ประกอบ
|
ความคิดเห็นที่ 90 เมื่อ 19 มี.ค. 12, 21:43
|
|
ขออนุญาตแสดงความเห็นเรื่องการสำเร็จโทษประเจ้าตากฯ หน่อยนะครับ
เท่าที่ทราบมาก็อย่างที่อ่านอาจารย์เทาชมพูว่า ใช้การตัดศีรษะ ไม่ใช่การทุบด้วยท่อนจันทร์ ซึ่งน่าแปลกเมื่อคิดถึงว่านี่เป็นการประหารอดีตพระเจ้าแผ่นดิน แถมจริงๆ แล้ว ต้นเหตุของการปลี่ยนแปลง ก็ไม่ได้มีการเริ่มต้นมาจากสมเด็จเจ้าพระยา(ร.1) หรือพระอนุชาด้วยซ้ำ การผลัดแผ่นดิน ดูเผินๆ เหมือนเป็นการตกกระไดพลอยโจน แต่จริงๆ ก็น่าคิดถึงอะไรลึกๆ มากกว่านั้น
ดังนั้นการสำเร็จโทษด้วยการดัดศีรษะ ในความรู้สึกผม ออกจะน่าแปลกใจไม่น้อย เพื่อคิดถึงการเคยเป็นข้าเป็นนายกันมา แม้ ร. 1 จะเคยถูกโทษโบยมาก่อน ก็ไม่น่าจะทรงแค้นเคืองขนาดนี้ ไม่แน่ใจว่าสำหรับเชื้อพระวงศ์อื่นๆ ของพระเจ้าตาก ถูกสำเร็จโทษแบบไหน จริงๆ แล้วน่าจะมีความขัดแย้งบางอย่างที่น่าจะมีมายาวนาน หรือมีอะไรที่ลึกซึ้งมากกว่าที่มีการบันทึกกันไว้ อาจจะมีการชิงดีชิงเด่น การส้องสุมกำลัง หาสมัครพรรคพวก แบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันมาก่อนหน้าเป็นระยะเวลานานพอสมควร
อำนาจของพระเจ้าตากเองก็อาจจะสั่นคลอนมานานแล้ว การบริการจัดการตัดสินใจในเรื่องใหญ่ๆ อาจจะไม่ได้เป็นพระราชอำนาจของพระเจ้าตากฯพระองค์เดียวมานานแล้วก็ได้ อำนาจของเจ้าพระยาจักรีและพระอนุชาฯ อาจจะมีมากจนแม้แต่พระเจ้าตากก็ทำอะไรไม่ได้ เพียงแต่ยังไม่มีโอกาสในการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน จนมีกรณีพระยาสรรค์กบฏ ก็เลยเป็นโอกาสเปลี่ยนแผ่นดินกันไปเลย สถานการณ์อาจจะคล้ายๆ สมัยปลาย ร. 3 ก็ได้ เพียงแต่สถานการณ์ตอนนั้นไม่เอื้อและไม่สุกงอมเหมือนสมัยธนบุรี
กรมพระราชวังบวรฯเอง ก็รับราชการกับพระเจ้าตากมาก่อนเป็นเวลานาน ทำไมจึงวางเฉยเรื่องการสำเร็จโทษแบบไม่สมพระเกียรติได้ แถมมีบทบาทมากในเรื่องการกำจัดเสี้ยนหนามด้วย เพราะจริงๆ แล้ว รัชกาลที่หนึ่งกับพระอนุชา(วังหน้า) ก็เหมือนจะไม่น่าจะลงรอยกันนัก แต่ไม่แน่ใจว่าเพิ่งเป็นในตอนหลังจากการเปลี่ยนราชวงศ์แล้วแล้ว หรือก่อนหน้า เห็นได้จากพระโอรสของกรมพระราชวังบวรเอง ตอนหลังก็ถูกสำเร็จโทษเช่นกัน ด้วยเรื่องวัฒนธรรมไทย เรื่องของบุญคุณ การเป็นข้าเป็นเจ้ากัน จึงดูออกจะเป็นเรื่องที่แปลก ระดับความร้อนแรงขัดแย้งทางการเมืองในสมัยธนบุรี น่าจะมีมากและแรงกว่าที่เรารับทราบกันจากพงศาวดาร เพราะขนาดเมื่อสิ้นสมัยรัชกาลที่ 1 ยังต้องมีการล้างบางพระญาติพระวงศ์สายพระเจ้าตากกันอีกรอบเลย
ผมเคยอ่านการเมืองไทยสมัยพระเจ้าตากฯ ของ อ. นิธิ เอียวศรีวงศ์เมื่อนานมากกว่าสิบปีมาแล้ว อาจจะพอสรุปคร่าวๆ ได้ถึงความขัดแย้งและความแตกต่างระหว่างกลุ่มผู้ดีเก่าที่สืบเชื้อสายข้าราชการมาตั้งแต่สมัยอยุธยา กับกลุ่มขุนนางที่ไต่เต้ามาจากระดับไพร่ ซึ่งแม้แต่พระเจ้าตากเองก็อาจจะมีที่มาจากกลุ่มนี้ คือไม่ได้สืบเชื้อสายมาจากกลุ่มผู้ดี ดังนั้นเมื่อขึ้นเป็นกษัตริย์ อาจจะไม่ได้รับการยอมรับอย่างเต็มที่จากข้าราชการระดับต่างๆ ที่เป็นเชื้อสายผู้ดีเก่า
ปล ความเห็นนี้ถ้าหมิ่นเหม่ไป อ. เทาชมพูลบไปก็ได้นะครับ เรื่องพวกนี้อาจจะยังไม่ถึงเวลาที่จะพูดได้แม้ในสมัยนี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
วิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 91 เมื่อ 19 มี.ค. 12, 21:56
|
|
ไม่ลบค่ะ ไม่ต้องห่วง คุณประกอบพูดในเชิงวิชาการ ไม่ได้พูดด้วยอารมณ์ส่วนตัว
ขอเล่าเหตุการณ์หลังจากสมเด็จพระเจ้าตากสินถูกประหารไปแล้ว ว่า เมื่อถูกสำเร็จโทษที่ป้อมวิชัยประสิทธิ์ พระศพถูกนำไปฝังที่วัดบางยี่เรือใต้ ภายหลังเมื่อสถาปนากรุงเทพแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จึงขุดขึ้นมาพระราชทานเพลิง พระองค์และกรมพระราชวังบวรฯ เสด็จไปพระราชทานเพลิงเองทั้ง ๒ พระองค์ จากนั้น ก็มีการไต่สวนกรมขุนอนุรักษ์สงครามและพระยาสรรค์ แล้วประหารชีวิตทั้ง ๒ คน ดิฉันเชื่อว่าถูกตัดศีรษะแบบนักโทษประหาร ไม่น่าเป็นไปได้ว่าในเมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินถูกประหารแบบสามัญชน เจ้านายที่เป็นชั้นหลานจะถูกสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ แบบเจ้านาย
จากนั้น ก็มีการ "ล้างบาง" กันตามระเบียบ ขุนนางฝ่ายพระเจ้าตากถูกประหารไปอีก ๓๙ คน พวกนี้ส่วนใหญ่น่าจะเป็นฝ่ายกรมขุนอนุรักษ์สงครามที่ยกพลมาสู้กับพระยาสุริยอภัย ในเมื่อแม่ทัพถูกประหาร นายกองทั้งหลายก็ย่อมไม่รอดอยู่ดี นอกจากนี้ กรมพระราชวังบวรฯ ทรงประหารขุนนางไปอีก ๘๐ เศษ ล้วนแต่เป็นผู้มีเรื่องขุ่นเคืองกับพระองค์มาก่อน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 92 เมื่อ 19 มี.ค. 12, 22:01
|
|
เจ้านายผู้ชายพระญาติฝ่ายพระเจ้าตากที่เป็นผู้ใหญ่ ถูกประหารหมด เว้นพวกผู้หญิงและเด็กๆไว้ รวมทั้งพระโอรสเล็กๆของพระเจ้าตากด้วย กรมพระราชวังบวรฯ ทูลขอให้ประหารหมด เพราะจะเป็นเสี้ยนหนามต่อไป แต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯทรงขอชีวิตไว้ทั้งหมด พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ กริ้วอีกครั้งก็เมื่อตอนพระราชทานเพลิงพระเจ้าตาก เจ้าจอมหม่อมห้ามและเจ้านายฝ่ายในของพระเจ้าตากที่ตอนนี้ย้ายมาเป็นฝ่ายในของรัชกาลที่ ๑ พากันร้องไห้คร่ำครวญถึงเจ้านายเดิม ก็เลยกริ้วสั่งเฆี่ยนหลังลายกันเป็นแถว
กรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาท ท่านทรงมีเรื่องขุ่นเคืองพระทัยกับขุนนางฝ่ายพระเจ้าตากมาแต่เดิม ถ้าเป็นสมัยนี้คงเรียกว่าถูกปัดแข้งปัดขามาตั้งแต่เป็นเจ้าพระยาสุรสีห์ ครั้งหนึ่งมีเรื่องพลาดพลั้งถึงกับทรงถูกพระราชอาญาโบยหลัง ทั้งๆไม่ได้ทรงทำความผิด เมื่อเปลี่ยนแผ่นดิน จึงทรงเอาคืนกับปรปักษ์เสีย ๘๐ กว่าคน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 93 เมื่อ 19 มี.ค. 12, 22:06
|
|
ส่วนพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงพระเมตตาต่อเชื้อสายของสมเด็จพระเจ้าตากสินมากกว่า นอกเจ้าฟ้าเหม็น กรมขุนกษัตรานุชิตที่เป็นพระนัดดา(หลานตา)แท้ๆ พระโอรสของสมเด็จพระเจ้าตากสิน องค์อื่นๆคือพระพงศ์นรินทร์ พระอินทรอภัย อายุถึง ๑๔-๑๕ ปีแล้วทั้งสิ้น ก็ยังเอามาชุบเลี้ยงใช้สอย
บุตรของขุนนางผู้ถูกประหารในคราวนั้นทรงไว้ชีวิตไว้ทั้งหมดและนำมารับราชการทั้งหมดเช่นกัน เชื้อสายพระเจ้าตากกลายมาเป็นข้าราชการสืบต่อกันมาในต้นรัตนโกสินทร์ ยังมีลูกหลานมาจนทุกวันนี้ เช่นตระกูลสินสุข และอินทรกำแหง
เรื่องนี้เคยสนทนากันในกระทู้เก่า ก็เลยขอยกกลับมาให้อ่านกันอีกครั้ง
เรื่องนี้อาจมองแยกเป็น ๓ อย่าง จากเนื้อความที่เล่ามา ๑)พระเจ้าตากสินทรงสิ้นบารมีที่จะสร้างความปึกแผ่นภายในได้อีก จะด้วยทรงมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปขนาดก่อความเดือดร้อนให้ประชาชนอย่างพงศาวดารว่า หรือเป็นเพราะอำนาจของเจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์ขยายใหญ่ขึ้นมากที่สุดก็ตาม แต่พระบารมีก็จบสิ้นลงตั้งแต่พระยาสรรค์ยึดอำนาจ
๒) concept of loyalty (แนวคิดที่ยึดมั่นในการจงรักภักดีต่อเจ้านาย) ไม่มีอีกแล้วในตอนปลายธนบุรี กลับเข้าสู่สังคมที่มีผู้นำและผู้ตาม บุคคลเข้มแข็งที่สุดจะได้ตำแหน่งผู้นำแทนคนเก่า ถ้าเป็นลักษณะนี้ การรัฐประหารจะเกิดขึ้นง่ายที่สุด
๓) การกระทำหลายอย่าง เป็นการสยบอำนาจเก่าลงไม่ให้เป็นปัญหาได้อีก แต่การกระทำหลายอย่างบ่งถึงการประนีประนอมแก่ผู้ที่ไม่ใช่เสี้ยนหนามอันดับหนึ่ง อย่างบรรดาขุนนางที่ถูกประหารไป บุตรก็ได้รับราชการต่อ รวมทั้งบุตรพระยาสรรค์ด้วย ทั้งนี้จะมีผลทางขวัญกำลังใจของข้าราชการโดยส่วนรวม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 94 เมื่อ 20 มี.ค. 12, 13:05
|
|
โดยมาก หัวข้อที่ถกเถียงกันคือสมเด็จพระเจ้าตากสินทรงเสียพระสติจริงหรือเปล่า จะเรียกว่า วิกลจริต เพี้ยน ประชวร หรืออะไรก็ว่ากันไป แต่ไม่ค่อยมีใครมองว่า ด้วยพระอาการตามที่บันทึกไว้ในพระราชพงศาวดารหลายเล่ม รวมบันทึกความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวีด้วย หากว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินยังคงครองราชย์ต่อไป จะมีผลดีหรือเสียอย่างไรกับราชอาณาจักร ก็ขอทิ้งคำถามไว้แค่นี้ค่ะ
กลับมาที่กรมพระราชวังหลัง ตอนต้นรัชกาล เป็นยุคของความตึงเครียดถึงขีดสุด กรุงเก่าแตกเพราะพม่ามาแค่ 15 ปี คนไทยยังจำความหลังได้ดีอยู่ ก็ไม่มีใครอยากจะให้เกิดซ้ำสอง ในเมื่อพม่ายกทัพใหญ่มาราวกับคลื่นในมหาสมุทร ถ้ายันไว้ไม่อยู่ก็บ้านแตกสาแหรกขาดอีกเป็นครั้งที่สอง คราวนี้อาจไม่มีโอกาสฟื้นตัวอีกเลย ดังนั้น แม่ทัพทั้งหลายจึงต้องเฉียบขาด สั่งทหารสู้กันอย่างยอมตายถวายชีวิต อย่าว่าแต่อ่อนแออย่างพระยาสระบุรีที่ต้องถูกตัดหัวเสียบประจาน แม้กรมพระราชวังหลังเอง ก็ได้รับสารตราจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ส่งจากกรุงเทพขึ้นไปว่า ศึกทางกาญจนบุรีเสร็จสิ้นลง ด้วยชัยชนะของกรมพระราชวังหน้า เหลือแต่ศึกทางเหนือ ที่กรมพระราชวังหลังทรงบัญชาการอยู่ "...แม้กรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์คิดทำไม่สำเร็จ พระเศียรก็คงไม่ได้อยู่กับพระกายเป็นแน่แท้"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 95 เมื่อ 21 มี.ค. 12, 12:24
|
|
พระบรมราชโองการจากทัพหลวงที่ยกขึ้นไปสมทบ คือเร่งรัดให้ทัพกรมพระราชวังหลัง และทัพเจ้าพระยามหาเสนา ให้ยกเข้าตีค่ายพม่า ณ ปากน้ำพิง ให้แตกภายในวันเดียว ถ้ายืดเยื้อไปมากกว่านี้ โทษถึงประหารชีวิต
ด้วยเหตุนี้ ศึกใหญ่ก็ระเบิดขึ้นอีกครั้ง ในวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๓๒๘ ทัพไทยเข้าโจมตีพม่าพร้อมกันทุกค่าย สาดกระสุนยิงกันด้วยปืนใหญ่น้อยตั้งแต่เช้าไปจนค่ำ รบครั้งนั้นดุเดือดแค่ไหนไม่ต้องบรรยายมากกว่านี้ เห็นได้จากพอตกค่ำทัพพม่าก็แตกฉานซ่านเซ็น ไพร่พลหนีกระจัดกระจายไปทุกค่าย ข้ามแม่น้ำไปทางตะวันตก จมน้ำตายไปประมาณ ๘๐๐ กว่าคน พงศาวดารบันทึกว่าศพลอยเต็มแม่น้ำ เลือดแดงฉาน จนกินน้ำไม่ได้
การรบครั้งนี้ แม่ทัพอีกผู้หนึ่งที่ฝากฝีมือไว้ คือพระองค์เจ้าลา กรมหลวงจักรเจษฎา ใครย้อนอ่านไปตอนต้นกระทู้ คงพบชื่อท่านว่าเป็นพระอนุชาต่างมารดากับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก ท่านยังเป็นเด็กเล็ก อพยพตามพ่อคือหลวงพินิจอักษรและแม่ซึ่งเป็นอนุภรรยา ลี้ภัยไปอยู่พิษณุโลก เมื่อคุณหลวงพินิจอักษรถึงแก่กรรม แม่ท่านก็ทำศพตามประเพณีเสร็จแล้วแม่ลูกก็อำลาจากพิษณุโลก เชิญอัฐิท่านบิดามาหาพี่ชายพี่สาวที่มาปักหลักอยู่ที่ธนบุรี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ เมื่อครั้งเป็นเจ้าพระยาจักรีก็อุปการะน้องชายเรื่อยมา จนเติบโตขึ้นเป็นนักรบสำคัญคนหนึ่งในตระกูล
เมื่อสถาปนากรุงเทพ หม่อมลาก็ได้เฉลิมพระยศขึ้นเป็นพระองค์เจ้าลา ผลงานชิ้นสำคัญของท่านคือคุมทัพแยกจากทัพเจ้าพระยามหาเสนาไปตีทัพพม่าที่ล้อมเมืองลำปางอยู่ในเวลานั้นให้แตกให้ได้ ก็ถ้าทำงานนี้ไม่สำเร็จ โทษเป็นฉันใดเราก็คงเดาได้อยู่แล้ว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 96 เมื่อ 21 มี.ค. 12, 19:11
|
|
พระองค์เจ้าลา กรมหลวงจักรเจษฎาทรงคุมทัพเข้าตีทัพพม่าที่ล้อมเมืองลำปาง รบกันอยู่ครึ่งวัน ตั้งแต่เช้าถึงเที่ยง ทัพพม่าก็แตกพ่าย กลับไปรวมกำลังกันอยู่ที่เมืองเชียงแสน ซึ่งขึ้นอยู่กับพม่า
เป็นอันว่าศึกใหญ่สุดในแผ่นดินก็ได้จบลงด้วยการที่พม่าพ่ายแพ้ถอยกลับไป เพราะแพ้ไทยหมด ไม่ว่าเจอทัพหลวง ทัพหน้า หรือทัพของเจ้านายองค์อื่นๆ ทัพไทยก็ยกกลับเมืองหลวงด้วยความภูมิใจในชัยชนะ แม่ทัพนายกองทั้งหลายได้รับปูนบำเหน็จกับพร้อมหน้า เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ก็ได้ทรงเลื่อนกรมขึ้นเป็น กรมพระอนุรักษ์เทเวศร์ ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดในสมัยนั้น และได้รับสถาปนาเป็น "กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข" หรือชาวบ้านเรียกว่ากรมพระราชวังหลัง
ศึกพม่ามีขึ้นอีกหลายครั้ง กรมพระราชวังก็ทรงยกทัพไปทำศึกด้วยทุกครั้ง เว้นแต่ครั้งเดียวที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงให้อยู่รักษาพระนคร จนพระชนม์มากขึ้นถึง ๕๖ ปี ก็เสด็จออกผนวช ทรงอยู่ในเพศบรรพชิตตลอดพรรษาจนกระทั่งเกิดศึกขึ้นอีกครั้ง จึงลาผนวชออกไปรบเป็นครั้งสุดท้าย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
werachaisubhong
|
ความคิดเห็นที่ 97 เมื่อ 23 มี.ค. 12, 16:00
|
|
ขาดเรียนไปหลายวันครับ เข้าห้องเรียนต่อ สงครามเก้าทัพนั้นเป็นสงครามที่ใหญ่มากครั้งหนึ่งในสมัยรัตนโกสินทร์ ทัพที่ ๑ ให้ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์(ภายหลังได้รับสถาปนาพระยศขึ้นเป็น กรมพระราชวังบวรสถานภิมุข หรือ กรมพระราชวังหลัง) เป็นแม่ทัพถือพล ๑๕,๐๐๐ ขึ้นไปตั้งรับอยู่ที่เมืองนครสวรรค์ อย่าให้เพลี่ยงพล้ำมิให้ถอย ประวิงเวลายันทัพเหนือของพม่าให้ได้นานที่สุด ( ๑๕,๐๐๐ ตั้งรับ ๓๕,๐๐๐ ) ผมอ่านดูแล้วก็นึกสงสารบรรพบุรุษเรามาก โดนคำสั่งมาไม่ได้ถอยไม่ให้เพลี่ยงพล้ำแล้วเอาคน ๑๕,๐๐๐ ตั้งรับ ๓๕,๐๐๐ แต่บรรพบุรุษเราก็เก่งกล้าสามารถเอาชนะได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ฅนเมียงแป้ มาอยู่ เจียงฮาย
|
|
|
werachaisubhong
|
ความคิดเห็นที่ 98 เมื่อ 24 มี.ค. 12, 11:05
|
|
สายสัมพันธ์ ระหว่าง พระเจ้าตากกับกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์(พระมหาอุปราช)พระนามเดิมว่าเจ้าจุ้ยที่๑ในสมเด็จพระราชินีดำรงพระราชตำแหน่งรัชทายาทถูกสำเร็จโทษวันเสาร์เดือน๖แรม.๘ค่ำ พ.ศ.๒๓๒๕และในการนี้บุตรและธิดาทั้งหลายของกรมขุนอินทรพิทักษ์ไม่ได้ถูกประหาร เลยเหลือสืบสกุลสายตรงเป็นสกุล“สินสุข”และ“อินทรโยธิน”กรมขุนอินทรพิทักษ์-เจ้าฟ้าจุ้ยมีธิดา๒บุตรชาย๒ ๑.๑ คุณหญิงมะเดื่อ เป็นหม่อมห้ามในกรมหมื่นนราเทเวศร์พระโอรสพระองค์ใหญ่ในการพระราชวังบวรสถานพิมุข(วังหลัง)มีโอรสต่อกันคือ หม่อมเจ้าชายเศรษฐ ปาลกะวงศ์ณ อยุธยา หม่อมเจ้าชายจักรจัน ปาลกะวงศ์ณ อยุธยา หม่อมเจ้าหญิง ไม่ปรากฏพระนามปาลกะวงศ์ณ อยุธยา ๑.๒ คุณหญิงสาลี่เป็นหม่อมห้ามในกรมหลวงเสนีบริรักษ์พระโอรสพระองค์ เล็กในกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข(วังหลัง)มีโอรสต่อกันคือ หม่อมเจ้าชายจุ้ย(จิ๋ว)เสนีวงศ์ ณ อยุธยา หม่อมเจ้าชายไม่ปรากฏพระนามเสนีวงศ์ ณ อยุธยา หม่อมเจ้าหญิงไม่ปรากฏพระนาม เสนีวงศ์ ณ อยุธยา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ฅนเมียงแป้ มาอยู่ เจียงฮาย
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 99 เมื่อ 24 มี.ค. 12, 11:09
|
|
เรื่องนี้แสดงให้เห็นกำลังพลของฝ่ายไทยในสมัยรัชกาลที่ ๑ คงจะแบ่งปันกันไปได้แค่นี้เอง ถ้าหากว่าทางการเกณฑ์ชายฉกรรจ์ได้มากกว่านี้ก็คงจะมีกันมากกว่านี้ แสดงให้เห็นอีกอย่างว่า การวางแผนรบของไทยในสมัยนั้นเก่งมาก เมื่อมีคนน้อย ก็หาวิธีเอาน้ำน้อยชนะไฟจนได้ ผิดกับสมัยอยุธยาที่รบกันด้วยกำลังอย่างเดียว เมื่อพม่ายกมาล้อมเมือง ไทยก็ใช้กำลังพลจากในเมืองและจากหัวเมืองคานเอาไว้ บวกกับน้ำท่วมจากธรรมชาติ แต่เมื่อย้ายเมืองหลวง ไพร่พลก็จำนวนน้อย ก็ต้องค้นคิดหาวิธีรบแบบใหม่ที่ไม่ปะทะกันด้วยกำลังอย่างตรงๆ อย่างหนึ่งที่ได้ผลมากคือการรบแบบกองโจร ที่มีผู้นำอย่างพระองค์เจ้าขุนเณร
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
puyum
|
ความคิดเห็นที่ 100 เมื่อ 24 มี.ค. 12, 22:06
|
|
ผมออกจะทึ่งกับจำนวนไพร่พลทั้งฝ่ายไทยและตรงข้าม มาก ไม่แน่ใจว่าตัวเลขที่บอกจำนวน จะเป็นจริง การสงครามแต่ละครั้ง ระยะเวลาก็ห่างกันไม่มากนัก รบแต่ละคราว ก็ต้องเสียไพร่พล ฝ่ายละจำนวนมาก แล้วจะเหลือไพร่พล มากน้อยแค่ไหน คงต้องเร่งผลิตพลเมืองกันหน้าดูเลย ผมมีเพื่อนคิดบ้างไหม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 101 เมื่อ 25 มี.ค. 12, 10:12
|
|
การรบสมัยรัชกาลที่ ๑ มีการใช้กลอุบายหลายอย่าง เพื่อรักษาจำนวนไพร่พลเอาไว้ มิให้เปลืองลงไปมาก เพราะกำลังฝ่ายไทยน้อยกว่าฝ่ายพม่า กรมพระราชวังหน้า ท่านทรงใช้วิธีนี้ ขอเวลาหน่อยแล้วจะพิมพ์มาให้อ่านค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ศิณาวรรณ
อสุรผัด

ตอบ: 22
|
ความคิดเห็นที่ 102 เมื่อ 30 มี.ค. 12, 18:00
|
|
1.เจ้าขุนเณรเป็นเจ้านายวังหลังด้วยหรือเปล่า 2.วังเจ้าขุนเณร วังสวนมังคุด วังสวนลิ้นจี่ วังเจ้านครเชียงใหม่ วังเจ้าลาว วังเจ้านครเวียงจันทร์ วังบ้านปูน อยู่ตรงไหนบ้าง เป็นของเจ้านายพระองค์ไหน 3.วังหลวง วังหลัง วังหน้า วังเดิม วังสวนอนันต์ เดิมมีอาณาเขตแค่ไหน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
werachaisubhong
|
ความคิดเห็นที่ 103 เมื่อ 31 มี.ค. 12, 08:49
|
|
พระองค์เจ้าขุนเณร เป็นน้องคนละแม่กับ กรมพระราชวังบวรสถานภิมุข (วังหลัง) โดยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็น พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าขุนเณร เกี่ยวข้องกับพระราชวงศ์จักรี โดยเป็นพระโอรสบุญธรรมใน สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ กรมพระยาเทพสุดาวดี พระองค์เจ้าขุนเณร เป็นพระโอรสของ พระอินทรรักษา หรือหม่อมเสม ซึ่งเป็นพระภัสดาของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ กรมพระยาเทพสุดาวดี พระภคินีเธอใน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระองค์เจ้าขุนเณร ทรงเป็นเจ้านายนอกพระราชวงศ์จักรี เพราะพระชาติประสูติของพระองค์นั้นเกิดกับหญิงสามัญ ซึ่งเป็นอนุภริยาในพระอินทรรักษา สำหรับพระองค์เจ้าขุนเณร นับว่าเป็นเจ้านายที่พระปรีชาการศึกสงครามพระองค์หนึ่ง ทรงประทับที่วังบ้านปูน แต่พระชีวประวัติเท่าที่สืบค้นมีน้อยมาก ไม่มีระบุเหตุของการสิ้นพระชนม์ และไม่มีระบุทายาทสืบมา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ฅนเมียงแป้ มาอยู่ เจียงฮาย
|
|
|
werachaisubhong
|
ความคิดเห็นที่ 104 เมื่อ 31 มี.ค. 12, 08:57
|
|
วังเจ้าขุนเณรกับวังบ้านปูนน่าจะที่เดียวกันครับ เป็นวังที่ประทับเจ้าขุนเณร วังสวนมังคุด เป็นวังที่ประทับของ พระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้าทองจีน กรมหลวงนรินทรรณเรศร์ พระโอรสลำดับที่ 3 ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี กับหม่อมเสม ประสูติในสมัยกรุงศรีอยุธยา อยู่ในบริเวณใกล้กับวัดระฆัง วังสวนลิ้นจี่เป็นที่ประทับของกรมพระราชวังบวรสถานพิมุขนี้ คนทั่วไปเรียกว่า“วังหลัง” เหตุที่ตั้งวังบริเวณสวนลิ้นจี่ จึงมีชื่อเรียกวังของท่านว่า“วังสวนลิ้นจี่”
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ฅนเมียงแป้ มาอยู่ เจียงฮาย
|
|
|
|