เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 22 23 [24] 25 26 ... 37
  พิมพ์  
อ่าน: 171791 เก็บตกมาจากการเดินทาง
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 6362


ความคิดเห็นที่ 345  เมื่อ 03 ต.ค. 12, 10:07

^ ขอบคุณครับ

Thai Airways International puts the A380-800 into the sky

จาก The Nation
                             


บันทึกการเข้า
cutenail
อสุรผัด
*
ตอบ: 9


ความคิดเห็นที่ 346  เมื่อ 03 ต.ค. 12, 11:58


ในกรณีที่เครื่องบินไม่จอดที่งวงโดยสาร และจะต้องนั่งรถบัส เซอร์วิสไปขึ้นเครื่องที่ลานจอดนั้น ทำไมบางครั้งรถบัสต้องวนรอบลาน หรือวนรอบเครื่องบินอยู่สองสามรอบ (เป็นบางครั้งนะครับ) ไม่เข้าไปจอดทันที พอทราบหรือไม่ครับ (สายการบินรักคุณเท่าฟ้า)

และในกรณีที่พนักงานขับรถบัสบริการไปยังลานจอด ขับขี่พร้อมโทรศัพท์ไปด้วย จะสามารถแจ้งให้เตือนได้ที่ใคร ณ เวลานั้นได้ครับ
บันทึกการเข้า
นอแรด
มัจฉานุ
**
ตอบ: 99


ความคิดเห็นที่ 347  เมื่อ 03 ต.ค. 12, 14:46


โห ท่านเล็บน่ารัก  ชื่อของท่านหวาดเสียวเสียนี่กะไร

ผมเองก้อไม่ทราบเหมือนกันคร๊าบ เดาไม่ถูกว่าทำไมเขาต้องวน และผมเองก็ไมได้อยู่แผนก operation ซะด้วย เลยเดาไม่ถูก

ส่วนเรื่องพนักงานโทรศัพท์ขณะขับขี่นั้น  แนะนำว่าถ่ายรูปเป็นหลักฐานไว้เลยจะดีกว่านะครับ จำflight ที่ท่านบินไป แล้วก็ถ่ายหมายเลขข้างรถไว้ด้วย

แล้วก็ส่งจดหมายไปถึงผู้ที่ท่านอยากจะให้รู้

แต่เป็นคนเดียวกะขับรถบัสวนเครื่องอยู่สองสามรอบ อาจเป็นเพราะว่าเขาไม่รู้ว่าจะส่งผู้โดยสารขึ้น กะไดหน้าหรือกะไดหลังดี ติดต่อทางวิทยุไม่ได้
ก็เลยโทรศัพท์สอบถาม ก้อเป็นได้ครับ   

เมตตาเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนให้เราเกิดความสุขครับ
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 348  เมื่อ 04 ต.ค. 12, 20:46

เห็นภาพ Airbus A380-800 แล้ว อืม์    และก็มีเรื่องราวที่เกิดขึ้นในการขนส่งบน runway ในส่วนที่เรียกกันว่า tarmac  และก็เรื่องที่เกิดในขั้นตอนของการขึ้น boarding pass แล้ว ทำให้คิดเลยเถิดไปถึงอีกหลายเรื่องที่มีประสบการณ์อยู่

เรื่องแรก การเช็คอินก่อน (เมื่อเริ่มเปิดทำการ) หรือหลังดี   
ในประสบการณ์ของผมเอง  ผมจะทำการเช็คอินเมื่อเริ่มเปิดทำการ ก็ต่อเมื่อผมรู้ว่าน้ำหนักกระเป๋าของผมเกินไปจากที่กำหนดให้ (ในระดับที่ไม่มากนะครับ) เนื่องจากเจ้าหน้าที่จะยังไม่เข้มงวด ก็จะผ่านได้โดยไม่มีปัญหา พอเข้าระยะเวลาช่วงกลางๆของการเปิดเช็คอิน ซึ่งมักจะเป็นช่วงของการเข้ามาเช็คอินของทัวร์และผู้โดยสารอื่นๆ นำ้หนักสะสมของสัมภาระจะเริ่มเข้าสู่จุดวิกฤติของการบินในเที่ยวนั้น   ยิ่งเช็คอินช้ามากเข้า เรื่องของน้ำหนักก็จะเริ่มเป็นปัญหามากขึ้น   แต่หากสัมภาระของผมมีน้ำหนักไม่เกินที่กำหนด ผมก็จะไปทำการเช็คอินท้ายๆก่อนปิดเคาท์เตอร์ เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินเล่นและนั่งรอนานๆ   ในกรณีที่เวลาไม่อำนวย หากน้ำหนักดูว่าจะเกิน ก็จะใช้วิธีถ่ายน้ำหนักไปใส่ในกระเป๋าหิ้วหรือเป้สะพายหลังให้มากขึ้น 

ขออภัยครับ เลยไม่จบตอน มีเรื่องที่ให้ต้องไปทำครับ   



บันทึกการเข้า
นอแรด
มัจฉานุ
**
ตอบ: 99


ความคิดเห็นที่ 349  เมื่อ 10 ต.ค. 12, 22:34

เรื่องการเช็คอิน ปกติแล้วสายการบินมักจะทำการ over booking  ( คือจองรับผู้โดยสารโดยเฉพาะชั้นeconomy มากกว่าจำนวนที่นั่งที่มีอยู่จริง ) สาเหตุเนื่องจากผู้โดยสารมีการ No Show แทบทุก flight ส่วนจะเป็นจำนวนกี่ % ก็แล้วแต่สถิติของเที่ยวบินนั้นๆ  

และจุดประสงค์ของสายการบินคือ ต้องทำกำไรสูงสุดดังนั้นต้องพยายามให้ผู้โดยสารขึ้นเต็มทุกที่นั่ง จึงรับผู้โดยสารให้มากไว้เสียก่อน

ถามว่า....ถ้าผู้โดยสารทั้งหมดเกิดมาจริงๆ จะทำอย่างไร ? ก็ไม่มีปัญหา  Up grade ผู้โดยสารที่เกิน ขึ้นไปนั่งชั้น Business Class เท่านั้นเอง

พนักงานที่check in (  จริงๆแล้วก็เป็นหน้าที่ของซุป ) ก็จะดูสาระรูปของท่านว่า แต่งกายอย่างไร ท่าทางพอจะเข้ากลมกลืนกับผู้โดยสารชั้น Business Class ได้หรือไม่  

ดังนั้นเมื่อท่านจะเดินทางไปไหนก็ตาม และอยากจะลุ้นนั่ง Business Class ก็ต้องแต่งตัวดีๆ ผู้ชายควรใส่สูท   และต้องดูว่า Flight นั้นๆ เต็มหรือไม่ ถ้าเต็มก็ไปดูแถว standby ใกล้เวลาปิด แถวนั้นจะจอแจจอกแจก  พนักงานจะคุยกันโหวกแหวก ว่ามีเหลือกี่ที่ อะไรทำนองนั้น

ท่านก็เดินเข้าไป check in แล้วยิ้มหวาน โปรยเสน่ห์เข้าไป .......... ยิ้มเท่ห์


ปล.ถ้ามีญาติโกโหติกาทำงานในสายการบินนั้นๆ ยิ่งสะดวก สั่งจองขอกันไว้เลยครับ
บันทึกการเข้า
นอแรด
มัจฉานุ
**
ตอบ: 99


ความคิดเห็นที่ 350  เมื่อ 10 ต.ค. 12, 23:00


ส่วนท่านที่อยากบินฟรี ก็แนะนำให้ไปหาคนที่ทำงานสายการบินเป็น ภรรยา หรือสามี ถ้าได้ตำแหน่งสูงๆ ก็จะดี เพราะว่าจะมีสิทธิมากและอาจได้นั่งชั้น Business
Class  ปีละหลายๆหน  ( ทางที่ดีก่อนจีบ ควรอ่านดูกฎข้อบังคับของสายการบินนั้นๆ ก่อนเพื่อความปลอดภัยนะครับ เพราะกฎแต่ละสายการบินไม่เท่ากัน )

ปล. พนักงานสายการบินตำแหน่งสูงส่วนใหญ่ ....มักจะมีวัยสูงด้วย ร้องไห้
บันทึกการเข้า
พวงแก้ว
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 351  เมื่อ 20 ต.ค. 12, 14:25

คุณตั้งกลับมาจากการเดินทางกับครอบครัวคราวนี้ คงมีเรื่องเก็บตกจากการเดินทางมาเล่าให้ฟังอีกนะคะ
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 352  เมื่อ 08 พ.ย. 12, 19:07

ขอกลับไปควักกระทู้นี้ขึ้นมาอีกครับ คิดว่ายังมีเรื่องที่น่าจะเล่าให้เป็นข้อมูลอีกมาก  ผมมัวแต่ใช้เวลาไปเขียนกระทู้อื่่นอยู่นาน

ย้อนกลับไปอ่านใหน้าแรก มีเรื่องของพาสปอร์ต ก็จะขอเล่าประสบการณ์เพิ่มเติม

พาสปอร์ตมีหลายแบบดังที่ทราบกันอยู่  แต่ละประเภทก็มีข้อจำกัดไม่เหมือนกัน  ในสามประเภทหลักของเรา คือ สีน้ำตาล-พาสปอร์ตบุคคลธรรมดาใช้ในการเดินทางแบบปุถุชนธรรมดา (Ordinary Passport)  สีน้ำเงิน-พาสปอร์ตสำหรับข้าราชการใช้เดินทางไปในงานราชการ (Official Passport) และสีแดง-พาสปอร์ตนักการทูต (Diplomatic Passport) ใช้สำหรับบุคคลในงานทางการทูตเดินทางไปในงานและกิจกรรมทางการทูต   

พาสปอร์ตสีน้ำเงินนี้ บางครั้งก็ออกให้กับบุคคลธรรมดาที่ต้องเดินทางไปร่วมทำงานกับข้าราชการ (เป็นประจำ) ในกิจการงานทางราชการต่างๆ
พาสปอร์ตสีแดงนี้ นอกจากจะใช้สำหรับนักการทูตแล้ว ก็มักจะมีการออกให้กับบุคคลในระดับรัฐมนตรีขึ้นไป ซึ่งอยู่ในระหว่างการดำรงตำแหน่ง มีอายุสั้นและ/หรือเฉพาะในช่วงที่ต้องไปปฏิบัติงานในฐานะตัวแทนของรัฐ  และ/หรือเพื่อเป็นเกียรติให้กับคนที่เป็นอดีตนายกรัฐมตรี

เมื่อไปขอวีซ่าเข้าเมืองของประเทศต่างๆนั้น มีมากมายหลายประเทศที่ประเภทบุคคลธรรมดาไม่ต้องใช้วีซ่า  แต่ประเภทข้าราชการและนักการทูตต้องใช้วีซ่า และ้ก็มีอีกมากมายที่บางประเทศ สำหรับประเภทข้าราชการต้องใช้วีซ่าแต่นักการทูตไม่ต้องใช้วีซ่า หรือข้าราชการไม่ต้องใช้วีซ่าแต่นักการทูตต้องใช้วีซ่า  ทั้งหมดเป็นเรื่องของความตกลงระหว่างกัน

พาสปอร์ตนั้นเป็นเพียง ID สำหรับบุคคลของประเทศหนึ่งที่ใช้ในการเดินทางในประเทศอื่นๆ  พาสปอร์ตทั้งสามประเภทหลักดังกล่าวนั้น ไม่ได้ให้สิทธิแก่ผู้ถือผู้ใดได้รับสิทธิอยู่เหนือกฏหมายและเหนือคนในประเทศที่เดินทางไปในประเทศของเขา   ความต่างนั้นมีอยู่เพียง เรื่องของการอำนวยความสะดวก (facilitation) เช่น มีช่องแยกการตรวจประทับตราสำหรับการเข้าเมืองแยกออกไป จะได้ไม่ต้องรอคิวนาน  สำหรับเอกสิทธิ์ (privilege) ของผู้ถือพาสปอร์ตนั้น ก็เป็นเพียงความช่วยเหลือที่จะได้รับการให้ความสนใจหรือจัดการให้ดีกว่าคนอื่นเมื่อได้รับ มิใช่เรื่องขนของเข้าออกโดยไม่ถูกตรวจตราและเสียภาษีเป็นต้น  ส่วนในเรื่องของความคุ้มครอง (immune) หรือการเป็นบุคคลอยู่เหนืออำนาจทางศาล ซึ่งก็ยังต้องเคารพและอยู่ภายใต้ข้อกฏหมายของเขานั้น ผู้ถือพาสปอร์ตทางการทูตไม่มี ยกเว้นว่าจะเป็นบุคคลที่รัฐบาลหรือรัฐสภาของประเทศนั้นๆจะเห็นชอบ ซึ่งก็จะเป็นเฉพาะกรณีไปอยู่ปฏิบัติหน้าที่ทางการทูตเป็นตัวแทนของประเทศเท่านั้น  โดยนัย ก็เป็นเพียงเครื่องประดับและเพื่อการโอ้อวดเท่านั้น    เจ้าหน้าที่ ตม.และอื่นๆของทุกประเทศเขามีรายชื่อบุคคลเหล่านี้ เขารู้ดี ทำตัวไม่ดีเขาก็ดูถูกเหยียดหยามเอาด้วยการแสดงออกแบบผู้ดี   
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 353  เมื่อ 08 พ.ย. 12, 19:42

เมื่อผ่าน ตม.แล้วก็เข้าไปอยู่ในดินแดนของการขายสินค้าแบบ Tax free กับ Duty free

คำว่า Tax free กับ Duty free นี้ มีความหมายที่ต่างกัน ซึ่งก็อาจจะให้ผลทั้งที่เหมือนกันและต่างกัน

Duty free โดยหลักแล้วเป็นการบอกว่า สินค้านั้นๆปลอดภาษีที่รัฐเรียกเก็บกับสินค้าบางกลุ่ม    Duty มีทั้งที่เราเรียกว่าภาษีศุลกากรและภาษีสรรพสามิต 
Tax free โดยหลักแล้วเป็นการบอกว่า สินค้านั้นๆปลอดภาษีที่เราจะต้องจ่ายเมื่อซื้อหาสินค้านั้นๆ  Tax ในความหมายนี้จึงไปหมายถึง VAT

Duty free ทำให้สินค้านั้นๆปลอด Tax (VAT) ไปพร้อมๆกัน  แต่ Tax free นั้น อาจจะเป็นสินค้าที่ปลอดแต่เพียง VAT แต่ไม่ปลอด Duty ก็ได้

ราคาสินค้าที่ขายกันในโซน Tax free & Duty free ของแต่ละสนามบินนานาชาติจึงไม่เท่ากัน ของบางอย่างซื้อในสนามบินนานาชาติอื่นๆนอกประเทศผู้ผลิตกลับมีราคาถูกกว่าในสนามบินนานาชาติของประเทศผู้ผลิตก็มีมากกมาย     แม้กระทั่งนาฬิกาที่ผลิตโดยสวิสและซื้อในตลาดสวิส ก็แพงกว่าที่ขายอยู่ในตลาดบางประเทศเช่น ออสเตรีย   
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 354  เมื่อ 08 พ.ย. 12, 21:17

อ้างถึง
ราคาสินค้าที่ขายกันในโซน Tax free & Duty free ของแต่ละสนามบินนานาชาติจึงไม่เท่ากัน ของบางอย่างซื้อในสนามบินนานาชาติอื่นๆนอกประเทศผู้ผลิตกลับมีราคาถูกกว่าในสนามบินนานาชาติของประเทศผู้ผลิตก็มีมากกมาย     แม้กระทั่งนาฬิกาที่ผลิตโดยสวิสและซื้อในตลาดสวิส ก็แพงกว่าที่ขายอยู่ในตลาดบางประเทศเช่น ออสเตรีย

เคยสังเกตเหมือนกันค่ะ
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 355  เมื่อ 09 พ.ย. 12, 18:25

เมื่อขึ้นเครื่องบินแล้วและกำลังบินอยู่ในน่านฟ้าสากล  พนักงานบนเครื่องก็จะเริ่มนำของ duty free มาขาย ของเหล่านี้น่าจะมีราคาถูกกว่าที่ขายกันอยู่ในสนามบิน เนื่องจากปลอดภาษีทั้งสรรพสามิตและภาษี VAT จริงๆ ราคาอาจจะต่างกันไปตามแต่กำไรที่ที่จะบวกโดยสายการบิน  ผมไม่เคยได้ลองเทียบราคาดูสักที  แต่เชื่อว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะว่าที่สนมบินนั้น ร้านค้าจะมีภาระเสียค่าเช่าพื้นที่ค้าขายจึงต้องผนวกเข้าไปเป็นต้นทุนด้วย   
เคยสังเกตเห็นว่า เอาคนญี่ปุ่นที่ชอบซื้อเหล้าและบุหรี่เป็นหลักนะครับ บางสายการบินก็ไม่มีคนสนใจ บางสายการบินก็แห่ซื้อกันระวิง จนพนักงานบริการให้แทบไม่ทัน
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 356  เมื่อ 09 พ.ย. 12, 19:44

เมื่อเช็ดอิน ผมก็จะขอเลือกที่นั่ง  คำถามแรกคือเครื่องเต็มหรือไม่และพอจะเลือกที่นั่งได้หรือไม่ หากเต็มและมาทีหลังก็มีโอกาสน้อย   ในกรณีนั่งชั้นธรรมดา  ผู้หญิงจะนิยมเลือกริมทางเดินเพราะว่าออกไปเข้าห้องน้ำได้ง่าย ส่วนผู้ชายจะนิยมเลือกริมหน้าต่าง  โดยทั่วไปแล้วคนจะพยายามขอที่นั่งด้านหน้าๆ เพราะเงียบดี และไม่ค่อยจะโคลงเคลงทั้งในช่วงพบกับสภาพอากาศที่ไม่ดี ขาบินขึ้น และขาบินลง ทั้งนี้เนื่องจากอยูในบริเวณใกล้จุดหมุนของเครื่องบิน  และโดยทั่วไปก็จะพยายามไม่ขอนั่งในที่นั่งแบบถูกขนาบซ้ายขวาด้วยคนอื่นที่ไม่รู้จัก    ปัจจุบันนี้เริ่มเลือกที่นั่งได้ยากขึ้น เนื่องจากเขาใช้ระบบกระจายน้ำหนักโดยการคำนวนของเครื่องคอมพิวเตอร์

อย่างไรก็ตาม ผมว่ามันก็มีทางออกอยู่  คือ  มีผู้โดยสารจำนวนมากเลยทีเดียวที่ไม่ชอบนั่งแถวหน้าสุดตรงทางเดินประตูเครื่องบิน แล้วก็ไม่ชอบที่นั่งท้ายเครื่อง  ผมกลับชอบแฮะ   แถวหน้าตรงประตูทางเดินหรือแถวกลางแถวแรก (ซึ่งจะสำรองให้กับผู้โดยสารที่มีเด็กเล็กมาด้วย) เหยียดแข้งเหยียดขาสบายมาก ลุกยืน ลุกเดินก็ง่าย นั่งเครื่องก็หลับไป จะไปเอาเป็นเอาตายกับเรื่องต้องมีจอสำหรับดูหนัง (ที่อยู่หลังพนักพิงของเก้าอี้ตัวหน้า) ไปทำไม    หากไม่มีที่ดังกล่าว ผมก็จะขอไปนั่งแถวหลังสุด ด้านซ้ายหรือด้านขวาของเครื่อง ที่นั่งแถวหลังสองสามแถวนี้ มักจะมีเก้าอี้นั่งไม่เท่ากับแถวที่เรียงกันมา เนื่องจากเป็นส่วนเรียวของท้ายเครื่องบิน จากสามเก้าอี้ก็เหลือสองเก้าอี้ กว้างขวางทั้งริมหน้าต่างและทางเดิน แถวกลางเครื่องทั้งแถวสุดท้ายมักจะถูกเก็บสำรองไว้สำหรับให้ลูกเรือได้นั่งพักผ่อนหรือวางของที่ใช้ในการให้บริการชั่วคราว เสียงเครื่องอาจจะดังหน่อย นั่งไปสักพักก็จะคุ้นเคยเหมือนเสียงเครื่องแอร์ดังๆในโรงแรม จะรู้สึกโคลงเคลงก็เฉพาะตอนช่วงเครื่องขึ้น-ลง  ที่สำคัญ ใกล้ห้องน้ำท้ายเครื่อง ใกล้พนักงาน เพราะเขาชอบมายืนพักและคุยกัน จะขออะไรก็ง่าย  (ข้อดีอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผู้โดยสารท้ายเครื่องมักจะรอดหากเกิดอุบัติเหตุช่วงขาเครื่องบินขึ้นหรือบินลง)  ข้อเสียอีกอย่างหนึ่ง คือ หากจะต้องรีบออกไปต่อเครื่องที่สนามบินใหญ่ๆต่างๆ อาจจะทำให้เสียเวลาไปบ้างจนน่ากลัว เนื่องจากต้องต่อแถวกว่าจะเดินออกจากท้ายเครื่องได้ ที่จริงก็ไม่ต้องกลัวหรอก สายการบินที่เราจะไปต่อเครื่องนั้นเขาจะต้องรอเราอยู่เสมอ ยกเว้นกรณีเครื่องที่เรามาเสียเวลาเกินควร หากเสียเวลาเล็กๆน้อยๆและสายการบินที่จะต่อนั้นเขาเห็นว่าน่าจะไม่ทันการ คราวนี้เราจะได้รับการบริการแบบลัดคิวเลย จะมีเจ้าหน้าที่มายกป้ายชื่อบ้าง และรีบนำเราลัดคิวต่างๆเพื่อให้ไปขึ้นเครื่องเขาให้ทัน  เหตุผลสำคัญอย่างหนึ่งหรือครับ กระเป๋าเราถูกย้ายขึ้นเครื่องเขาไปแล้ว เขาไม่ใว้ใจหรอกว่าจะกลายเป็นกระเป๋าอันตรายหากไม่มีเจ้าของร่วมเดินทางไปด้วย  บางสนามบินและสำหรับบางสายการบินที่เราใช้บินมา เขาก็จะใช้ระบบให้เราไป claim กระเป๋าก่อนแล้วยกใส่อีกรางหนึ่งเพื่อไปบรรทุกในอีกเครื่องหนึ่ง เพื่อระบุว่ามีตัวตนผู้โดยสารจริงๆ    รู้ระบบเช่นนี้แล้วก็ไม่จำเป็นจะต้องไปกังวลในเรื่องของการต่อเครื่องใดๆให้มากนัก  สถานะการณ์ต่างๆอยู่ในการควบคุมของเขา เราอยู่ในส่วนของผู้ที่ถูกเขาจัดให้เราอยู่ในสภาพนั้น เรามิใช่เป็นผู้กำหนดและสร้างให้เกิดสภาพการณ์เหล่านั้น เขาเหล่านั้นต้องมีส่วนรับผิดชอบ   ความไม่เป็นไปตามที่ควรจะเป็นไปได้ทำให้เกิดวลีล้อเลียน  Tomorrow Go  ซึ่งเป็นคำฮิตในหมู่ผู้โดยสารนานาชาติอยู่นาน

   
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 357  เมื่อ 10 พ.ย. 12, 17:45

นั่งนิ่งๆอยู่ในเครื่องบินนานหลายชั่วโมงเข้า ก็จะเกิดอาการสำคัญอยู่อย่างหนึ่ง คือ เท้าบวม ทางแก้ดูจะมีอยู่สามวิธี คือ ทางแรก เลือกใส่รองเท้านิ่มๆ หรือไม่ก็รองเท้าที่หลวมหน่อย ทางที่สอง มีโอกาสก็ลุกขึ้นยืนหรือเดินบ้างเท่าที่จะทำได้ เดินไปยืนอยู่ท้ายเครื่องดีที่สุด เพราะมักจะเป็นบริเวณที่ไม่มีคนพลุกพล่าน ต่างกับไปยืนแถวๆบริเวณเตรียมอาหาร  อย่างไรก็ตามพนักงานเขาจะขยันมาบอกเราให้กลับไปนั่ง  ทางที่สาม ทำการกายบริหาร ยกเท้ายกขา ไปตามเรื่องหรือตามวิธีการที่ฉายให้ดูตอนเครื่องเริ่มบินช่วงแรกๆ  ผมชอบวิธีการลุกเดินไปให้นานที่สุด หากเขาให้ไปนั่งก็จะบอกพนักงานว่าขาแข้งขาไม่ดี  นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของเหตุผลที่ผมต้องเลือกที่นั่งในลักษณะตามที่ได้เล่ามา
 
 
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 358  เมื่อ 10 พ.ย. 12, 18:21

อีกอาการหนึ่ง เป็นอาการที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว คือ ขาดน้ำ และป่วยอากาศ (ผมขอเรียกแบบนี้)   เครื่องบินโดยสารที่บินสูงๆจะปรับความดันของอากาศในเครื่องให้ๆไปเหมือนกับเรายืนอยู่บนยอดเขาที่ระดับความสูงประมาณ 8,000 ฟุต (ประมาณ 2,500 เมตร) ประมาณความสูงของยอดดอยอินทนนท์ ซึ่งเป็นระดับที่มีอ๊อกซิเจนน้อยกว่าพื้นราบที่เราอาศัยอยู่โดยทั่วๆไป อากาศจะแห้ง เหงื่อจะหายไปหมด จะรู้สึกสบายตัวก็ระยะแรกๆ นานเข้าก็จะรู้สึกอีกแบบหนึ่ง น้ำในร่างกายที่ระเหยออกไปกับเหงื่อที่เราไม่เห็นมีนั้น ทำให้ร่างกายขาดน้ำได้เอาการอยู่ทีเดียว  ทางแก้ที่แนะนำกันก็คือ กินน้ำให้มากๆในระหว่างการบิน ซึ่งเรารู้สึกได้ว่าเข้าสู่อาการเริ่มขาดน้ำแล้วก็เมื่อรู้สึกว่าริมฝีปากแห้งนั่นเอง ผู้หญิงจะไม่ชอบกินน้ำเยอะๆก็เพราะกลัวจะต้องฉี่บ่อยๆ ที่จริงแล้วไม่ต้องกลัวเลยหากต้องเดินทางอยู่ในเครื่องบินนานๆ เคยสังเกตใหมครับว่า ตามปรกติแล้ว ประมาณทุกสองชั่วโมงคนจะต้องฉี่ แต่ในเครื่องบินที่มีคนนั่งเป็นสองสามร้อยคนในเส้นทางการบินมากกว่าห้าหกชั่วโมงขึ้นไป จะไม่ค่อยมีคนลุกออกไปฉี่ ก็เพราะน้ำในตัวเรามันถูกระบายออกไปทางผิวหนัง (เพราะอากาศแห้ง) ได้มากนั่นเอง   ปัญหามันไปอยู่ที่พนักงานต้อนรับจะไม่ค่อยดูแลในเรื่องนี้ เสิร์ฟอาหารเสร็จก็จบกัน หายไปยืนคุยกันหมด จะขอน้ำสักทีก็ยากเย็นเหมือนกัน ได้มาครั้งละจอกเล็กๆเท่านั้นเอง ยังไม่รู้สึกชื่นใจเลย ซึ่งเป็นอาการของร่างกายเราที่บอกว่าได้น้ำมาทดแทนส่วนที่ขาดไปพอเพียงแล้ว

ตั้งแต่บินมา เห็นอยู่ไม่กี่สายการบินหรอกครับที่ดูแลเอาใจใส่ในเรื่องนี้อย่างจริงจัง ถึงขนาดจัดวางให้ผู้โดยสารเดินไปหยิบกินได้มากพอตามที่ต้องการ มิใช่ต้องไปขอ แล้วก็ให้มาจอกเล็กๆ ขอหลายจอกต่อเนื่องเข้าก็ทำท่าทำอาการที่ไม่น่าดู ยังกับเราเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้ ซึ่งมีพื้นฐานคล้ายๆกันหมดในทุกสายการบิน คือ look down คนของชาติตนเอง

   
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 359  เมื่อ 10 พ.ย. 12, 18:54

อาการป่วยอากาศที่ผมเรียก ก็คืออาการขาดความกระปรี้กระเปล่า จะเห็นได้ชัดเมื่อเครื่องลงแล้ว ซึ่งหากบินข้ามเส้นแบ่งเวลา (time zone) ก็จะผนวกกับอาการ jet lag ด้วย
ผมสังเกตว่า อาการ jet lag นั้นจะค่อนข้างรุนแรงมากหากเป็นการบินไปทางตะวันตก จะค่่อนข้างน้อยหากเป็นการบินมาทางตะวันออก   จากการศึกษาทางการแพทย์พบว่า คนที่มีอายุมากจะเกิดอาการมากกว่าคนในวัยหนุ่มสาว เป็นเรื่องของปริมาณสารที่เรียกว่า เมลาโทนิน (Melatonin) ที่คนสูงอายุมีลดน้อยถอยลง ซึงเป็นฮอโมนชนิดหนึ่งที่ทำงานในหน้าที่ body clock จึงมีการผลิตยาประเภทนี้และใช้กันในหมู่ผู้เดินทางที่มีอาการ jet lag ค่อนข้างรุนแรง เป็นยาที่ไม่ต้องใช้ใบสั่งแพทย์ครับ หาซื้อได้ตามสนามบินทั่วไป กินก่อนขึ้นเครื่อง

ผมไม่เคยกินยานี้ แต่ใช้อีกวิธีการ คือ กินให้มากบนเครื่อง ทั้งแอลกอฮอลล์ที่เสิร์ฟก่อนอาหาร ระหว่างอาหาร และหลังอาหาร กินทั้งอาหารคาวและหวานที่เสิร์ฟในเครื่องให้หมด ก็จะเกิดอาการอิ่ม ตึง (จากแอลกอฮอลล์)  สุดท้ายของมื้ออาหารก็ขอน้ำกินมากๆหน่อย เข้าห้องน้ำเบาให้เรียบร้อย กลับมานั่ง แพล๊บเดียวก็หลับยาวจนกระทั่งเขาปลุกให้ตื่นเพื่อเสิร์ฟอาหารเบาหรือหนักก่อนเครื่องลง   ที่จริงแล้วการดื่มแอลกอฮอลล์บนเครื่องมากเป็นสิ่งที่ไม่ดี เพราะมันซึมเข้าเลือดง่าย ทำให้เมาได้ง่ายๆครับ  ผมใช้อาหารเป็นตัวถ่วงอาการเมา ตอนหลับก็คือฤทธิของแอลกอฮอลล์ แต่เนื่องด้วยมีอาหารและน้ำในท้องมากพอ ตื่นมาจึงสดใสเหมือนเดิม   เล่ามานี้ มิได้ประสงค์จะให้ทำตามนะครับ    เมื่อสามารถเดินทางได้ด้วยตนเองแล้ว ก็คงจะมีพิจารณญาณเพียงพอว่าสิ่งใดดีหรือไม่ดี ควรหรือไม่ควรกระทำครับ 
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 22 23 [24] 25 26 ... 37
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.095 วินาที กับ 19 คำสั่ง