เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 7 8 [9] 10 11 ... 37
  พิมพ์  
อ่าน: 172098 เก็บตกมาจากการเดินทาง
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 120  เมื่อ 24 มิ.ย. 12, 10:54

ขออนุญาตชักใบให้ปลาเสียค่ะ.  ยิ้มเท่ห์
มื้อเย็นนี้ไปกินอาหารที่ร้าน Applebees. ตรงข้ามโรงแรม.   มีรายการอาหารปลาชื่อ Grilled. Tilapia.  เสิฟพร้อมผักคือมันฝรั่ง บร็อคโคลี และแครอท. 
เลยสั่งมากิน
เนื้ิอปลาหวาน ไม่มีกลิ่นคาว ถ้าได้กินกับข้าวสวยร้อนๆ. บวกน้ำปลาพริก. คงอร่อยกว่านี้มาก
กลับมาถามกูเกิ้ลดูว่ามันคืออะไร.    บางเว็บบอกว่าปลาหมอเทศ.  กูเกิ้ลบอกว่าปลานิล
เลยแวะกระทู้นี้.   คุณตั้งกับคุณพวงแก้วคงเคยกินมาแล้ว. คงตอบได้ว่ามันปลาอะไรนะคะ
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 121  เมื่อ 24 มิ.ย. 12, 19:37

^
แสดงว่าคุณเทาชมพูโชคดีที่ได้กินปลา Tilapia พันธุ์ดีจากแหล่งเพาะเลี้ยงที่ดี  และภัตตาคารนั้นก็คงได้ทดลองทำอาหารจากเนื้อปลาที่นำเข้ามาจากหลายๆประเทศจนสามารถเลือกยี่ห้อและคุณภาพที่ดีเพื่อบริการลูกค้า

ตัวผมเองมิได้มีความรู้เรื่องการเลี้ยงปลาเศรษฐกิจ ได้รู้จักปลาที่ชื่อ Tilapia ในช่วงงานพิธีการหนึ่งในญี่ปุ่น ก็เลยต้องมาศึกษาหาอ่านเพิ่มเติม ก็พอจะมีความรู้งูๆปลาๆว่า ปลาชนิดนี้เป็นปลาเกล็ดประเภทพบอยู่ทั่วไปในโลก เลี้ยงง่าย ตายยาก โตเร็ว มีหลายเผ่าพันธุ์และหลายลูกผสม

Tilapia ของไทย คือ ปลานิล ซึ่งเป็นชื่อเรียกที่พระราชทานให้ ที่มีการผสมผสานอย่างเหมาะสมมากทั้งในเชิงของสีตัวปลาและชื่อเรียกเผ่าพันธุ์ในภาษาอังกฤษ (Nile Tialpia)

ปัจจุบันปลาในตะกูลนี้เป็นปลาเศรษฐกิจที่มีการเลี้ยงเพื่อการส่งออกจากหลายทวีป จีนนั้นจัดได้ว่าเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่และรายสำคัญของโลก

ปลาทับทิมก็คือปลา Tilapia เหมือนกัน เช่นเดียวกับ ปลาหมอเทศ หมอตาล เสือตอ เหล่านี้ก็ใช่   Tilapia ที่มีขายและกินกันในโลกนี้ เกือบทั้งหมดเป็นพันธุ์ผสม ซึ่งมีชื่อเรียกต่างกันไป ตามแหล่งผลิตบ้าง ตามสีของลำตัวบ้าง และทั้งหลายนี้ก็จะมี texture ของเนื้อต่างกันมากพอที่จะรับรู้ได้

ที่คุณเทาชมพูได้ลิ้มลองรสนั้น คงจะเป็นปลาพันธุ์ผสมจากแหล่งผลิตที่ใดที่หนึ่ง   สำหรับผมนั้นชอบปลานิลไทย เนื่องจากยังมีกลิ่นของธรรมชาติ (กลิ่นโคลน) ติดอยู่ครับ  ยิงฟันยิ้ม   
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12600



ความคิดเห็นที่ 122  เมื่อ 24 มิ.ย. 12, 19:46

ตัวผมเองมิได้มีความรู้เรื่องการเลี้ยงปลาเศรษฐกิจ ได้รู้จักปลาที่ชื่อ Tilapia ในช่วงงานพิธีการหนึ่งในญี่ปุ่น ก็เลยต้องมาศึกษาหาอ่านเพิ่มเติม ก็พอจะมีความรู้งูๆปลาๆว่า ปลาชนิดนี้เป็นปลาเกล็ดประเภทพบอยู่ทั่วไปในโลก เลี้ยงง่าย ตายยาก โตเร็ว มีหลายเผ่าพันธุ์และหลายลูกผสม

Tilapia ของไทย คือ ปลานิล ซึ่งเป็นชื่อเรียกที่พระราชทานให้ ที่มีการผสมผสานอย่างเหมาะสมมากทั้งในเชิงของสีตัวปลาและชื่อเรียกเผ่าพันธุ์ในภาษาอังกฤษ (Nile Tialpia)

ปลาทิลาเพียของไทยก็ได้มาจากญี่ปุ่น

ปลานิล Oreochromis niloticus สมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศมกุฎราชกุมารแห่งประเทศญี่ปุ่น ซึ่งทรงจัดส่งเข้ามาทูลเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๘ จำนวน ๕๐ ตัว ปัจจุบันแพร่พันธุ์เป็นล้าน ๆ ตัวแล้วกระมัง เป็นวัตถุดิบทำอาหารสำคัญของคนไทยทีเดียว  



จาก ปลานิล ก็พัฒนาเป็น ปลาทับทิม (สีค่อยเข้ากับชื่อกระทู้หน่อย  ยิงฟันยิ้ม)




เอเลี่ยนสปีชี่ส์ ถ้าจะเลี้ยงต้องคิดให้ดี มีประโยชน์หรือโทษมากกว่ากัน

 ยิงฟันยิ้ม

บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 123  เมื่อ 24 มิ.ย. 12, 21:05

ก่อนจะไปต่อ ขอย้อนกลับไปอีกสักหน่อยครับ

แว๊บไปต่อเรื่องการเลือกสายการบินและที่นั่ง หากมีโอกาสที่จะเลือกได้

จากประสบการณ์ ผมเห็นว่า ในกรณ๊ที่เป็นการบินระยะไกลและเป็นการบินตรงจากประเทศใดก็ตามไปยังเมืองปลายทางที่เป็น Hub ของประเทศปลายทางนั้นๆ เราก็ควรจะเลือกบินสายการบินของประเทศปลายทางนั้นๆ โดยเฉพาะหากประเทศนั้นๆเป็นประเทศที่มีประชาชนออกไปท่องเที่ยวมากๆ  เส้นทางการบินนี้เรียกว่า Inbound flight  บินในเที่ยวบินแบบนี้สนุกครับ ทั้งผู้โดยสารและพนักงานต้อนรับ ทุกคนจะมีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เป็นมิตร เสมือนหนึ่งได้กลับบ้่านเสียที การให้บริการต่างๆจะเป็นแบบเต็มที่ ขออะไรก็ได้ มากเพียงใดก็ได้ พอจะเรียกได้ว่าเป็นสภาพของการโล๊ะของที่มีอยู่บนเครื่องให้หมดๆไป ทั้งเครื่องดื่ม เบียร์ เหล้า ของแจก ของแถม ฯลฯ (ผู้ที่บินในชั้นธุรกิจและชั้นหนึ่งอาจจะไม่เคยเห็นภาพเช่นนี้เลย)


บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 124  เมื่อ 24 มิ.ย. 12, 21:24

....ปลาทิลาเพียของไทยก็ได้มาจากญี่ปุ่น
 ยิงฟันยิ้ม

ในงานพิธีการนั้น  องค์จักรพรรดิ์ได้ทรงเล่าอีกด้วยว่า ทรงเป็นผู้คัดเลือกปลาจำนวน 50 ตัวนั้นด้วยตัวพระองค์เอง
บันทึกการเข้า
พวงแก้ว
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 125  เมื่อ 24 มิ.ย. 12, 21:59

ดิฉันไม่ค่อยชอบปลานิล แต่เป็นแฟนปลาทับทิม รู้สึกว่าเนื้อหวานกว่าและไม่มีกลิ่น...

แทบทุกสัปดาห์จะสั่งพ่อค้าปลาเจ้าประจำให้เขาแล่เนื้อปลาทับทิมตัวขนาด 1 ก.ก.

แล้วตัดเอากระดูกกลางลำตัวเป็น 3 ท่อน (นอกนั้นทิ้งหมด) เพื่อเอามาทำข้าวต้มปลาและน้ำซุป

คิดแล้วถูกกว่าไปซื้อข้าวต้มปลาเจ้าที่มีชื่อ ซึ่งมีปลาชิ้นบางๆ 3-4 ชิ้นเท่านั้น ...ทานแล้วหงุดหงิด

ข้าวต้มปลาที่ทำเองจะละลายเต้าเจี้ยวญี่ปุ่นลงไปเล็กน้อย ทำให้น้ำซุปข้นขึ้นและมีรสหวานชื่นใจ

(เต้าเจี้ยวญี่ปุ่นกับเต้าเจี้ยวจีน คนละรสเลย ของญี่ปุ่นรสดีจนติดใจเลยคะ )

ดีใจที่ปลาที่อาจารย์เทาชมพู ชมว่าอร่อยหาซื้อได้ในเมืองไทย ...กลับมาจะได้ทำทานเองได้ไงคะ


ยิ่งฟังคุณตั้งเล่าเรื่องวิธีการจับปลาอาหยุ ...ที่แสนยากเย็นแล้วรสเหมือนปลาดุกอุยพื้นบ้านของเรา...

ยิ่งเสียดายที่ไม่ได้ชิม...ใครไปญี่ปุ่นได้เจอปลาแบบนี้ก็อย่าพลาดนะคะ



เรื่องบริการของสายการบินเป็นอีกเรื่องที่น่าคุย ยิ่งคนที่เดินทางบ่อยๆคงมีเรื่องเล่าอีกเยอะเลย...ใช่ไหมคะ น่าสนุก

บันทึกการเข้า
พวงแก้ว
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 126  เมื่อ 24 มิ.ย. 12, 22:10

ยังไปไม่พ้นญี่ปุ่น มีเรื่องอยากถามคะ ว่าการพันเสื่อผืนสั้นๆที่ต้นไม้ (เห็นในวัด ) อย่างบรรจง

เช่นนี้ทำเพื่ออะไรและมีความหมายเกี่ยวข้องกับความเชื่อไหมคะ


บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12600



ความคิดเห็นที่ 127  เมื่อ 24 มิ.ย. 12, 23:11

วิธีนี้ในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า โคะโมะมากิ こも巻き  เป็นการห่อต้นสนด้วยเสื่อฟาง จะเริ่มทำประมาณปลายเดือนตุลาคมซึ่งเป็นเดือนเริ่มต้นฤดูหนาวของญี่ปุ่น

จุดประสงค์เพื่อล่อให้หนอนของผีเสื้อกลางคืน Dendrolimus spectabilis เข้าไปหลบอากาศหนาว



พอต้นเดือนกุมภาพันธ์ ก็จะเอาเสื่อฟางที่มีเจ้าตัวหนอนนี้ไปเผาทำลายเสีย

เป็นการกำจัดศัตรูต้นสนอันแสนชาญฉลาด

 ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 128  เมื่อ 25 มิ.ย. 12, 11:39

ขอกลับไปที่ปลานิลเมืองฝรั่งอีกครั้งค่ะ
รูปนี้ไม่เหมือนเป๊ะ แต่คล้ายมาก  เขาหั่นเป็นชิ้นมาให้  ไม่ได้ย่างมาทั้งตัว
ได้ความว่ามีขายตามซูเปอร์ด้วยค่ะ


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 129  เมื่อ 25 มิ.ย. 12, 12:14

เดินทางท่องเที่ยวคราวนี้ เก็บตกมาได้เรื่องหนึ่งค่ะ    คืออาหารอเมริกันช่างเป็นอาหารน่ากลัวต่อสุขภาพเสียนี่กระไร
เช้าๆ พอตื่นก็ลงลิฟต์มาที่ห้องอาหาร  ทางโรงแรมบวกอาหารเช้าฟรีให้ด้วย   ทุกวันต้องเดินวนอยู่หลายรอบเพราะไม่รู้จะกินอะไรดี   ไม่ว่ามองทางไหน ก็อุดมไปด้วยแป้งหนาๆรสหวานจัด สารพัดชนิด เช่นวอฟเฟิล และโดนัท   ไข่คน เบคอน ไส้กรอก  กินกับกาแฟ น้ำผลไม้กระป๋องเติมน้ำตาลล้นปรี่   น้ำเชื่อม   ทุกอย่าง ถ้าไม่มัน ก็หวานจัด  หรือไม่ก็เค็มไปเลย


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 130  เมื่อ 25 มิ.ย. 12, 12:18

กลางวัน ขับรถไปตามเส้นทางไกลระหว่างรัฐ  ร้านอาหารข้างทางที่ออกตาม exit ต่างๆ ไม่พ้นฟาสต์ฟู้ด    หน้านี้เป็นฤดูร้อน หน้าท่องเที่ยว ครอบครัวพ่อแม่ลูกขับรถเที่ยวกันมากมาย     แวะกินแฮมเบอร์เกอร์เหมือนเราแวะร้านไก่ย่างส้มตำกัน    เด็กตัวเล็กตัวน้อยโตขึ้นมากับอาหารประเภทแป้ง เนื้อสัตว์ และน้ำตาล   ผักมีน้อยมาก
ที่นี่น้ำอัดลมใส่ถ้วยชนิดน่าจะเรียกว่าถังมากกว่าถ้วย  ซื้อถ้วยเดียว ให้เติมฟรีไม่อั้นเสียด้วย
จึงเป็นเรื่องธรรมดา ที่้เห็นหนุ่มสาว  คนวัยกลางคน ไปจนชรา หุ่นอย่างรูปข้างล่างนี้ เดินกันมากมายเป็นเรื่องธรรมดาค่ะ

เคยสวนทางกับครอบครัวหนึ่งที่หน้าลิฟต์  มีลูกเล็กๆสามคน ตัวผอมๆ  แสดงว่าเป็นเด็กกินยาก   แต่พอพ่อกับแม่เดินมาสมทบ  แทบจะร้องโอ้โฮออกมาต่อหน้าพวกเขานั่นเอง  เคราะห์ดีกลั้นเอาไว้ทัน
พ่อแม่ หนักเฉียดๆ 200 กิโล  ย้ำ  กิโลนะคะไม่ใช่ปอนด์  ยิ่งคุณแม่ซึ่งก็อายุประมาณ 30  ยังนึกไม่ออกเลยว่าเธอแบกน้ำหนักขนาดนั้นเคลื่อนไหวทำงานประจำวันได้อย่างไร

ทั้งหมดนี้มาจากอาหารอเมริกันโดยแท้


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
พวงแก้ว
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 131  เมื่อ 25 มิ.ย. 12, 12:50

ขอบคุณคุณเพ็ญชมพูมากคะ  เป็นการแก้ปัญหาที่ยุ่งยากให้ง่ายขึ้น แทนที่จะต้องวิ่งไล่จับแมลง

ก้สร้างบ้านให้มันซะ แล้วก็รวบทั้งบ้านไปจัดการทีเดียว ไม่ต้องเหนื่อยมาก เป็นภูมิปัญญาที่

เรียบง่ายแต่ล้ำลึก...

ส่วนอาหารอเมริกันกับคนอเมริกับที่อ.จ.โพสให้ดู...ทำให้นึกย้อนไปเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว

สมัยนั้นจำได้ว่าแม่บ้านไทยที่มีอายุในวัยกลางคนขึ้นไปส่วนใหญ่ ก็หุ่นคล้ายๆแบบนี้

แต่เรามีส่วนสูงน้อยกว่า ก็เลยดูอ้วน เตี้ย ไปเลย นั่นเพราะอาหารที่รับประทานตามบ้าน

จะอุดมด้วยกะทิ  ของทอดชุ่มน้ำมันหมู และขนมหวานแบบไทยที่นั้งหวานทั้งมัน ทานล้างปากกันทุกวัน

แถวระแวกบ้านจะมีบ้านที่ทำขนมพวกนี้ออกไปขายกันทุกเย็น  เรียกว่าขายดิบขายดี

ต่อมา  เมื่อสื่อทีวีเจริญขึ้น ความนิยมคนผอมก็เข้ามาแทนที่ ตามกลุ่มไฮโซ ที่จบจากเมืองนอกมา

แต่ตัวสวยโก้  และตามมาด้วยกระแสรักสุขภาพ ....เดี๋ยวนี้สาวไทยมีรูปร่างที่เปลี่ยนไป ขายาว เล็ก เรียว

จนแต่งตัวตามแฟชั่นได้สบาย ไม่ว่าจะขาสั้น สักแค่ไหนเธอก็สู้...โดยไม่หวั่นเกรงสายตาใคร

 และถ้าสังเกตก็จะเห็นว่ากระแสนี้แรง และครอบคลุมทุกระดับสังคม...

แต่ในอนาคตถ้ากระแสฟาสท์ฟูดยังแรงแบบนี้ก้ไม่แน่ว่าสาวไทยจะย้อนกลับไปเหมือนอดีตอีกหรือเปล่านะคะ

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 132  เมื่อ 26 มิ.ย. 12, 00:00

สาวๆ ในเมืองคงคุมน้ำหนักตัวเองได้  แต่ว่าเด็กๆนี่ซีคะ โตขึ้นมากับฟาสต์ฟู้ด ในศูนย์การค้าตจว.ก็มีให้นั่งกินได้ตามสบาย  จะอ้วนกันไปหมดตั้งแต่ก่อนวัยรุ่น
เมื่อค่ำวานนี้(ตรงกับเช้าของวันจันทร์ในไทย) พายุฝนฟ้าคะนองมาอีก   เปิดประตูออกไปเจอลมร้อนพัดปะทะหน้า  แยกออกระหว่างอากาศเย็นตามปกติของที่นี่ กับลมร้อนที่แปลกปลอมเข้ามา    เชื่อว่าลมจากภูเขาพัดพาไอร้อนจากไฟป่ามาถึงเมือง   ตอนนี้รัฐเหมือนเจอยุทธการ "(ไฟ)ป่าล้อมเมือง"กันแล้ว    เครื่องบินที่พาน้ำไปดับไฟก็เลยลมแรงพัดแปรปรวน หอบน้ำไปตกที่อื่น  กำหนดทิศทางลมไม่ได้   ไฟคงจะเผาไหม้ภูเขาอีกเป็นเดือน   แต่ว่ามันยังไม่ลงมาถึงพื้นราบ   ตามหมู่บ้านบนภูเขา ผู้คนต้องอพยพนับเป็นพันๆคน
ล่าสุดพนักงานดับเพลิงเสียชีวิตไปแล้ว 1 คน
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 133  เมื่อ 27 มิ.ย. 12, 13:06



ไฟป่าที่เกิดขึ้นใหม่ทางตอนใต้ของโคโลราโด  ที่โคโลราโดสปริงส์ซึ่งเป็นที่ตั้งของร.ร.นายเรืออากาศของสหรัฐ ทำให้ทางการต้องอพยพชาวบ้าน  32,000 คน หนีไฟป่าที่ลุกลามเข้ามาถึงตัวเมืองแล้วค่ะ
ชาวโคโลราโดกำลังช็อคกับภัยธรรมชาติที่ไม่เคยเจอมาก่อน   มันถึงขั้น disaster (หายนะ) กันแล้ว
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 134  เมื่อ 27 มิ.ย. 12, 19:38

หายไปต่างจังหวัด 2 วันครับ

เดินทางท่องเที่ยวคราวนี้ เก็บตกมาได้เรื่องหนึ่งค่ะ    คืออาหารอเมริกันช่างเป็นอาหารน่ากลัวต่อสุขภาพเสียนี่กระไร
เช้าๆ พอตื่นก็ลงลิฟต์มาที่ห้องอาหาร  ทางโรงแรมบวกอาหารเช้าฟรีให้ด้วย   ทุกวันต้องเดินวนอยู่หลายรอบเพราะไม่รู้จะกินอะไรดี   ไม่ว่ามองทางไหน ก็อุดมไปด้วยแป้งหนาๆรสหวานจัด สารพัดชนิด เช่นวอฟเฟิล และโดนัท   ไข่คน เบคอน ไส้กรอก  กินกับกาแฟ น้ำผลไม้กระป๋องเติมน้ำตาลล้นปรี่   น้ำเชื่อม   ทุกอย่าง ถ้าไม่มัน ก็หวานจัด  หรือไม่ก็เค็มไปเลย

ภาพในความทรงจำของผมเมื่อช่วง 30 กว่าปีก่อนกับอีกช่วงช่วงประมาณ 20 ปีก่อน ผมก็ยังได้เห็นวิถีการกินของคนอเมริกันเปลี่ยนแปลงไปมาก
ทางด้านตะวันออกดูจะเปลี่ยนแปลงไปน้อยมาก ค่อนข้างจะยังอยู่ในแนวคิดกินแบบยั้งคิด คือทุกวันและแทบจะทุกมื้อกินอาหารค่อนข้างเบา และปริมาณไม่มาก จะมีเพียงวันเดียวในหนึ่งอาทิตย์ที่กินแบบหนักเป็นเนื้อเป็นหนังกันเลยทีเดียว และก็เป็นอาหารเย็นอีกด้วย แต่ในปัจจุบันนี้ไม่ทราบ ไม่ได้ไปนานแล้ว
ส่วนทางด้านตะวันตกนั้น ผมไ้ด้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ในภาพที่เหมือนกับที่คุณเทาชมพูได้เล่ามา อาหารในหนึ่ง portion ที่เสิร์ฟมานั้นมีปริมาณมากขนาดแบ่งกินได้สองมื้อเลยทีเดียว ไล่ตั้งแต่อาหารเช้าไปเลย และทุกมื้อทุกวันเสียด้วย ขนาดผมเป็นคนกินอาหารเช้าหนักมากกว่าอาหารเย็นยังกินอาหารเช้าในปริมาณที่เสิร์ฟมาได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งหนึ่ง

หากสังเกตจากข่าวต่างๆที่ออกมาทางสื่อต่างๆ ผมเห็นว่า คนอเมริกันทางตะวันตกนิยมที่จะเสริมสร้างร่างกายให้ใหญ่โตแต่มีความแข็งแรง โดยการกินมากแล้วออกกำลังมาก ขนาดนั้นก็ยังไม่พอ ตามสถานที่ออกกำลังที่เรียกว่ายิมนั้นยังมีการลักลอบขาย Steroid เพื่อเสริมสร้างความใหญ่โตของร่างกายเข้าไปอีก
 
นึกขึ้นได้ว่าที่จริงแล้วข่าวทางด้านฝั่งตะวันออกของอเมริกาไม่ค่อยจะมีปรากฎตามสื่อต่างๆ

 
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 7 8 [9] 10 11 ... 37
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.095 วินาที กับ 20 คำสั่ง