เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 420 เมื่อ 09 ธ.ค. 12, 19:08
|
|
ถ้าต้องหากันด้วยระบบนี้ เสียค่าแทกซี่มากกว่านี้สัก ๒ เท่าดิฉันก็ยอมค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 421 เมื่อ 09 ธ.ค. 12, 19:35
|
|
ระบบการจัดที่อยู่ที่เป็น block ของญี่ปุ่นนี้ ผมเห็นว่าเป็นการผสมผสานกันในระหว่างแนวคิดการจัดผังเมืองแต่โบราณของจีน ซึ่งจะจัดให้ตัวปราสาทราชวังของผู้ปกครองอยู่เป็นศูนย์กลาง แล้วแบ่งออกเป็นตาตะรางสี่เหลี่ยมล้อมรอบเป็น block จำนวน 8 block (8 ทิศ) กับแนวคิดของญี่ปุ่นที่ผังเมืองเป็นลักษณะขยายออกไปเป็นวงกลมล้อมรอบ เมืองเก่าๆของญี่ปุ่น เช่น นารา หรือเกียวโตจะเป็นผังเมืองแบบของจีน ยกเว้นในฮอกไกโดที่มีผังเมืองในลักษณะเป็น block เหมือนกัน แต่เป็นไปเนื่องมาจากอิทธิพลของคนในชาติตะวันตกที่มาติดต่อทำมาค้าขายในอดีต สำหรับเมืองใหญ่ๆในอิทธิพลความคิดของญี่ปุ่นเองนั้น จะมีถนนสายหลักที่เดินทางมุ่งเข้าสู่ตัวปราสาทราชวังหรือที่อยู่ของผู้ทรงอำนาจครองเมือง การตัดซอยถนนเชื่อมกันจึงมีลักษณะเป็นใยแมลงมุม (เหมือนกับเมืองเก่าๆทั้งหลายในเอเซีย เช่น ฮานอย และเมืองเก่าๆในอิตาลี หรือแม้กระทั่งเมืองหลักที่อยู่ในต่างจังหวัดของไทยเราเอง) ชื่อถนนของญี่ปุ่นจึงมีเฉพาะเส้นทางสายหลักที่ใช้เดินทางเข้าสู่ศูนย์กลางของเมือง ลักษณะถนนที่เป็นลักษณะของใยแมลงมุมในญี่ปุ่นนี้ (และที่อื่นๆในโลก) ทำให้เกิดเป็น block รูปสามเหลี่ยม ซึ่งตรงนี้เองที่ทำให้เราเกิดการหลงทั้งทิศและทิศทางได้โดยง่ายมากๆ หากมีโอกาสนั่งรถไฟชินกันเซนของญี่ปุ่นลองมองออกไปทางหน้าต่าง จะเห็นว่า ถนนแทบจะทุกเส้นที่ทางรถไฟตัดผ่าน จะเป็นลักษณะทะแยงมุม แล้วจะเห็นที่ถนนแยกออกไปจากถนนหลักเป็นลักษณะก้างปลาหรือขนนก หลงทิศหลงทางได้ง่ายจริงๆครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 422 เมื่อ 09 ธ.ค. 12, 19:45
|
|
คุณเทาชมพูว่า ยอมเสียค่าแท็กซี่ 2 เท่าก็ยอม ทำให้นึกถึงอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อเห็นญี่ปุ่นโฆษณาหรือบอกว่าบ้าน หรืออาคาร หรือสถานที่นั้นๆ อยู่ห่างจากสถานีรถไฟด้วยระยะเดินประมาณ 2 นาที หรือ.... หรือจะกี่นาทีก็ตาม ท่านพอจะทราบมาตรฐานการวัดหรือไม่ครับ  ลองเดากันดู อีกสักพักจะเฉลยคำตอบ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 423 เมื่อ 09 ธ.ค. 12, 20:04
|
|
รู้แต่ว่าคนญี่ปุ่นเดินเร็วมากค่ะ คนไทยเรียกว่าจ้ำไม่เหลียวหลัง เคยเดินที่สถานีรถใต้ดิน ถ้าหากว่าเดินแบบไทยเดิน ญี่ปุ่นที่สตาร์ทพร้อมกัน ก็จะทิ้งช่วงห่างจากเราไปจนต้องวิ่งกระหืดกระหอบตาม 2 นาทีญี่ปุ่นเห็นจะ 5 นาทีไทยมั้งคะ เดาเอา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 424 เมื่อ 09 ธ.ค. 12, 21:00
|
|
ถูกต้องด้วยพื้นฐานครับ
คำตอบที่ทราบมา คือ ระยะทางที่ผู้หญิงปรกติคนหนึ่ง ที่แต่งเสื่อผ้าชุดไปทำงาน ใส่รองเท้าส้นสูงตามปรกติ (คงจะเป็นส้นสูงระหว่าง 1 - 1 1/2) นิ้ว) เดินใน 1 นาที ซึ่งจะเป็นระยะทางประมาณ 80 เมตร ตัวผมเองยังคิดว่าตนเองยังไม่น่าจะรอดเลย มันเกือบจะเป็นกึ่งวิ่งกี่งเดินแล้วครับ ซึ่งเป็นวิถีการเดินตามปรกติของคนญี่ปุ่นเหมือนกับที่คุณเทาชมพูสังเกตหรือได้พบเห็นมา หากมีโอกาสก็ลองสังเกตดูครับ คนญี่ปุ่นพอรับคำแล้วพูดว่า ไฮ้ แล้ว เขาจะเริ่มยกแขน งอข้อศอกสองข้างยกมือขึ้นเทียมหน้าอก แล้วเตะเท้าออกไปเริ่มเหมือนกับนักวิ่งออกสตาร์ตวิ่งเลย เป็นอากัปกริยาอย่างหนึ่งที่จะเห็นได้เป็นปรกติทั่วไป
คราวนี้ก็พอจะประมาณระยะทางได้แล้วนะครับว่า หากคนญี่ปุ่นบอกว่าเดินประมาณ 3 นาที ก็จะหมายถึงระยะทางประมาณ กว่าสองสนามฟุตบอลล์ หรือประมาณ 200 เมตรกว่าๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 425 เมื่อ 09 ธ.ค. 12, 21:27
|
|
คนญี่ปุ่นขยันขันแข็ง บวกกับอากาศหนาวเย็น เดินแกมวิ่งได้สบาย ไม่เหมือนเดินในเมืองร้อนอย่างบ้านเรา ถ้าเดินริมถนนกรุงเทพอย่างญี่ปุ่นเดินในโตเกียว โดยไม่หยุดเลยเป็นเวลาสัก ๒๐ นาทีญี่ปุ่น คนไทยอาจเป็นลมหน้ามืดไปเลยก็ได้ค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 426 เมื่อ 10 ธ.ค. 12, 19:50
|
|
^ เรื่องเดินแกมวิ่งนี้เป็นอุปนิสัยประจำของคนญี่ปุ่นในญี่ปุ่นจริงๆ
ต่อไปอีกนิดครับ ในญี่ปุ่นนั้น เมื่อเกิดฝนตก (ซึ่งจะไม่ใช่ตกจั้กๆแบบบ้านเรา) เราจะเห็นผู้หญิงญี่ปุ่นกระทำอยู่ 2 ลักษณะเมื่อต้องเิดินผ่าฝน คือ เอากระเป๋าถือยกเหนือหัวเพื่อบังฝน กับเอากระเป๋าถือกอดไว้ที่หน้าอก พอจะทราบเหตุผลใหมครับว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
เลยขอเลยเถิดไปถึงศัพท์ที่ใช้ในการอธิบายหรือเรียกลักษณะความต่างของที่ฝนตก คงพอจะบอกถึงความแตกต่างได้นะครับ คือคำว่า mist, precipitation, rainy, rain, heavy rain, shower, storm, thunder storm ในภาษาไทยก็ดูพอจะมีคำเรียกที่ตรงกันอยู่กับคำเหล่านี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 427 เมื่อ 10 ธ.ค. 12, 20:08
|
|
เคยไปญี่ปุ่นตอนหน้าฝน เห็นเขามีร่มติดมือกันเกือบทุกคน เวลาเข้าไปในห้างร้านสรรพสินค้า ข้างประตูมีที่ให้เสียบร่ม ไม่ต้องถือเข้าไปให้เกะกะ พอจะกลับออกไปก็แวะหยิบร่มกลับไปด้วย ท่าเอากระเป๋าบังหัวกับกอดไว้แนบอก ที่คุณตั้งถาม ดิฉันยังไม่เคยเห็น เอากระเป๋าบังหัวก็คงจะกันเม็ดฝนลงหัว นักเรียนไทยก็ทำเหมือนกัน ส่วนกอดไว้กับอก เดาว่าคงไม่ให้ฝนสาดเปียกเสื้อ ซึ่งจะทำให้ชื้นเป็นหวัดง่ายละมังคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 428 เมื่อ 10 ธ.ค. 12, 20:37
|
|
คำตอบ
ที่เอากระเป๋ากอดไว้ที่หน้าอกนั้น เพราะว่าเป็นกระเป๋าแบรนด์ราคาแพงมากครับ ที่อุตส่าห์ไปยืนเข้าแถวรอเพื่อจะได้เข้าไปซื้อกันตามเมืองใหญ่ที่ไปท่องเที่ยวกัน
เรื่องของร่มก็น่าสนใจเหมือนกัน แล้วค่อยเล่าต่อครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 429 เมื่อ 10 ธ.ค. 12, 20:47
|
|
เคยไปญี่ปุ่นตอนหน้าฝน เห็นเขามีร่มติดมือกันเกือบทุกคน ร่มจึงเป็นของที่คนญี่ปุ่นลืมทิ้งไว้บนรถไฟฟ้าเป็นอันดับหนึ่ง 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 430 เมื่อ 10 ธ.ค. 12, 21:27
|
|
คุณเพ็ญชมพูคงเคยไปเดินฝ่าฝนญี่ปุ่นมาแล้ว 
|
 คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 431 เมื่อ 11 ธ.ค. 12, 08:33
|
|
เคยฝ่าทั้งฝนและหิมะ ที่ญี่ปุ่นฝนมักตกปรอย ๆ (precipitation ?) ไม่ค่อยตกจั๊ก ๆ (heavy rain ?) อย่างที่คุณตั้งว่า หิมะในโตเกียวก็ตกไม่ค่อยหนักเท่าไร ไม่เหมือนรอบนอก ๆ เมือง 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 432 เมื่อ 11 ธ.ค. 12, 19:41
|
|
ประชากรญี่ปุ่นมีเกือบๆ 130 ล้านคน เคยมีการประมาณกันว่า คนญี่ปุ่นแต่ละคนจะซื้อร่มไม่น้อยกว่า 2 คันต่อคนต่อปี ซึ่งหมายความว่าตลาดญี่ปุ่นมีความต้องการร่มไม่น้อยกว่า 100 ล้านคันต่อปี เป็นตลาดที่น่าสนใจนะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 433 เมื่อ 12 ธ.ค. 12, 18:05
|
|
ร่มที่เราใช้กันนี้ คงจะพอแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ ใช้กันแดด กับกับกันฝน และก็คงจะแยกออกไปได้เป็น 3 ชนิดตามลักษณะของก้านร่ม คือ ก้านยาวเต็มตัว ย่อสองท่อน และย่อสามท่อน
ร่มสีสวยๆมักจะเป็นร่มกันแดด จะมีขนาดไม่กว้าง ผู้หญิงจะเป็นฝ่ายผู้ซื้อใช้เป็นหลัก จึงมีน้ำนักเบา และมักจะเป็นแบบก้านสามท่อน พับใส่กระเป็าถือได้ วัสดุที่ใช้จะบางและเบาน้ำซึมผ่านได้ ร่มกันฝนมักจะมีสีดำและสีกรมท่า มีขนาดค่อนข้างใหญ่ ก้านร่มท่อนเดียวหรือสองท่อน ค่อนข้างจะแข็งแรงและมีน้ำหนัก (เนื่องจากต้องรับแรงลมด้วย) วัสดุจะเป็นประเภทที่กันน้ำได้ค่อนข้างดี (มองไม่ทะลุ)
เล่ามาแบบเอามะพร้าวห้าวมาขายสวน แท้จริงแล้วจะบอกเล่าในสองสามเรื่อง คือ ในสังคมนานาชาตินั้น เขาค่อนข้างจะแบ่งแยกกันชัดเจนว่าของผู้ชายใช้หรือของผู้หญิงใช้ และควรจะเลือกใช้ให้ถูกกาลเทศะอีกด้วย เรื่องที่สองคือ เป็นปรกติและมารยาททั่วไปที่จะไม่เอาร่มที่เปียกน้ำฝนในเข้าไปในอาคารสถานที่ใดๆ จึงมีที่สำหรับใส่ร่มไว้ที่หน้าประตูทางเข้าอาคาร กรณีเป็นห้างใหญ่ๆ เขาก็จะมีถุงพลาสติกให้สวมร่มเพื่อเอาติดตัวไปด้วย และเรื่องที่สาม เป็นเรื่องต่อเนื่องของเรื่องที่สอง ทำให้เราคงจะต้องคิดเหมือนกันว่าจะซื้อร่มราคาแพงหรือราคาถูกมาใช้ เนื่องจากมีโอกาสทั้งการหยิบสลับกันหรือหายไป และรวมทั้งการลืมของเราด้วย
ฝนในบ้านเรานั้น ก่อนจะตกมักจะมีอากาศอบอ้าว ตกแล้วก็เย็นชื่นใจขึ้นมานิดหน่อย ต่างกับฝนที่ตกในประเทศที่มีอากาศหนาวเย็นหรือที่มีหิมะตกในฤดูหนาว ฝนในประเทศเหล่านี้จะตกในช่วงเริ่มต่อเข้าฤดูหนาว หลังฝนตกแล้วจะรู้สึกอากาศเย็นมาก เป็นเรื่องที่จะต้องระวังในการแต่งกายและเลือกใช้เสื้อผ้าให้มาก จะเจ็บป่วยได้ง่ายมากๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 434 เมื่อ 12 ธ.ค. 12, 18:39
|
|
เอาภาพมาประกอบค่ะ ร่มกันฝน กับร่มกันแดด ร่มกันแดดของเชียงใหม่ เป็นสินค้าขึ้นชื่อในสมัยก่อน ทำจากกระดาษ เอาไว้กันแดดอย่างเดียว ไม่กันฝน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|