เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 2 [3]
  พิมพ์  
อ่าน: 22453 เรื่องของผู้ชายคนที่ไม่ยกมือทำความเคารพแบบนาซี
ประกอบ
สุครีพ
******
ตอบ: 1342


ความคิดเห็นที่ 30  เมื่อ 18 พ.ค. 12, 16:28

การเคารพโดยทำท่ายกมือแบบนาซีนี่ อาจจะมีมาตั้งแต่ยุคโรมันเลยก็ได้ครับ  อันนี้บอกจากความทรงจำ เพราะเคยดูหนังบ้าง การ์ตูนบ้าง
จะเห็นว่าพวกทหารโรมันก็จะยกมือทำความเคารพแบบนี้   

ทั้งท่านอาจารย์เทาชมพู อาจารย์นวรัตนมาทิ้งท้ายแบบยังไม่ให้จบ ไอ้ผมกะว่าจะหนีหายไปซุ่มตัวหลังห้องเลยชักจะยากซะแล้ว
ไอ้จะหาอะไรมาเล่ามันก็พอมี แต่ติดขัดเรื่องเอกสารอ้างอิงอาจจะไม่ชัดเจน  แต่จะลองหาตัวอย่างการปลูกฝังความเกลียดชังที่ทำให้เกิดการเข่นฆ่ากันอย่างมโหฬาร
โดยฝ่ายที่คิดว่าตัวอยู่ข้างความชอบธรรม สามารถทำอะไรต่างๆ กับอีกฝ่ายที่ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน เพียงต่างกันแค่เผ่าพันธุ์ได้อย่างโหดเหี้ยม
แค่ในศตวรรษนี้ มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมากมาย   แต่เพราะเคยดูหนังสุดโหดแต่ประทับใจเรื่องโฮเตลรวันดา  เดี๋ยวจะลองเอาเหตุการณ์ในรวันดามาเล่าบ้าง 
เกริ่นทิ้งไว้ก่อนครับ อิอิ
บันทึกการเข้า

วิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 31  เมื่อ 18 พ.ค. 12, 18:03

เข้ามาให้กำลังใจคุณประกอบ

ขออย่าเพิ่งท้อกับวัฒนธรรมเงียบของคนในห้องนี้นะครับ


ดีจริง ไม่เงียบแล้วละค่ะ


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 32  เมื่อ 18 พ.ค. 12, 19:51

อ่านถึงความโหดร้ายของมนุษย์มามากแล้ว   มาอ่านถึงความดีของมนุษย์ให้สบายใจขึ้นบ้างนะคะ

ท่ามกลางความมืดมน  แสงสว่างก็ยังไม่หายไปเสียทีเดียว
คุณยายคนข้างล่างนี้ชื่อ อิเรนา เซนด์เลโรวา เป็นชาวโปล(โปแลนด์)  อดีตผู้ช่วยพยาบาล วัย 97 ปี   เธอช่วยชีวิตเด็กๆชาวยิวให้รอดตายจากค่ายกักกันในกรุงวอร์ซอกว่า 2500 คน    แม้ว่าตอนท้ายเธอถูกจับและถูกทรมานจากตำรวจเกสตาโปของเยอรมนี แต่ก็รอดพ้นจากการถูกสังหารได้อย่างหวุดหวิด เมื่อผู้คุมตัวเธอถูกขบวนการต่อต้านนาซีติดสินบนให้ปล่อยตัวเธอจนหลบรอดไปได้
       
อิรานาเป็นสาวรุ่นอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง  โดยหน้าที่เธอต้องไปปฏิบัติงานในค่ายกักกันของชาวยิวที่วอร์ซอ    ตอนนั้นเยอรมันยึดครองโปแลนด์อยู่   เมื่อทหารนาซีต้อนชาวยิวจากค่ายกักกันไปแดนประหาร   เธอก็หาทางช่วยชีวิตเด็กๆ จนสำเร็จ  ทั้งๆยากเย็นแสนเข็ญ  และเสี่ยงตายสารพัด   อย่างที่คนทั่วไปไม่กล้าเสี่ยง
เด็กบางคนถูกซุกซ่อนมาในหีบเครื่องมือคนงาน   บางคนต้องมุดท่อระบายน้ำหรือคืบคลานออกไปตามทางลับ  เด็กยิวไม่ต่ำกว่า 2,500 คนรอดตายจากค่ายกักกันไปหลบซ่อนอยู่กับครอบครัวชาวโปล และตามโบสถ์คาทอลิกได้สำเร็จ
       
ชาวยิว 3.5 ล้านคนในโปแลนด์เป็นกลุ่มเคราะห์ร้าย ที่ถูกกวาดล้างเกือบทั้งหมดจากทหารนาซีในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
ผลงานของอิเรานาทำให้รัฐสภาโปแลนด์มอบเหรียญตราเกียรติยศอินทรีเผือกให้เธอ   และได้จากสถาบันอิสราเอล รวมถึงรางวัลอื่นๆ
อีกด้วย
เธอถึงแก่กรรมเมื่ออายุ 98 ปี ในค.ศ. 2008


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 33  เมื่อ 22 พ.ค. 12, 21:57

ระหว่างคุณประกอบกำลังสำรวจการเมืองในรวันดาอยู่  ขอคั่นโปรแกรมหน้าม่าน ด้วยการพากลับไปหายิวอีกครั้งนะคะ
ยิวภูมิใจอยู่อย่างหนึ่งว่าตนเองเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด   ถึงขั้นอัจฉริยะก็หลายคน  โดยเฉพาะนักปรัชญา  นักวิทยาศาสตร์
ตามรายชื่อข้างล่างนี้
- อัลเบิร์ต ไอนสไตน์
- อดัม  สมิธ บิดาแห่งเศรษฐศาสตร์
- วอลแตร์ นักปรัชญาผู้จุดประกายปฏิวัติฝรั่งเศส ,
- ซิกมันต์ ฟรอยด์  บิดาแห่งจิตวิทยาแผนใหม่
- มาร์ค ชากาล ศิลปิน
- คาร์ล มาร์กซ์
- วู้ดดี อัลเลน ผู้กำกับภาพยนตร์ตุ๊กตาทอง
- ลิซ เทเลอร์ ดาราอมตะ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 34  เมื่อ 22 พ.ค. 12, 21:58

ปรัชญาศาสนาของยิวก็น่าสนใจ    ดิฉันจะไม่ลงลึกไปถึงแก่น   ขอหยิบยกข้อคิดง่ายๆมาให้อ่านกัน   ว่าชาวยิวเขาคิดกันอย่างไร

ในขณะที่คริสต์ศาสนาสอนให้ "รักเพื่อนบ้าน"  และพุทธศาสนา สอนให้เมตตากรุณาต่อผู้อื่น  ยิวสอนว่า ให้รักตัวเองก่อน และยอมรับตัวเองให้ได้ก่อน    คนที่ไม่รักตัวเอง เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไปรักคนอื่น

สัจธรรมสำหรับยิว  เห็นได้จากนิทานต่อไปนี้

อาจารย์กับลูกศิษย์คู่หนึ่งสนทนากันอยู่   
ลูกศิษย์ ถามอาจารย์ว่า   " อาจารย์ครับ  สัจธรรมมีอยู่ทุกหนแห่ง เหมือนก้อนหินตามทางที่เราเดินผ่านใช่ไหม"     
อาจารย์ ตอบว่า  "ถูกแล้ว เราอาจก้มลงหยิบสัจธรรมได้ทุกหนแห่ง   แต่การหยิบต้องก้มตัวลงไป  ตรงนี้ละที่ทำยาก"
ยิวถือว่าความถ่อมตัวเป็นสิ่งสำคัญที่สุด  ผู้ที่ประสบความสำเร็จแล้วไม่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน  ไม่รู้จักโค้งคำนับผู้อื่น  สักวันจะวิบัติ
คนชั่วที่น่ากลัว คือคนฉลาดที่ไม่รู้จักถ่อมตัว  แม้ว่าความฉลาดจะเป็นเรื่องดี  แต่บ่อยครั้งที่พวกเขาฉลาดแบบเห็นแก่ตัว

ยิวชอบตั้งคำถาม ซักไซ้ไล่เลียง ค้นหาคำตอบจนแน่ใจว่าใช่แล้วจึงเชื่อ   ยิวกล่าวว่า  การหลงทาง 1 ครั้ง  สู้ถาม 10 ครั้งแล้วไม่หลงทาง ไม่ดีกว่าหรือ

เพราะฉะนั้นยิวจะไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ประเภทต้นกล้วยออกลูกเป็นพญานาค    หรือเป็นคนสำคัญคนนั้นคนนี้กลับชาติมาเกิด

คติข้อหนึ่งของยิวที่ชาวพุทธไม่รู้จัก คือ " เมตตาต่อศัตรู หมายถึงเหี้ยมโหดต่อตนเอง "
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 35  เมื่อ 22 พ.ค. 12, 21:59

ระหว่างอู้อยู่ เจอฉากคั่นรายการจากท่านอาจารย์ใหญ่แล้วอดไม่แสดงความคิดเห็นไม่ได้

ในฐานะที่ไม่เคยรู้จักชาวยิวแม้แต่คนเดียว เคยเจอคนยิวตัวเป็นๆ ก็แค่หนสองหน  แต่อ่านเกี่ยวกับเรื่องเศร้าๆ ที่ชาวยิวเผชิญมาเยอะ แถมได้อ่านความคิดเห็นของคนไทยทั่วไป ที่ส่วนใหญ่ก็เหมือนผม คือไม่เคยศึกษารู้เรื่องศาสนายิว ไม่รู้จักคนยิว แต่มีทัศนคติที่เป็นลบต่อชาวยิวแบบไม่น่าเชื่อ เช่นตัวอย่างนายนักเขียนที่ยกมาในต้นๆ กระทู้ แถมเมื่อมีการอ้างถึงคำภีร์หรือศาสนายิว เรามักจะเห็นการยกข้อความที่คนนอกอ่านแล้วจะรู้สึกเป็นลบต่อศาสนายิวหรือคนยิว แถมไม่รู้ว่าไอ้ที่ยกมาหนะจริงหรือเปล่า และถ้าจริง ยกมาแค่บางส่วนหรือยกมาทั้งหมด เพราะเราต้องดูบริบททั้งหมด ไม่ใช่แค่บางข้อความ   

นอกจากนี้แล้วคนส่วนใหญ่แม้แต่ผมไม่เคยอ่านคำภียร์ศาสนายิวเลย แต่ฟังเค้าเล่ามา หรือเขียนตามๆ กันมา  คนมากมายก็ทึกทักไปแล้วว่าจริงตามนั้น นั่นอาจเป็นอีกที่มาของความเกลียดยิว ไม่กี่เดือนก่อนในเว็บ Pantip มีคนไปถ่ายรูปค่ายกักกันของนาซีมา แล้วมีคนไทยหลายคนมาแสดงความเห็น มีการยกเรื่องไม่ดีต่างๆ นา แม้แต่ยกคำสอนของศาสนายิวที่ดูเอาเปรียบเห็นแก่ตัวออกมาเล่า พอถามว่าไปได้ยินมาจากไหน ก็บอกว่าได้รับการบอกเล่าต่อมาจากคนไทยด้วยกันนี่แหละ แล้วเอามาเล่าต่อจริงๆ จังๆ ในรูปแบบข้อเท็จจริงไป

ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา แทบจะไม่เห็นบทบาทของชาวยิวในรูปของชนชาตินักรบเลย ชาวยิวดูจะเป็นพวกรักสงบ มุ่งค้าขาย มากกว่าจะสร้างเกียรติยศในรูปแบบผู้พิชิต ทำให้ตลอดประวัติศาสตร์โลก ชาวยิวจึงมักตกเป็นฝ่ายถูกกระทำ ถูกกดขี่ มากกว่าเป็นผู้กระทำ โดนเผาบ้าง โดนให้เลือกว่าจะเปลี่ยนศาสนาหรือถูกเผาบ้าง   ยิวเพิ่งมีภาพของนักสู้ที่เก่งกาจ เป็นทหารที่มีฝีมือในช่วงที่ก่อตั้งประเทศอิสราเอลแล้วและมีความขัดแย้งกับพวกอาหรับนี่เอง ซึ่งที่มาของความเก่งกว่าไม่ได้มาจากความสามารถเฉพาะตัวที่ทหารยิวมีเหนือกว่าพวกอาหรับ มีสัญชาตญาณนักรบ เกิดมาก็เป็นแรมโบ้เลย แต่น่าจะเป็นเรื่องของการฝึกอย่างเป็นระบบ มีการใช้สมอง การวางแผน และการตอบโต้ที่ไม่ได้อิงแต่ตำรา

แล้วทำไมคนยิวฉลาดกว่า ได้โนเบลมากมาย เป็นคนดังระดับโลกก็เยอะ? 
อาจจะเป็นเพราะไม่ว่าไปอยู่ที่ไหนชาวยิวก็ถูกกดขี่ ทำให้ต้องปรับตัวเอาตัวรอด ต้องขยันมานะอดทน ปรับระบบวิธีคิด วิธีอบรมสั่งสอน ซึ่งวิธีที่ปรับเอื้อต่อการเรียนรู้ การวิเคราะห์ และไม่ยึดติดกับกรอบมากนักก็ได้ ทำให้ยิวมีนักวิทยาศาสตร์ดังๆ เก่งๆ หลายคน อันนี้ผมเดาล้วนๆ   แลบลิ้น
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 36  เมื่อ 22 พ.ค. 12, 22:00

น่าจะต้องพูดถึงปรัชญายิวกันอีกสักหน่อยแล้วละค่ะ

ข้างล่างนี้คือความเชื่อของชาวยิว
The key to happiness is to appreciate what you have. If it's so simple, why are so many people unhappy?
กุญแจสู่ความสุขคือพอใจกับสิ่งที่ตนเองมี    ถ้าหากเห็นว่าข้อคิดนี้ช่างง่ายเสียเหลือเกิน  เหตุไฉนเล่าคนจำนวนมากจึงไม่มีความสุข?

Jews throughout the ages have willingly given up their lives, rather than abandon being Jewish. Why? Because until you know what you are willing to die for, you have not yet begun to live.
ชาวยิวทุกยุคสมัยยอมตายดีกว่าจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่ยิว   ทำไมน่ะหรือ?  ก็เพราะว่า ตราบใดที่คนเรายังไม่รู้ว่าเราเต็มใจสละชีวิตเพื่อสิ่งใด    ก็ยังไม่ถือว่าเราเริ่มมีชีวิตอย่างแท้จริง
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 37  เมื่อ 23 พ.ค. 12, 20:06

ขออนุญาตแอบเข้าห้องมาร่วมเสวนาด้วยครับ

ผมมีประสบการณ์เล็กๆน้อยๆกับคนยิว ครั้งแรกเมื่อรับนักเรียนแลกเปลี่ยนในโครงการของโรงเรียนของลูก ครั้งที่สองมีคนยิวทำงานอยู่สถานที่เดียวกัน และครั้งที่สามกับเจ้าหน้าที่ทางการทูต

แม้จะได้สัมผัสกับคนยิวแท้ๆ ผมก็ยังไม่ทราบปรัชญาชีวิตของชาวยิว จนะกระทั่งได้อ่านของคุณเทาชมพูนี้แหละครับ

เท่าที่ประสบมา ในส่วนของจิตใจลึกๆและอาการที่แสดงออก ดูเหมือนคนยิวค่อนข้างจะเก็บตัว เหมือนกับกลัวว่าคนอื่นจะไม่รับหรือยอมมาเป็นมิตรกับตน เขาจะสังเกตและพินิจพิจารณาอยู่ค่อนข้างนานกว่าจะเปิดประตูมิตรภาพอย่างจริงใจกับคนอื่น แม้ว่าเราจะเห็นสภาพของเขาในสังคมทั่วไปว่าเป็นคนร่าเริงเข้ากับใครก็ได้ก็ตาม แต่เมื่อเขาเปิดประตูแล้ว ความสัมพันธ์กับเราก็จะกลายเป็นเรื่องที่เขารู้สึกผูกพัน ซึ่งเราเองอาจจะกลับกลายเป็นมีความรู้สึกว่าความรู้สึกสบายๆหายไป (ผมคิดว่าส่วนหนึ่งที่สำคัญคงจะเป็นผลพวงมาจากเรื่องราวต่างๆที่เขาบอกเล่าถ่ายทอดกันมาหลังเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่สอง)

ในหลายๆกรณีผมก็รู้สึกว่า การให้ด้วยไมตรีจิตที่เราทำไปโดยไม่ได้มีอะไรคิดอยู่ในใจนั้น ทำไมจะต้องมีการตอบแทน ซึ่งดูก็เหมือนจะไม่ได้เกี่ยวข้องลึกเข้าไปในด้านของจิตใจในเชิงของบุญคุณ ดูจะเป็นในลักษณะของต่างตอบแทน หรือการแลกกันอย่างเสมอภาค หรือการที่เขาตีค่า (value) บนฐานที่ต่างกับเรา เพื่อให้กันไปจบกันไปเสียมากกว่า จะด้วยปร้ชญาในทำนองนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้ที่ทำให้คนยิวถูกมองว่าเป็นคนไม่ยอมเสียเปรียบ

ทัศนคติของคนยิวคงจะมีการเปลี่ยนแปลงน้อยมากตั้งแต่อดีตจนไปถึงในอนาคต เพราะมีการถ่ายทอดและปลูกฝังความเป็นคนยิวอย่างต่อเนื่องในลักษณะของ Cloning     

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 38  เมื่อ 23 พ.ค. 12, 20:48

ไม่รู้จักคนยิว  แต่คนอเมริกันที่ดิฉันรู้จัก โดยเฉพาะคนรุ่นเก่า มักจะอึดอัดกระดากกระเดื่องถ้าเป็นฝ่ายรับอะไรจากคนไทยโดยเขาไม่สามารถตอบแทนได้สมน้ำสมเนื้อกัน     ความรู้สึกนี้พี่ไทยไม่เข้าใจ   เห็นตัวอย่างได้คือนักเรียนไทยในสมัยโน้นเมื่อไปต่างถิ่น ก็ถือธรรมเนียมไทย  เห็นครูบาอาจารย์ก็ดี   เจ้าของบ้านก็ดี เป็นผู้ที่ต้องเคารพนับถือ     เมื่อเคารพก็ต้องมีของขวัญให้ในโอกาสต่างๆ  เช่นวันเกิด คริสต์มาส ปีใหม่ งานเลี้ยง ฯลฯ

นักเรียนไทยรุ่นก่อนๆมักบอกน้องๆผู้กำลังจะไปว่า "เตรียมของไทยๆไว้บ้างนะ  ไว้ให้เป็นของขวัญจากเมืองไทยให้ฝรั่ง"  ทีนี้การติดต่อคมนาคมในสมัยโน้นมันไม่ง่ายอย่างสมัยนี้    เดินทางกันไปอเมริกาทีก็เตรียมได้เลยว่าจะหายสูญกันไปหลายปี    พ่อแม่จึงสั่งให้ขน "ของไทยๆ"ไปเยอะๆ จะได้พอ   ไม่ต้องโกลาหลส่งตามไปทีหลังให้ยุ่งยาก แถมค่าส่งไปรษณีย์แพงอีกต่างหาก

นักเรียนไทยจึงมีของไทยกันเต็มกระเป๋า  จำพวกผ้าไหมไทย ช้างไม้ ห่วงกุญแจ   ฯลฯ   เอาไปฝากอาจารย์ที่ปรึกษา  ฝากเจ้าของบ้าน  ฝากผู้ประสานงานของมหาวิทยาลัย  ฝากผู้ดูแลนักเรียนไทย  ฝากและฝากฯลฯ   เอาไปแล้วก็ขี้เกียจเก็บให้หนักกระเป๋า   มีโอกาสเมื่อไรเป็นต้องเทกระเป๋าให้
เพื่อนคนหนึ่งของดิฉันเก่งมาก  ขนหัวโขนจำลองชนิดตั้งโชว์ไปได้ตั้ง 4 หัว โดยไม่บุบสลายเลยจากเดินทาง   ไปตั้งโชว์เพชรระยิบระยับอยู่บนหิ้งหน้าเตาผิงของเจ้าของบ้าน

ฝรั่งที่ไม่รู้ธรรมเนียมไทยก็เลยงง ว่านักเรียนไทยมาเช่าบ้านอยู่ทำไมต้องเอาของขวัญแปลกๆไปให้ด้วย    ดิฉันก็มีของเล็กๆน้อยๆให้เจ้าของบ้านเหมือนกัน   เรียนจบกลับมาแล้วก็ยังติดเป็นความเคยชินว่าทุกคริสต์มาสจะต้องส่งของขวัญไปให้ Mom ตามที่เราเรียกเธอ    ส่งเสียจน Mom ฝากบอกเพื่อนคนไทยมาว่าไม่ต้องส่งให้อีก เพราะเธอลำบากใจว่าไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร

ที่เล่ามาเสียยาว เพื่อจะบอกว่า  คนยิวคงจะถือธรรมเนียมแบบเดียวกันละมังคะ     ส่วนทางเมืองดิฉันนั้น   หลังจากนักเรียนไทยทยอยไปเรียนกันหลายรุ่น  อาจารย์ฝรั่งก็เข้าใจธรรมเนียมไทยว่าเราเป็นฝ่ายให้ฝ่ายเดียว  เขาไม่ต้องให้ตอบแทน   หรืออยากให้ก็ให้ของที่ระลึกเล็กๆน้อยๆพอ    ก็เลยหายกระดากกระเดื่อง
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 39  เมื่อ 23 พ.ค. 12, 21:16

คุณเทาชมพูก็พูดถูก  ทิ้งเอาไว้เพียงเท่านี้นะครับ



บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12600



ความคิดเห็นที่ 40  เมื่อ 01 ก.ย. 12, 16:07

เอามาฝากคุณประกอบ

http://atcloud.com/stories/106255

 ยิงฟันยิ้ม


บันทึกการเข้า
ประกอบ
สุครีพ
******
ตอบ: 1342


ความคิดเห็นที่ 41  เมื่อ 01 ก.ย. 12, 16:31

อันที่ท่านอาจารย์เพ็ญชมพูยกมาผมเคยเห็นแล้วครับ  ที่นั่นเหมือนจะเป็นเว็บที่รวบรวมบทความต่างๆ ไว้ รู้สึกเค้าจะใส่เครดิตไว้ด้วยว่าเอามาจากที่ไหน ในมุมหนึ่งผมว่าก็ดีครับ จะได้มีคนอ่านเยอะๆ  ยิงฟันยิ้ม   และเนื่องจากผมไม่ได้เอาไปขายที่ไหน เครดิตบอกชื่อประกอบไปก็ไม่มีใครรู้จัก เคยเขียนอธิบายวิธีสอบใบขับขี่ในอังกฤษลงบล็อกไว้ผมบอกไว้เลยใครจะเอาไปแก้ไข เผยแพร่ ดัดแปลงทำได้เลยไม่ต้องขออนุญาต  ดังนั้นใครจะเอาอะไรที่ผมเขียนไว้ไปใส่เครดิตตัวเองหรือไม่ยังไง ตอนนี้ส่วนตัวยังไม่เดือดร้อนครับ แห่ะๆ แต่ไว้ถ้าเริ่มเขียนหนังสือขายเองบ้างทีนี้สิค่อยซีเรียสหน่อย 




บันทึกการเข้า

วิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์
Oh
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 42  เมื่อ 01 ก.ย. 12, 22:43

สวัสดีคะ โอ๋ เป็นสมาชิคใหม่ที่ไม่ใหม่จริงๆ  ยิงฟันยิ้ม  ซุ่มอ่านเว็ปไซด์นี้มาแรมเดือน ทำให้ความรู้เพิ่มพูนขึ้นเยอะเลยต้องขอขอบพระคุณท่านอาจารย์หลาย ๆ ท่านที่มักจะมีคำถามและคำตอบมาให้อ่านเสมอ ๆ
ผู้น้อยขออนุญาติ บอกเล่าประสบการณ์จากเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ได้ยินได้ฟังมาจากปากของคุณแม่สามี และจากเทปที่สามีได้บันทึกไว้เมื่อสามสิบปีที่แล้วจากคุณพ่อคุณแม่ ปัจจุบันคุณแม่ของสามียังมีชีวิตอยู่คะ

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 43  เมื่อ 01 ก.ย. 12, 22:51

สวัสดีค่ะ
เชิญตั้งกระทู้ใหม่ในห้องประวัติศาสตร์ไทยได้เลยค่ะ
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 [3]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.081 วินาที กับ 19 คำสั่ง