เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
กระทู้เก่าๆในเรือนไทย เล่าถึงวังหลังไว้ตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย แทรกอยู่ในกระทู้สุนทรภู่บ้าง กระทู้อื่นๆที่เกี่ยวกับขุนนางบ้าง วันนี้จึงตั้งใจจะมาเล่าถึง"วังหลัง" ให้เป็นชิ้นเป็นอันเสียทีค่ะ
เรามี "วังหน้า" ถึง 5 รัชกาล ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ถึง 5 ไม่ขาดสักรัชกาลเดียว แต่"วังหลัง" มีเพียงแค่รัชกาลเดียวเท่านั้นคือในรัชกาลที่ 1 หลังจากนั้นก็เหลือแต่เจ้านายเชื้อสายวังหลัง สืบสายกันมาจนกระทั่งปัจจุบัน ในบัตรประชาชน เป็นนายและนางสาวกันหมดแล้ว มีอยู่สองราชสกุล คือ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา และปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา
ขอย้อนกลับไปถึงอยุธยาตอนปลาย นะคะ
ตามประวัติที่บันทึกโดยพระยาสากลกิจประมวล(ม.ล. แปลก เสนีวงศ์) และเรียบเรียงโดย นายยิ้ม บัณฑิตยางกูร เล่าย้อนความไปว่า ในแผ่นดินพระเจ้าเสือ แห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง ทรงมีพระราชโอรส 2 พระองค์ ได้แก่เจ้าฟ้าเพ็ชร์ ซึ่งต่อมาทรงขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล และเจ้าฟ้าพร ทรงเป็นกรมพระราชวังหลัง เรียกกันว่า พระบัณฑูรน้อย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อ 02 มี.ค. 12, 14:14
|
|
ขอขยายรายละเอียดทางประวัติศาสตร์หน่อยนะคะ
เจ้าฟ้าเพ็ชร์ ต่อมาขึ้นครองราชย์ มีพระนามที่คนไทยเรียกกันมาว่าพระเจ้าท้ายสระ ทรงมีข้าหลวงเดิม คำนี้หมายถึงข้าราชบริพารที่ทรงใช้สอยใกล้ชิดมาแต่ดั้งเดิมก่อนขึ้นครองราชย์ เป็นที่ไว้วางพระทัย ข้าหลวงเดิมในบันทึกนี้มีชื่อตัวว่านายสาย ต่อมาได้เลื่อนขึ้นเป็นพระยากลาโหมราชเสนา ในหนังสือเทียบตำแหน่งว่า เป็นอธิบดีกรมกลาโหมฝ่ายพระราชวังบวรฯ ซึ่งในรัชสมัยพระเจ้าท้ายสระ กรมพระราชวังบวรสถานมงคลคือเจ้าฟ้าพร พระอนุชา
ต่อมา สมเด็จพระเจ้าท้ายสระทรงพระประชวรหนักใกล้สวรรคต ก็เกิดปัญหาการสืบราชบัลลังก์กันขึ้นมา เพราะผู้อยู่ในฐานะจะสืบต่อได้มีทั้งเจ้าฟ้าพรผู้ทรงดำรงตำแหน่งวังหน้า และยังมีพระราชโอรสของพระเจ้าท้ายสระ ซึ่งพระราชบิดามีพระราชประสงค์จะมอบราชสมบัติให้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 2 เมื่อ 02 มี.ค. 12, 14:17
|
|
พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ของพระเจ้าท้ายสระคือเจ้าฟ้านเรนทร (กรมขุนสุเรนทรพิทักษ์) ในขณะนั้นผนวชอยู่ คงมองเห็นภัยนอกผ้าเหลือง จึงไม่ไยดีกับราชสมบัติ ก็อยู่ในผ้าเหลืองต่อไปไม่สึกแม้พระราชบิดาสวรรคตแล้ว เป็นอันว่าทรงรอดไปได้ไม่มีภัยมาสู่ตัว ดังนั้นศึกกลางเมืองก็เลยเกิดขึ้นระหว่างเจ้าฟ้าพร กับหลานอีก 2 พระองค์ที่เป็นพระอนุชาของเจ้าฟ้านเรนทร์ คือเจ้าฟ้าอภัย และเจ้าฟ้าปรเมศร์ ทั้งสองฝ่ายต่างมีขุนนางที่สนับสนุนกันฝ่ายละมากๆ ศึกกลางเมืองกินเวลายืดเยื้อประมาณ 1 ปี ในที่สุดเจ้าฟ้าพรเป็นฝ่ายชนะ ทรงขึ้นครองราชย์ และประหารชีวิตเจ้าฟ้าทั้ง 2 พระองค์ ไปตามระเบียบ เมื่อขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน มีพระนามอย่างที่ชาวบ้านเรียกกันเป็นที่คุ้นเคยของนักประวัติศาสตร์ไทยในยุคหลัง ว่าพระเจ้าบรมโกศ
ส่วนพระยากลาโหมไม่ได้รับความกระทบกระเทือนอันใดทางการเมือง เพราะท่านเป็นฝ่ายพระเจ้าบรมโกศมาแต่แรกแล้ว ท่านผู้นี้ ว่ากันว่าตั้งบ้านเรือนอยู่ตรงที่เป็นวัดกษัตรารามในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาในปัจจุบัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อ 02 มี.ค. 12, 14:46
|
|
พระยากลาโหม(สาย) มีบุตรธิดากี่คนในหนังสือไม่ได้แจกแจงรายละเอียด บอกแต่ว่าบุตรชายคนโตชื่อ เสม ต่อมารับราชการเป็นขุนนาง ที่พระอินทรรักษา เจ้ากรมพระตำรวจใหญ่ซ้าย ฝ่ายพระราชวังบวรในรัชสมัยพระเจ้าบรมโกศ กรมพระราชวังบวรฯองค์นี้ทรงพระนามว่ากรมพระราชวังบวรมหาเสนาพิทักษ์ อันได้แก่เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์พระราชโอรสองค์ใหญ่ของพระเจ้าบรมโกศ หรือเจ้าฟ้ากุ้ง กวีเอกของไทย
ท่านเสม พระอินทรรักษาสมรสกับหญิงสาวผู้ดีมีตระกูล มีนามว่า สา ท่านสาเป็นธิดาคนโตของพระพินิจอักษร(ทองดี) ซึ่งมีสายสกุลเก่าแก่ย้อนหลังไปถึงพระยาโกษาธิบดี (ปาน) สมัยสมเด็จพระนารายณ์ บ้านเดิมของท่านสาในกรุงศรีอยุธยาอยู่แถววัดบรมพุทธาวาส หรือวัดกระเบื้องเคลือบ มารดาของท่านเป็นบุตรีของเศรษฐีจีน บิดามารดาจึงมีเงินทองพอจะสร้างวัดถวายเป็นพุทธบูชาได้ ชื่อว่าวัดสุวรรณดาราราม ท่านสามีพี่น้องร่วมท้องรวมกันแล้ว 5 คน และมีน้องชายหญิงต่างมารดาอีก 2 คนด้วยกัน
ท่านมีบุตรธิดากับพระอินทรรักษา 4 คน เป็นชาย 3 และหญิงคนสุดท้องเพียงคนเดียว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
werachaisubhong
|
ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อ 03 มี.ค. 12, 09:54
|
|
มานั่งหน้าชั้นเรียน รออาจารย์เข้ามาสอนต่อครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ฅนเมียงแป้ มาอยู่ เจียงฮาย
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อ 03 มี.ค. 12, 10:21
|
|
ขอสารภาพว่ามัวไปมะงุมมะงาหรา ตามหากองทัพเรือในอ่าวไทยในกระทู้ญี่ปุ่นบุกอยู่ค่ะ เลยลืมต่อกระทู้นี้ไปเลย ขอบคุณคุณ werachaisubhong มากที่ยกมือประท้วง ขอกลับเข้าห้องเรียนตามเดิมนะคะ ตระกูลของท่านสา ได้ชื่อว่าเป็นตระกูลเก่าตระกูลหนึ่งในกรุงศรีอยุธยา บุตรหลานก็ได้แต่งงานไปกับบุตรหลานขุนนางสำคัญมีหน้ามีตา ตัวอย่างเช่นท่านสาดังที่กล่าวมา ท่านสาเป็นบุตรีคนใหญ่ของบิดา มีน้องร่วมท้องถัดลงไปอีกจากท่าน คือ ๑ น้องชายไม่ปรากฏชื่อ มีบรรดาศักดิ์เป็นขุนรามณรงค์ ถึงแก่กรรมในสมัยปลายอยุธยา ๒ แก้ว เป็นหญิง ๒ น้องชายชื่อ ทองด้วง ๓ น้องชายชื่อบุญมา นอกจากนี้ยังมีน้องชายหญิงต่างมารดาอีก ๒ คน เป็นหญิงชื่อกุ และเป็นชาย ชื่อ ลา
ย้อนกลับมาถึงชีวิตสมรสของท่านสา กับพระอินทรรักษา ดังที่เล่าไปในค.ห.ก่อนว่าท่านมีลูกชายหญิง ๔ คน คือ ๑ ทองอิน เกิดวันจันทร์ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๕ ปีขาล อัฐศก พ.ศ. ๒๒๘๙ ในแผ่นดินพระเจ้าบรมโกศ พอเป็นหนุ่มก็บวชในสำนักพระอาจารย์ทอง เจ้าอาวาสวัดท่าหอย ปากคลองตะเคียน ริมคลองดูจาม ในกรุงศรีอยุธยา ๒ บุญเมือง เกิดในแผ่นดินพระเจ้าบรมโกศเช่นกัน เกิดปีระกา เบญจศก พ.ศ. ๒๓๙๖ ที่บ้านข้างวัดกษัตราราม ๓ ทองจีน เกิดในแผ่นดินพระเจ้าบรมโกศ เมื่อปีฉลู พ.ศ. ๒๓๐๐ ๔ ทองคำ(หญิง) เกิดมีมะเส็ง พ.ศ. ๒๓๐๔
นอกจากนี้พระอินทรรักษายังมีบุตรเกิดจากอนุภรรยา เป็นชายชื่อขุนเณร ไม่ทราบวันเดือนปีเกิด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อ 03 มี.ค. 12, 10:31
|
|
ลูกๆของพระอินทรรักษากับท่านสาเติบโตขึ้นในช่วงที่บ้านเมืองดีในสมัยพ่อแม่ กลายเป็นกลียุคในสมัยลูก ศึกทั้งในเมืองนอกเมืองกระหนาบกันสองด้าน จนกระทั่งบ้านเมืองร้อนระอุเป็นไฟ ความจริงจะว่ากรุงศรีอยุธยาแตกเพราะพม่าอย่างเดียวก็ไม่เชิง เพราะศึกภายในที่บั่นทอนความแข็งแกร่งของบ้านเมืองก็มี สะสมกันมาจากการทำรัฐประหารไม่รู้ว่ากี่ครั้งในราชวงศ์บ้านพลูหลวง การยึดอำนาจระหว่างอาหลาน และพี่ชายน้องชายก็ยังดำเนินมาจนกระทั่งถึงแผ่นดินสุดท้าย ขุนนางที่จงรักภักดีต่อเจ้านายฝ่ายแพ้ ถ้าไม่ถูกประหารตามนาย ก็ต้องหมดยศหมดอำนาจหน้าที่ ไม่มีบทบาทในด้านการงานอีก ล้วนแต่เป็นแม่ทัพนายกองสำคัญๆกัน ความอ่อนแอภายในจึงกลายเป็นรอยร้าวที่แก้ไม่ตก จนศึกภายนอกจากพม่าเข้ามากระหน่ำ กรุงก็เลยแตกหลังจากตั้งมาได้ถึง 447 ปี ผลกระทบก็ตกอยู่กับชาวบ้านชาวเมืองที่ไม่ได้เป็นคนก่อเหตุ แต่เป็นฝ่ายได้รับผลกระทบเต็มๆ
ครอบครัวของท่านสาก็เป็นหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากการเสียเมืองให้พม่าข้าศึก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 7 เมื่อ 03 มี.ค. 12, 12:11
|
|
เมื่อพ.ศ. 2310 นายทองอิน หรือสมัยนั้นเรียกลูกผู้ดีมีตระกูลฝ่ายชายซึ่งยังไม่มีบรรดาศักดิ์ว่า "หม่อม" จึงควรเรียกท่านว่า หม่อมทองอิน อายุได้ 21 ปี บวชเรียนเรียบร้อยแล้วก็กรุงแตกพอดี ก่อนหน้านั้นท่านเคยรับราชการหรือไม่ ไม่มีหลักฐาน แต่ในเมื่อพ่อก็เป็นขุนนางใหญ่ในวังหน้า ลูกชายอาจจะได้เป็นมหาดเล็กมาตั้งแต่รุ่นหนุ่มก็ได้ ถ้าได้เป็นก็คงเป็นมหาดเล็กชั้นผู้น้อย ไม่ทันจะมีบรรดาศักดิ์ กรุงศรีอยุธยาก็ล่มเสียก่อน
พวกขุนนางทั้งหลายต่างก็บ้านแตกสาแหรกขาด อพยพย้ายหนีภัยสงครามออกจากเมืองไป การอพยพนั้นมีมาเรื่อยๆทุกระยะ ไม่ใช่ว่ากรุงแตกแล้วค่อยอพยพ พระอินทรรักษาอพยพไปเมื่อใดไม่ทราบเช่นกัน ประวัติบั้นปลายท่านค่อนข้างมืดมน สันนิษฐานว่าน่าจะเสียชีวิตตั้งแต่ปลายกรุงศรีอยุธยา เหลือแต่ภรรยาและบุตรที่อพยพหลบหนีออกจากเมืองหลวง ครอบครัวที่เหลือแต่แม่ คงลำบากไม่น้อย เพราะท่านสามีลูกที่โตเป็นหนุ่มอยู่คนเดียวคือหม่อมทองอิน น้องชายคนรองอายุ 14 ปี พ้นโกนจุกมาไม่นาน คนที่สามเพิ่ง 10 ขวบ และลูกสาวคนเล็กเพิ่ง 6 ขวบเท่านั้นเอง ท่านอพยพไปตามลำพังแม่ๆลูกๆ ลงใต้ไปเมืองธนบุรี ส่วนบิดาของท่านคือพระพินิจอักษร พาอนุภรรยาและบุตรชายคนเล็กสวนทางไปทางเหนือ ไปพึ่งเจ้าพระยาพิษณุโลก(เรือง) อยู่ที่เมืองสองแคว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
werachaisubhong
|
ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อ 03 มี.ค. 12, 13:22
|
|
ศึกในย่อมแก้ไขได้ยากแล้วมีศึกนอกเข้ามาอีก จึงเป็นเหตุให้กรุงแตกง่ายดาย ความสามัคคี คือพลัง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ฅนเมียงแป้ มาอยู่ เจียงฮาย
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 9 เมื่อ 03 มี.ค. 12, 22:17
|
|
ตามประวัติบอกว่า ท่านสารู้จักสมเด็จพระเจ้าตากสินมาก่อนตั้งแต่สมัยอยู่อยุธยา ถ้าหากว่าพิจารณาจากประวัติของพระเจ้าตากสิน ที่ว่าเป็นบุตรบุญธรรมของเจ้าพระยาจักรี และเป็นมหาดเล็กรุ่นเดียวกันมากับท่านทองด้วงน้องชายท่านสา และท่านบุนนาคบุตรชายพระยาจ่าแสนยากร(เสน) แห่งวังหน้าสมัยเจ้าฟ้ากุ้ง ท่านสาในฐานะภรรยาของขุนนางวังหน้าเช่นกันก็คงจะได้รู้จักกับสมเด็จพระเจ้าตากสินมาตั้งแต่สมัยนั้น นอกจากนี้ น้องชายทั้งสองของท่านสา คือท่านทองด้วงซึ่งเป็นหลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี และท่านบุญมา ก็ได้เข้ามารับราชการกับพระเจ้าตากสินเช่นกัน เท่ากับพี่น้องได้มารวมกลุ่มกันอุ่นหนาฝาคั่งอีกครั้ง
ด้วยเหตุนี้ ท่านสาจึงนำบุตรชายคนโตและคนรองถวายตัวเป็นมหาดเล็กหลวงในสมเด็จพระเจ้าตากสิน รับราชการต่อมายาวนานนับสิบปี เลื่อนตำแหน่งจากมหาดเล็กชั้นผู้น้อยขึ้นจนเป็นชั้นหัวหน้า หม่อมทองอินได้เป็นหลวงฤทธิ์นายเวร และหม่อมบุญเมืองได้เป็นนายจ่าเรศ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 10 เมื่อ 04 มี.ค. 12, 09:30
|
|
ขอย้อนกลับไปหลังจากกรุงศรีอยุธยาแตก ในช่วงวิกฤติหลังกรุงแตก คนไทยที่รอดตายไปได้ก็แยกย้ายกันไปรวมเป็นก๊กเป็นเหล่า ไม่ขึ้นแก่กัน เช่นก๊กเจ้าพระยาพิษณุโลก ก๊กเจ้าพระฝางฯลฯ ก๊กเล็กที่สุดคือก๊กธนบุรีของพระยาตากสิน น้าชายคนใหญ่ของหม่อมทองอินซึ่งเป็นยกกระบัตรเมืองราชบุรี ตั้งใจจะเข้ามาสมทบกับก๊กธนบุรีมาแต่แรก แต่ติดขัดว่านาคภรรยาของท่านกำลังตั้งครรภ์ ไม่สะดวกแก่การเดินทาง ท่านจึงฝากแหวน และดาบคร่ำทองให้น้องชายคือท่านบุญมา หรือนายสุดจินดามหาดเล็กหุ้มแพร ไปเป็นการคารวะแทนตัว และแนะนำให้ท่านบุญมาไปรับนางนกเอี้ยงมารดาของพระยาตากที่ลี้ภัยไปอยู่บ้านแหลม เมืองเพชรบุรีไปพร้อมกัน เพื่อจะได้ไปอยู่กับพระเจ้าตากสินผู้เป็นบุตรให้หายห่วงใย ส่วนตนเองนั้นจะติดตามไปสมทบด้วยในภายหลัง ขอให้ภรรยาคลอดบุตรเสียก่อน
เรื่องราวก็เป็นไปตามความตั้งใจของหลวงยกกระบัตร พระเจ้าตากสินทรงโสมนัสมากที่ได้พบมารดาอีกครั้ง หลังจากต้องพลัดกระจัดกระจายกันไป พร้อมกันนั้นก็ทรงรับท่านบุญมาเข้ารับราชการด้วยดี อีกเหตุผลหนึ่งคือคุ้นเคยเห็นกันมาตั้งแต่ยังอยู่อยุธยา ก็โปรดแต่งตั้งเป็นพระมหามนตรี เจ้ากรมพระตำรวจในขวา ถือศักดินา ๒,๐๐๐ ไร่ พระมหามนตรีบุญมาก็ทูลขอสมเด็จพระเจ้าตากสินออกไปรับหลวงยกกระบัตรพี่ชายมารับราชการอยู่ด้วย ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระราชวรินทร์ เจ้ากรมพระตำรวจนอกขวา ถือศักดินา ๑,๖๐๐ ไร่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 11 เมื่อ 04 มี.ค. 12, 16:48
|
|
ตลอด 15 ปีในรัชสมัยธนบุรี เป็นยุคสมัยของการรบทัพจับศึกไม่ว่างเว้น ตามแบบของอาณาจักรที่ตั้งขึ้นใหม่ นอกจากรบกับพม่าแล้วยังต้องรบกับพวกเดียวกัน ที่แยกย้ายกันไปตั้งก๊กตั้งเหล่า เพื่อตั้งตัวเป็นใหญ่ด้วยกันทั้งสิ้น สมเด็จพระเจ้าตากสินก็ต้องทรงปราบปรามกันไปทีละก๊ก เพื่อรวมให้เหลือก๊กเดียว ขุนนางในสมัยธนบุรีที่จะเจริญในราชการได้ จึงต้องเก่งเรื่องรบทัพจับศึก น้าชายทั้งสองของหม่อมทองอินก็พิสูจน์ให้เห็นฝีมือว่าเป็นนักรบชั้นยอด รับพระบรมราชโองการไปทำศึกแทบจะไม่เคยมีเวลาพักผ่อน ตำแหน่งในราชการก็เลื่อนขึ้นเป็นลำดับ และคู่คี่กันไปทั้งพี่และน้อง ท่านทองด้วงเลื่อนจากพระราชวรินทร์ขึ้นเป็นพระยาอภัยรณฤทธิ์ จางวางพระตำรวจฝ่ายขวา ท่านบุญมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาอนุชิตราชา จางวางพระตำรวจฝ่ายซ้าย ต่อมาก็เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นไปอีกจนได้เป็นเจ้าพระยาด้วยกันทั้งสองท่าน คือ "เจ้าพระยาจักรี" อัครมหาเสนากรมมหาดไทย และท่านบุญมาเลื่อนเป็นเจ้าพระยาสุรสีห์พิษณุวาธิราช ครองเมืองพิษณุโลก บังคับบัญชาการป้องกันพระราชอาณาจักรทางหัวเมืองฝ่ายเหนือ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 12 เมื่อ 04 มี.ค. 12, 20:39
|
|
ตระกูลของหม่อมทองอิน เห็นทีจะมีฝีไม้ลายมือทางการรบกันหมดทุกคน คำอธิบายข้อแรกที่เห็นได้ง่ายๆ คือสมัยนั้นเป็นสมัยของการรบ ขุนนางไม่ว่าฝ่ายบู๊ฝ่ายบุ๋นต้องออกศึกกันเป็นทั้งหมด จะมัวเลือกคนนั้นเว้นคนนี้อยู่คงไม่ได้ ส่วนข้อที่สอง ถึงแม้พงศาวดารไม่เจาะรายละเอียดลงไปลึกว่าหลวงฤทธิ์นายเวรท่านไปเรียนวิชาอาวุธและวิชารบทัพจับศึกมาจากไหน แต่เราก็พออ่านได้จากประวัติว่า ท่านจะต้องได้เรียนแบบมีครู หรือมีผู้ใหญ่ในตระกูลสอนให้จนไม่น้อยหน้าใคร เพราะน้าชายเป็นขุนนางใหญ่ฝ่ายบู๊กันทั้งสองท่าน หลานชายก็ต้องได้รับถ่ายทอดฝีมืออย่างใกล้ชิด
ไม่ใช่แต่เฉพาะท่าน น้องๆของท่านที่โตขึ้นมาเป็นหนุ่มต่างก็รู้เรื่องการรบดีทุกคน และเรื่อยไปจนน้องชายต่างมารดา ชื่อหม่อมขุนเณร ท่านสาผู้มารดาหอบหิ้วออกจากกรุงศรีอยุธยามาอยู่เป็นครอบครัวเดียวกัน หม่อมขุนเณรเมื่อเข้าสู่วัยกลางคน ก็เป็นนักรบที่เชี่ยวชาญคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย โดยเฉพาะการรบแบบกองโจร
เมื่อเล่ามาถึงลูกผู้ชายในตระกูลนี้ว่าเป็นนักรบกันทุกคน ก็จะต้องเอ่ยถึงอีกท่านหนึ่งที่เป็นเครือญาติใกล้ชิดกัน ได้แก่นายลา หรือหม่อมลา ผู้เป็นน้องชายคนสุดท้องของเจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์ หม่อมลาเป็นบุตรเกิดจากอนุภรรยาของพระพินิจอักษร(ทองดี) เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก พระพินิจอักษรพาภรรยาและบุตรคนสุดท้องซึ่งยังเล็กอยู่ หนีไปอยู่กับเจ้าพระยาพิษณุโลก(เรือง) ต่อมาท่านถึงแก่กรรม เมื่อปลงศพแล้ว หม่อมลาและภรรยาก็พาอัฐิของบิดามาอยู่กับพี่ชายทั้งสองที่กรุงธนบุรี หม่อมลาก็เช่นเดียวกับหม่อมขุนเณร คือเติบโตขึ้นในฐานะนักรบ ต่อมาก็เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงที่สำคัญอีกคนหนึ่งของพี่ชาย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
พรต
อสุรผัด

ตอบ: 8
|
ความคิดเห็นที่ 13 เมื่อ 05 มี.ค. 12, 09:21
|
|
จั่วหัวกระทู้ว่าเจ้านายวังหลัง อ่านไปอ่านมากลายเป็นกระทู้ต้นราชวงศ์จักรีซะแล้ว  ขอบคุณท่านผู้รู้ที่แบ่งปันครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
werachaisubhong
|
ความคิดเห็นที่ 14 เมื่อ 05 มี.ค. 12, 09:38
|
|
จั่วหัวกระทู้ว่าเจ้านายวังหลัง อ่านไปอ่านมากลายเป็นกระทู้ต้นราชวงศ์จักรีซะแล้ว  ขอบคุณท่านผู้รู้ที่แบ่งปันครับ ก็เจ้านายวังหลัง ก็เป็นเชื้อสายเจ้านายต้นราชวงศ์จักรีนี่ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ฅนเมียงแป้ มาอยู่ เจียงฮาย
|
|
|
|