ขณะนั้น วิทยุสิงคโปร์ กระจายข่าวว่าเครื่องบินลาดตระเวน ของอังกฤษพบกองเรือญี่ปุ่น ประกอบด้วย เรือลำเลียง จำนวนมาก กำลังเดินทางมุ่งตรงเข้ามา ในอ่าวไทย กองเรือตรวจอ่าวได้ออกเดินทาง จากสงขลา มุ่งตรงไปยังจังหวัดนราธิวาส ในวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๔ เมื่อใกล้ถึง จังหวัดนราธิวาส ก็ได้รับข่าวทางวิทยุว่า สถานการณ์บ้านเมือง อยู่ในสภาวะคับขัน อาจเกิดสงคราม ขึ้นได้ในไม่ช้า ดังนั้น กองเรือจึงไม่แวะจังหวัดนราธิวาส แต่แล่นตัดข้ามอ่าวไปยังเกาะช้าง แล้วจอดเรืออยู่ที่แหลมงอบ จังหวัดตราด ในวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๔
ในช่วงนั้นเรือก็พรางไฟ คอยระวังเหตุการณ์ เวลา ๒๔.๐๐ น. กองเรือตรวจอ่าว ได้ออกเดินทาง จากจังหวัดตราด ไปจังหวัดระยอง และในบ่ายวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๔ ออกเดินทางต่อ ถึงสัตหีบ ในตอนเย็นของวันนั้น ขณะจอดอยู่ที่สัตหีบ มีกำหนดเดินทางกลับกรุงเทพฯ ในวันที่ ๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ แต่กองทัพเรือได้สั่งการให้ยืดเวลาออกไป อีก ๒ วัน กองเรือตรวจอ่าว จึงได้นำเรือไปจอดรออยู่ที่เกาะสีชัง ในวันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔
อ่านตรงนี้ก็เข้าใจแล้วละครับ ถ้ากองเรือรบไทยทราบจากวิทยุอังกฤษที่สิงคโปรตั้งแต่วันที่๒๖ พฤศจิกายนว่า กองเรือญี่ปุ่นต้องสงสัยกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ ไม่ว่าจะจากไหหลำหรือญวนก็ตาม แทนที่จะไปรอดักอยู่ทางพรมแดนเขมร กลับวิ่งลงใต้ไปนราธิวาส พอข่าวย้ำว่าสถานการณ์คับขันจึงวิ่งตัดอ่าวขึ้นไปตราด นั่นน่ะถูกอยู่ แต่ไหงกลับไปจอดซุ่มอยู่แหลมงอบ ซึ่งเป็นเขตน้ำตื้น เรือรบขนาดใหญ่จะเข้าไม่ได้นอกจากเรือเล็กๆอย่างของไทย ยังไงๆก็ไม่ได้ส่องกล้องเห็นกัน
แสดงว่าบทเรียนครั้งการรบที่เกาะช้างกับลามอตต์ปิเก้ ได้สอนให้ทหารเรือไทยทราบว่า เรือใหญ่จะใช้ช่องทางไหนเวลาจะเข้าตีประเทศไทย ดังนั้นจึงควรจะหลบ หรือจะไปดักสู้ที่ไหน
นี่จอดที่แหลมงอบเฉยๆ แปลว่าหลบ และแล้ววิ่งเลียบฝั่งกลับไประยองและสัตหีบ รอวันจะกลับกรุงเทพ ครั้นกองทัพสั่งให้ยืดเวลาไปอีก๒วัน ก็เอาเรือไปจอดรอที่เกาะสีชังนั่นเอง ในวันที่๖ที่๗นั้น ถ้าวิ่งลาดตระเวนสักหน่อยก็คงเจอกองเรือของญี่ปุ่นแน่ เพราะขนาดมันมหึมาพอสมควร
แต่เจอแล้ว ใครจะอยู่ใครจะไป นั่นไม่ต้องถามเช่นกัน
วันที่ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกไปแล้วป่วยการที่ผมจะพูดถึง ยังไงๆก็สายไปเสียแล้ว