม่ค่อยจะไปเดินตามศูนย์การค้ากันเท่าไหร่   ในเมือง เรียกได้ว่าเหงาเงียบทีเดียว    ร้านรวงต่างๆทยอยปิดกันไป   ส่วนที่คนไปมากที่สุดคือซูเปอร์มาร์เก็ตค่ะ
คงไม่เหมือนญี่ปุ่น  ในโตเกียวจำได้ว่าทุกอย่างแน่นไปหมด  ศูนย์การค้าต่างๆนอกจากข้าวของเต็มแน่นในพื้นที่แคบแล้ว คนก็มากด้วย


บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 221  เมื่อ 22 ก.ค. 12, 21:57

^
ใช่เลยครับ  เรื่องรถกลัวคน เรื่องหนึ่งที่พ่อของเพื่อนสนิทชาวอเมริกันของผมบอกและให้ทดลองเมื่อครั้งไปเรียนหนังสือ เขาให้ลองก้าวลงไปบนทางม้าลาย รถจะต้องตั้งหน้าตั้งตาเบรคเพื่อให้เราเดินข้ามถนนพ้นไป    แต่ในยุโรป ไม่ใช่เรื่องที่จะยึดถือได้เสมอไปครับ วัดดวงเหมือนกัน บีบแตรไล่ก็เคยเห็นครับ

ไปอเมริกา อยู่แต่เมืองใหญ่ ก็จะไม่เห็นอะไรไปมากกว่าถนนและศูนย์การค้า  ต้องออกไปเที่ยวตามเมืองเล็กๆอย่างที่คุณเทาชมพูกระทำ จึงจะได้เห็นและรู้จักอเมริกา  ผมเห็นว่าศูนย์การค้ารวมทั้งร้านค้าต่างๆในเมืองขนาดย่อมๆ ดีกว่าในเมืองหลักหรือตามชานเมืองหลัก น่าเดินมากกว่า และมีของอะไรๆให้ดูให้ต้องแวะพิจารณามากกว่า  แต่หากต้องการซื้อหาของดีมีราคาก็คงต้องเป็นห้่างในเมืองอยู่ดี

อ่านบทความที่เขียนลงในหนังสือพิมพ์ จำไม่ได้ว่าในยุโรปหรือญี่ปุ่นว่า ด้วยความที่คนอเมริกันเป็นนักคิดดัดแปลงสิ่งของเครื่องใช้เพื่อความสะดวกสะบายในการใช้สอย ผนวกกับความสะดวกและรวดเร็วในการสื่อสารด้วยคอมพิวเตอร์ และผนวกกับห้างร้านในจีนรับผลิตสินค้าทุกชนิดด้วยราคาที่ย่อมเยาว์   เป็นผลทำให้มีการสั่งผลิตสินค้าโดยคนเอมริกันมาก (โดยเฉพาะที่เป็นประเภท tools ใช้ในสวน ในครัว ฯลฯ หน้าตาแปลกๆอยู่มากมาย) เพื่อขายหารายได้ให้กับตนเอง สินค้าพวกนี้ มักจะไม่มีขายอยู่ในห้างสรรพสินค้า  (บางอย่างจีนก็คงจะก๊อปส่งออกมาขายในไทยและที่อื่นๆทั่วโลก)    คุณเทาชมพูเคยสังเกตเห็นว่าเป็นเช่นนั้นหรือเปล่าครับ


เมืองขนาดย่อมๆนี้ มักเห็นพวก bum ได้ง่ายมากกว่าในตัวเมืองใหญ่ๆ ในเมืองใหญ่มักจะพบในย่านสถานีรถไฟและรถเมล์เป็นหลัก   ผมนานๆไปทีเจอภาษาที่เขาใช้ทำให้งงไปได้สักอึดใจเหมือนกัน  เช่น  buy me หรือ have me a cigarette, change หรือ give me a change     

บันทึกการเข้า
พวงแก้ว
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 222  เมื่อ 22 ก.ค. 12, 23:27

เรื่องมารยาทในการใช้รถใช้ถนนในเมืองไทยเดี๋ยวนี้ แย่มาก...

ดิฉันมักเจอปัญหาอยู่บ่อยๆ ทำให้ต้องไปเจรจากันที่โรงพัก

แล้วก็รู้สึกว่าคุณตำรวจ(บางสถานี) มักจะมีวิธีพิจารณาความผิดแปลกๆ ...

 ดิฉันเคยถูกยัดเหยียดให้รับความผิดทั้งที่เป็นฝ่าย (รถ)ถูกชน

ส่วนคู่กรณ๊ขี่มอไซด์แทรกระหว่างเลนวิ่งมาชน ไม่ได้รับบาดเจ็บ หรือเสียหายอย่างไรเลย

เพราะวิ่งมาชนด้านข้าง รถเขาก็ไม่ล้ม ดิฉันถ่ายรูปในที่เกิดเหตุ เพื่อให้ตำรวจดูก่อนเคลื่อนรถเข้าข้างทาง

แต่ตำรวจบอกทันทีที่เห็นหน้าดิฉันว่า "อย่างไรรถใหญ่ก็ผิด " โดยไม่สนใจภาพ หรือ ข้อมูลที่เล่าให้ฟัง

สิ่งที่ดิฉันสังเกตคือ ดิฉันไปถึงโต๊ะตำรวจหลังคู่กรณีไปถึง .....

ดิฉันไม่ยอมรับข้อหา และขอให้ศาลจราจรพิจารณา

...ก็ทำตามขั้นตอนทุกอย่าง แต่ก็ถูกหนังสือเรียกจากตำรวจเจ้าของคดีให้ไปรับข้อกล่าวหา

ดิฉันไม่ยอมรับ...ขอพึ่งผู้บังคับบัญชาที่สถานีนั้น โโยไม่รู้จักกันมาก่อนเลย ...แต่ในที่สุดก้พบว่า

เจ้าของคดี อ้างหลักฐานที่น่าสงสัย ...ผู้บังคับบัญชาจึงเจรจาไกล่เกลี่ย แค่ว่ากล่าวตักเตือน ไม่ปรับหรืออะไรเลย

(ความจริงมีรายละเอียดมากว่านี้แต่ขอไม่เล่าในที่นี้)

ก่อนหน้านี้ก็มีหลายครั้งก็เรื่องเฉียวชนกันบนถนน....

การขับรถในกรุงเทพ...เป็นความเหน็ดเหนื่องของชีวิตมาก


 
บันทึกการเข้า
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1899



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 223  เมื่อ 23 ก.ค. 12, 14:17

ที่จอดรถที่เคยเห็นแถบเยอรมัน-ออสเตรียจะไม่ใช้มิเตอร์แยกคันต่อคันอย่างที่เคยเห็นในอเมริกาครับ แต่จะเป็นตู้หยอดเหรียญ ระบุเวลาที่ต้องการจอด จะได้ตั๋วมาใบหนึ่งเอาไปวางไว้บนคอนโซล นายตรวจนั้นจะมาเมื่อใดก็ไม่ทราบเพราะยังไม่เคยเห็นสักครั้งครับ

ในบางแห่งจะมีที่ป้ายพากย์ภาษาเยอรมัน อ่านไม่ออก แต่เดาได้ว่าจำกัดเวลาจอด ที่น่าสงสัยคือจอดได้เฉพาะผู้ได้รับอนุญาตหรือบุคคลทั่วไป อันนี้เดาไม่ถูกครับ เดินไปด้อมๆมองๆรถคันอื่นๆ เห็นได้ว่าแต่ละคันจะมีป้ายกระดาษแข็งมีสัญญลักษณ์แสดงเวลาได้ทุกคัน ผมเดาเอาว่าต้องไปรับป้ายแบบนี้จากที่ไหนสักแห่ง จะเสียเงินหรือไม่ก็ไม่ทราบ แต่เมื่อเดินหาจนตากลับก็ยังหาไม่เจอ ก็ต้องขอความช่วยเหลือคนท้องถิ่นกันล่ะครับ

คุณลุงที่ผมไปถามก็ดีใจหาย พอผมถามว่าไอ้ป้ายจอดรถนี่ผมจะไปขอได้ที่ไหน แกก็ตอบอย่างไวว่า "อยู่ในรถของคุณน่ะสิ น่าจะมีในลิ้นชักนะ" เล่นเอาผมเหวอไปเลยว่าลุงแกมีตาทิพย์หรือเล่นกลเสกของใส่รถที่ผมเช่าเขามาขับได้อย่างไร

สรุปได้ว่า ไอ้เจ้าป้ายอย่างนี้ (parking card) เป็นอุปกรณ์ประจำรถทุกคันครับ เจอป้ายจอดฟรีมีกำหนดเวลาก็หมุนหน้าปัดเวลาให้ตรงกับเวลาปัจจุบัน วางไว้บนคอนโซลเป็นอันเสร็จธุระ ขอให้กลับมาก่อนหมดเวลาเป็นใช้ได้ครับ

บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1899



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 224  เมื่อ 23 ก.ค. 12, 14:38

เรื่องการรอจังหวะไฟข้ามถนน เท่าที่ผมเคยเห็น ผมว่าคนญี่ปุ่นเคร่งครัดที่สุด บางครั้งบนถนนสายเล็ก มองไปสุดสายตาไม่ว่าขวาหรือซ้ายก็ไม่เห็นรถสักคัน แต่ไฟข้ามถนนยังเป็นไฟแดง คนก็ยืนรออยู่อย่างนั้นแหละครับ คนต่างชาติ(บางชาติ)เห็นถนนว่างขนาดนั้นก็เดินข้ามทันที ผมเห็นกับตาว่าคนญี่ปุ่นหลายคนทำหน้าตาเหวอมาก หลังจากอึ้งไป 5 วินาที คนญี่ปุ่นบางคนก็เอาบ้าง ขอข้ามด้วยคน แต่ก็ยังมีบางคนที่อดทนยืนรอต่อไปอย่างมีวินัยน่านับถือเสียจริงๆ ครับ

ราวยี่สิบกว่าปีที่แล้ว ผมได้คุยกับเพื่อนรุ่นพี่ (หรือรุ่นอา) ท่านหนึ่งที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในญี่ปุ่นอยู่นานจนคนญี่ปุ่นไม่รู้ว่าเป็นคนต่างชาติแม้นั่งคุยอยู่ด้วยกันเป็นชั่วโมง พี่ท่านนี้เล่าให้ฟังว่าภาษีทะเบียนรถยนต์ในญี่ปุ่นนั้นตรงข้ามกับบ้านเรา คือบ้านเรารถยิ่งเก่าภาษียุ่งถูก ในขณะที่ในญี่ปุ่นมีแต่จะแพงขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับเรื่องที่จอดรถที่ต้องมีเตรียมสำหรับรถทุกคัน และราคารถยนต์ใหม่ที่ไม่สูงนัก คนส่วนใหญ่จึงต้องเปลี่ยนรถบ่อย (เมื่อเทียบกับคนไทย) รถที่จะเลิกใช้นั้นไม่ใช่ว่าจะเอาไปจอดอยู่ริมถนนจนผุพังเกะกะได้แบบบ้านเรานะครับ แล้วจะเอาไปทิ้งที่ไหน? ในเมื่ออุปสงค์มากกว่าอุปทานอย่างมาก คนจะทิ้งรถต้องโทรไปตามเซียงกงมาเอารถไป และแทนที่จะได้เงินจากมูลค่ารถที่จะทิ้ง กลับต้องจ่ายค่าลากรถไปให้กับเซียงกงอีกด้วยแน่ะ

หะแรกพวกเซียงกงได้รถมาก็เอาไปแยกส่วนทำลาย แต่ชาติ "กำลังพัฒนา" บางแห่งเห็นว่าอะไหล่จากรถอายุแค่ไม่กี่ปีพวกนี้ยังดีอยู่แท้ๆ ก็ไปขอซื้อกันในราคาถูกๆมาขายเป็นอะไหล่รถยนต์มือสองในไท.. อุ๊ปส์... ขออภัย ในชาติเหล่านั้นครับ พวกอู่แท็กซี่บางแห่งก็ลงทุนไปกว้านซื้ออะไหล่พวกนี้เองถึงที่ด้วยเหตุที่มีความต้องการใช้อะไหล่เพื่อซ่อมรถเป็นจำนวนมาก

ทราบมาว่าธุกิจนี้ (ในเวลานั้น) เป็นธุรกิจที่ทำกำไรได้ดีมากๆ แต่คนที่ทำงานนี้ต้องถึงลูกถึงคน มีความรู้เรื่องอะไหล่และการประเมินสภาพเป็นอย่างดี อีกทั้งต้องทนงานหนักพร้อมจะลุยคุ้ยเขี่ยกองอะไหล่ที่จมอยู่ในน้ำมันเครื่องสูงครึ่งแข้งได้ทุกวัน วันละหลายๆชั่วโมงครับ

ขออภัยที่ออกนอกเรื่องไปเสียไกลครับ  ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
หน้า: 1 ... 13 14 [15] 16 17 ... 37
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.047 วินาที กับ 20 คำสั่ง