|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33479
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อ 02 มี.ค. 12, 13:21
|
|
ในพ.ศ. 2484 ญี่ปุ่นเป็นมหาอำนาจที่สยายกรงเล็บครอบคลุมเอเชียอาคเนย์เอาไว้ในตอนนั้น แล้วตัดสินใจว่าจะไม่หยุดอยู่แค่นั้น แต่จะแบ่งโลกออกเป็น 2 ซีก ทางยุโรปเป็นของเยอรมันซึ่งมีอิตาลีเป็นพันธมิตร ส่วนทางเอเชีย ญี่ปุ่นจะเป็นผู้นำ แผนนี้ถ้าทำสำเร็จ ญี่ปุ่นก็เป็นเจ้าครึ่งโลก เหลือประเทศเดียวที่ขวางกลางเป็นกระดูกชิ้นใหญ่ขวางคอ ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากสหรัฐอเมริกา
ญี่ปุ่นตัดสินใจบุกสายฟ้าแลบ ถือว่าใครลงมือก่อนคนนั้นได้เปรียบ ด้วยเหตุนี้ในเช้าวันที่ 7 ธันวาคม 2484 ฐานทัพของอเมริกาที่อ่าวเพิร์ล หรือเรียกทับศัพท์ว่าเพิร์ล ฮาเบอร์ ในรัฐฮาไวอิ กลางมหาสมุทรแปซิฟิค ยังไม่ทันตั้งตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ฝูงเครื่องบินรบของญี่ปุ่นก็พุ่งเข้าทิ้งระเบิดปูพรม ถล่มเรือรบของอเมริกาอย่างไม่ยอมให้มีโอกาสตอบโต้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33479
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 2 เมื่อ 02 มี.ค. 12, 13:26
|
|
แผนถล่มเพิร์ล ฮาเบอร์วางไว้ลึกล้ำเอาการ เพราะเรื่องจะเข้าโจมตีฐานทัพระดับบิ๊ก ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ประเภทอยากบินก็บินเข้าไปทิ้งระเบิดได้ง่ายๆ ทางโน้นเขามีการป้องกันตัวเหนียวแน่นอยู่แล้ว ญี่ปุ่นจึงลงมือด้วยการซ่อนกองเรือบรรทุกเครื่องบินไว้ในเรือรบลำใหญ่ แล่นไปในมหาสมุทร ลอยลำเข้าใกล้อ่าวเพิร์ลฮาเบอร์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วปล่อยเครื่องบินรบจากเรือ บินต่ำเพื่อหลบคลื่นเรดาร์ ฐานทัพของอเมริกาตรวจพบเครื่องบิน 400 ลำกำลังบินใกล้เข้าเกาะ แต่ไม่เฉลียวใจ คิดว่าเป็นเครื่องบินอเมริกันด้วยกันบินกลับมาจากจีน จึงไม่ได้เตรียมตัวรับมือแต่อย่างใด ว่ากันว่าเครื่องบินรบของกองทัพญี่ปุ่นบินอยู่เหนือหัว ในขณะที่ทหารเรืออเมริกันกำลังตกปลาอยู่เพลิดเพลินด้วยซ้ำไป
เจ้าของแผนการรบคือนายพลเรืออิโซโรกุ ยามาโมโต เขาดัดแปลงระเบิดตอร์ปิโด ด้วยการใส่ไม้รูปทรงคล้ายๆกล่องเข้าไปที่ใบพัดจึงทำให้สามารถยิงในน้ำตื้นได้ ภายในไม่กี่นาทีที่ฝูงบินรบโจมตีแบบสายฟ้าแลบ อเมริกาสูญเสียอย่างหนัก เสียทหาร 2408 นาย เรือรบ 18 ลำ เครื่องบิน 400 ลำ อีกสามชั่วโมงต่อมา กองทัพญี่ปุ่นก็บุกฟิลิปปินส์ ฮ่องกง มาเลย์เซีย และประเทศไทย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33479
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อ 02 มี.ค. 12, 13:55
|
|
จากฐานทัพญี่ปุ่นในอินโดจีนฝรั่งเศส ญี่ปุ่นส่งกำลังพลมุ่งลงทางใต้ แบ่งกำลังเป็นกำลังทางบกผ่านเข้าทางจังหวัดพระตะบอง เข้าชายแดนไทยทางอรัญประเทศ แต่กองกำลังทางบกยังถือเป็นส่วนน้อย กำลังหลักคือทางเรือ เป็นขบวนเรือลำเลียง มีเรือประจัญบาน เรือลาดตระเวน เรือพิฆาตคุ้มกัน และกองบินรบคอยบินตระเวนและคุ้มกันกองเรือลำเลียงพล
ขบวนเรือลำเลียง พร้อมเรือรบคุ้มกันเคลื่อนพลจากท่าเรือซังจา ทิศใต้ของเกาะไหหลำ ตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2484 ในบ่ายวันที่ 6 ธันวาคม เครื่องบินทะเลชื่อคาตาลีนาของฐานทัพอังกฤษในสิงคโปร์ เห็นกองเรือญี่ปุ่น ก็ส่งรายงานให้รู้ พร้อมกับรายงานว่ามรสุมในอ่าวไทยค่อนข้างแรง คลื่นสูง 1-2 เมตร เมฆลอยต่ำและมีลมกรรโชกแรง แต่เครื่องบินคาทาลีนาก็ชะตาขาด ถูกเครื่องบินขับไล่จากฐานทัพอากาศที่ไซ่ง่อน 2 เครื่อง รุมกินโต๊ะ ยิงจนตกทะเล คลื่นลมในทะเลยังรุนแรงต่อไปจนถึงวันที่ 8 ธันวาคม แต่ไม่ได้ทำให้กองทัพเรือญี่ปุ่นสะทกสะท้านแต่อย่างใด คงเดินหน้าเข้ามาในอ่าวไทยไม่ละลด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อ 02 มี.ค. 12, 14:27
|
|
สารด่วนจากรัฐบาลอังกฤษถึงรัฐบาลไทย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33479
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อ 02 มี.ค. 12, 14:50
|
|
สารของทูตอังกฤษลงวันที่ 8 ธันวาคม ถึงด่วนที่สุดยังไงก็ด่วนไม่ทันการเสียแล้ว 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33479
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อ 02 มี.ค. 12, 14:59
|
|
วันที่ 6 ธันวาคม ท่านทูตบริติชยังไม่ทันจะร่างจดหมาย จอมพลป.ผู้นำของไทยก็เกิดมีภารกิจต้องออกจากเมืองหลวงไปตรวจเยี่ยมทหาร ดูความพร้อมของกำลังรบและตรวจตราสถานการณ์บ้านเมือง ณ จังหวัดปราจีนบุรี พิบูลสงครามและพระตะบอง ท่านจะรู้หรือไม่รู้ก็ตามว่าญี่ปุ่นกำลังสวนทางเข้ามาแล้ว ผู้ติดตามท่านนายกฯไป มีพลตรีหลวงวิชิตสงคราม เสนาธิการกองทัพบก และพลต.หลวงเสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมรถไฟ ติดตามขบวนไปด้วย
ส่วนประชาชนชาวไทยไม่รู้เรื่อง จึงไม่เฉลียวใจเรื่องใดๆทั้งหมด เพราะเมืองหลวงในช่วงนั้นเป็นฤดูหนาว อากาศกำลังเย็นสบาย เป็นเวลาที่จัดงานกลางคืนงานใหญ่คืองานฉลองรัฐธรรมนูญที่ยาวติดต่อกันหลายวันหลายคืน นับเป็นงานโก้ออกหน้าออกตาของชาวพระนคร ที่จะเดินเที่ยวกันได้ตั้งแต่เช้าไปจนดึกดื่น คนไทยก็เลยเที่ยวงานกันอย่างร่าเริงบันเทิงใจ
วันที่ 7 ธันวาคม เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นพร้อมกับทูตทหารขอเข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อยื่นข้อเสนอให้ประเทศไทยเปิดทางให้กองทัพญี่ปุ่นเคลื่อนผ่านไปได้อย่างสะดวกสบาย เพื่อจะไปรบกับอังกฤษในมลายู และพม่า ในคืนวันที่ 7 นั้นเอง เรือเดินทะเลลำหนึ่งชื่อซิดนีย์มารู ก็ลอยลำเข้ามาจอดเงียบๆที่บางปู ในนั้นมีทหารญี่ปุ่นขนมาเพียบเต็มกำลังเรือ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
CVT
|
ความคิดเห็นที่ 7 เมื่อ 02 มี.ค. 12, 15:00
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33479
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อ 02 มี.ค. 12, 15:09
|
|
^
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33479
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 9 เมื่อ 02 มี.ค. 12, 15:22
|
|
ก่อนหน้านี้คนไทยคุ้นกับชาวญี่ปุ่นในฐานะชาวต่างชาติที่เป็นมิตรดี จะว่าไปเราก็เปิดประตูต้อนรับคนต่างชาติมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยแล้ว ไม่ได้รังเกียจรังงอน ญี่ปุ่นทยอยกันเข้ามาตั้งร้านถ่ายรูปบ้าง เป็นหมอฟันบ้าง ขายสินค้าญี่ปุ่นในเมืองไทยมาหลายปี โดยไม่มีปัญหาอะไร คนไทยไม่เคยระแวงสักนิดเดียวว่า คนเหล่านี้แท้จริงเป็นสายของกองทัพญี่ปุ่นทั้งสิ้น
แม้แต่กองทัพบก ซึ่งเล็งเห็นสถานการณ์ในอนาคตอันใกล้ว่าไทยเสี่ยงกับสงครามจากญี่ปุ่นบุกแน่นอน ถึงกับมีการประชุมกันตั้งแต่เดือนตุลาคม สั่งให้ตรวจภูมิประเทศบริเวณพื้นที่ชายทะเลภาคใต้ มีพ.อ.หลวงสวัสดิกลยุทธ เสนาธิการมณฑลทหารบกที่ 6 เป็นหัวหน้าคณะตรวจภูมิประเทศ ผลการตรวจสรุปได้ว่า จังหวัดชายทะเลภาคใต้ทุกจังหวัดเป็นจุดที่ข้าศึกสามารถยกพลขึ้นบกได้ทุกแห่ง ขนาดนายทหารที่มีวิสัยทัศน์ไกลคนหนึ่งชื่อร.อ. ประชุม ตาตะยานนท์ หรือต่อมาคือพล ท.ประชุม ประสิทธิ์สุรศักดิ์ ผู้บังคับกองร้อยที่ 4 เป็นผู้แทนของกองพันทหารราบที่ 39 ได้เสนอในที่ประชุมว่า ข้าศึกอาจยกพลขึ้นที่ท่าแพ จ.นครศรีธรรมราช แล้วเคลื่อนที่เข้ายึดหน่วยทหารต่อไปได้ การประเมินของร.อ.ประชุม แม่นยำราวกับตาเห็น เพราะญี่ปุ่นบุกตามนั้นจริงๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33479
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 10 เมื่อ 02 มี.ค. 12, 15:33
|
|
คืนวันที่ 7 ล่วงเข้าวันใหม่ของวันที่ 8 ธันวาคม ชาวกรุงเทพเที่ยวงานรัฐธรรมนูญจนเต็มอิ่มแล้วก็กลับเข้าบ้าน นอนหลับกันอย่างสุโข ไม่ได้ระแคะระคายเลยว่าในถนนบางสายของเมืองหลวง ชาวญี่ปุ่นที่ยิ้มแย้มติดต่อค้าขายอยู่กับชาวบ้านมาหลายปี จู่ๆก็กลับเข้าห้อง เปิดหีบหยิบเครื่องแบบทหารญี่ปุ่นบ้าง เครื่องแบบพลเรือนกลาโหมของญี่ปุ่นบ้าง ขึ้นมาผลัดเปลี่ยนกับชุดธรรมดา แล้วรวมพลกันเคลื่อนกำลังออกไปอย่างพร้อมเพรียง เพื่อสมทบกับกองทัพญี่ปุ่นที่กำลังยกพลขึ้นบก หลายทางด้วยกัน
ตั้งแต่ตีสองไปจนเช้ามืดวันที่ 8 ธันวาคม กองทัพญี่ปุ่นที่มีเรือลำเลียงพล เรือรบและเครื่องบินรบ ก็บุกไทยแบบสายฟ้าแลบ เข้าทางใต้ของไทยในหลายจุดด้วยกัน ทหารและยุวชนไทยทางใต้ก็สู้รบกันเต็มที่ไม่ยอมถอย ส่วนทางกรุงเทพก็เข้ามาทางปากน้ำ คนไทยตื่นนอนขึ้นมาก็พบว่าญี่ปุ่นเข้ามาเต็มเมืองแล้ว ทหารไทยในกรุงเทพก็ปักหลักยิงญี่ปุ่นไม่ยอมให้ล่วงล้ำเข้ามา
รัฐบาลประชุมกันอย่างเคร่งเครียดว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี ในที่สุดก็ตกลงกันว่ายอมประนีประนอมดีกว่า เพื่อไม่ให้เสียเลือดเนื้อ เพราะสู้ไปก็คงสู้ไม่ได้ คำสั่งจึงออกมาอย่างเร่งด่วน ให้ทหารหยุดยิง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33479
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 11 เมื่อ 02 มี.ค. 12, 15:39
|
|
พลต.บัญชา แก้วเกตุทอง หรือร้อยโทบุญช่วย แก้วเกตุทอง ชื่อและยศในขณะนั้น ได้เขียนบันทึกไว้ในเหตุการณ์วันนี้ ขอเรียบเรียงมาเล่าสู่กันฟัง
" เมื่อรัฐบาลไทยตกลงยินยอมให้ญี่ปุ่นเคลื่อนกำลังทหารผ่านประเทศไทย เพื่อเข้ายึดพม่า มณฑลทหารบกที่ 6 จึงสั่งให้ทหารหยุดยิง โดยพ.อ. หลวงสวัสดิกลยุทธ นั่งรถยนต์ปักธงขาวไปทางถนนราชดำเนิน แล้วออกคำสั่งให้ทหารไทยหยุดยิง ผมได้นำทหารถอนกลับมา เมื่อผ่านกองรักษาการ ได้เห็นพันตรีทหารญี่ปุ่นกำลังเจรจากับพลตรีหลวงเสนาณรงค์ มีข้อความในการเจรจาตอนหนึ่งซึ่งผมได้ยินด้วยหูผมเอง (ไม่ใช่คำบอกเล่า)ดังนี้ หลวงเสนาณรงค์ได้พูดกับพันตรีทหารญี่ปุ่นว่า "เราหยุดยิง และถอนกำลังมา ตามคำสั่งของรัฐบาล มิใช่เรายอมแพ้ท่าน ถ้าท่านคิดว่าเรายอมแพ้ ข้าพเจ้าจะสั่งให้กำลังของเราเข้าประจำแนว แล้วรบกับท่านต่อไป"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33479
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 12 เมื่อ 02 มี.ค. 12, 15:40
|
|
ขอพักรบก่อนค่ะ เชิญท่านปุจฉาวิสัชนากันต่อไปตามสะดวก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 13 เมื่อ 02 มี.ค. 12, 16:18
|
|
มีคำถามที่ถามกันตั้งแต่วันนั้น มาถึงบัดนี้ไม่มีคำตอบ คือ
๑ กองทัพเรือของเราไปอยู่ที่ไหนกันหมด ญี่ปุ่นยกพลมาขนาดนี้ ทำไมไม่รู้ไม่เห็น
ถ้ารู้ถ้าเห็นคงเป็นอย่าง เรือปริ็นซ์ออฟเวลส์ อันเป็นเรือประจันบานที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดของอังกฤษ กับเรือรีพัลส์ซึ่งใหญ่ใกล้เคียงกันซึ่งถูกส่งมาคุ้มครองอาณานิคมมลายูและสิงคโปร์ เรือสองลำนี้ออกเดินทางมุ่งมาอ่าวไทยในทันทีที่ได้รับรายงานการเคลื่อนไหว ญี่ปุ่นรออยู่แล้วจึงส่งเครื่องบินจากไซ่ง่อนเข้าโจมตีด้วยระเบิดและตอร์ปิโด ส่งเรือที่ยิ่งใหญ่ทั้งสองลงไปสู่ท้องทะเลในเวลาเพียงไม่กี่นาที
เพราะทหารเรือจะรู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง หรือมีใครส่งสัญญาณให้อยู่นิ่งๆ เงียบๆไว้
๒ ทำไมเช้าวันนั้น ก่อนจะได้รับสารจากอังกฤษ จอมพลป.พิบูลสงครามจึงเกิดความจำเป็นจะต้องไปตรวจราชการโดยรถยนต์ที่อรัญประเทศ และเลยไปถึงพระตะบองโดยเร่งด่วนไม่มีกำหนดการล่วงหน้า นอกจากทำหนังสือมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการสำคัญแทนทิ้งเอาไว้ที่ทำเนียบ
การที่ทหารญี่ปุ่นยกพลลงเรือมาทั้งกองทัพจากไซ่ง่อน ถ้าสายลับไทยไม่รู้ไม่เห็นไม่รายงาน ก็น่าจะถูกเขกกระบาน เป็นไปได้ไหมว่าท่านนายกรู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า แต่ไม่ต้องการจะเป็นผู้รับผิดชอบในการตัดสินใจ ยอมหรือไม่ยอม ต่อคำขอของกองทัพญี่ปุ่น ในนาทีแรก
รอให้สถานการณ์อะไรสักอย่างเกิดขึ้นไปทีหนึ่งก่อน แล้วตนจึงจะเข้าไปแก้ไข ดีกว่าจะเป็นผู้ตัดสินใจจะไปซ้ายหรือขวาเสียเอง ซึ่งเสี่ยงต่อความเสียหายทั้งขึ้นทั้งล่อง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 14 เมื่อ 02 มี.ค. 12, 16:29
|
|
ทหารญี่ปุ่นมาถึงอรัญประเทศหลังจากที่นายกรัฐมนตรีบึ่งรถกลับเข้ากรุงเทพได้ไม่นาน ท่านเข้าไปลึกถึงพระตะบอง หรือท่านไม่ทราบจริงๆว่ากองทัพญี่ปุ่นกำลังมุ่งหน้ามาไทยแล้ว
ถนนหนทางในสมัยนั้นย่ำแย่พอๆกับรถ ถึงจะเป็นรถประจำตำแหน่งของนายกก็เถอะ ถ้าเกิดยางแตกหยุดเปลี่ยนยาง ก็มีสิทธิ์ตกเป็นเชลยของญี่ปุ่นได้ง่ายๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|