เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 6 7 [8] 9 10 ... 19
  พิมพ์  
อ่าน: 148959 เมนูอาหารป่า
พวงแก้ว
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 105  เมื่อ 13 มี.ค. 12, 18:45

ขอเดาจากภาพว่า ดาราแสดงนำตอนนี้คงจะอยู่ประมาณมัธยมปลาย...

เรื่องแยกกระทู้ตามที่คุณ:D:D แนะนำก็ดีเหมือนกัน

เอาเป็นว่าแล้วแต่ความสะดวกของผู้ตอบก็แล้วกันค่ะ
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 106  เมื่อ 13 มี.ค. 12, 22:04

เพื่อนเอ๋ย เปิดเผยตัวเสียแล้ว หน้าตาอย่างนี้แหละครับที่เข้าป่าเป็นอาชีพ กะว่าจะไปเป็นชาวหมอ ตกวิชาเดียวเลยไปเป็นชาวบ้าน

เล่ามาว่ามื้อแรกในในการออกทำงาน อาหารก็แทบจะไม่เหลือแล้ว ที่จริงก็ขยักไว้นิดหน่อย พอสำหรับอีกมื้อเช้าก่อนจะต้องพึงอาหารจากป่าจริงๆ
อาหารที่บ้านกำนัล ผู้ใหญ่บ้าน หรือสารวัตรกำนัล ซึ่งทำโดยแม่บ้านของผู้นำชาวบ้านเหล่านี้ มักจะหนีไม่พ้นการนำไก่มาทำเป็นแกงซดน้ำแบบต้มยำ ส่วนหมูนั้นส่วนมากจะทำเป็นลาบ เนื้อนั้นก็แล่เป็นชิ้นบางทอดอย่างเดียว ผัดผักไม่ต้องพูดถึง ไม่มี ผักสดที่ซื้อมาจะเอามาเป็นผักแนมกับลาบ
ก็พอจะสรุปได้อย่างหนึ่งว่า อาหารพิเศษในการรับแขกของชาวบ้านป่า มักจะเป็นต้มยำไก่ ลาบ และเนื้อทอด ซึ่งดูเหมือนปกติ แต่แท้จริงแล้วต้องจัดว่าเป็นอาหารพิเศษของเขา แล้วแม่บ้านยังได้แสดงฝีมืออีกด้วย (รวมทั้งลูกสาว) อาหารประจำทุกมื้อของเขาคือน้ำพริกกับผักที่หาได้ และปลาต่างๆที่หาได้ในลำห้วย ปลานั้นหากตัวค่อนข้างใหญสักหน่อยก็จะเอามาเสียบไม้ย่างเป็นหลัก หรือหากหาได้หลายชนิดคละกันบางนำมาทำเป็นแกงแบบต้มยำ สำหรับพวกลาบและทอดนั้นจะทำก็ต่อเมื่อล่าได้เนื้อสัตว์ขนาดค่อนข้างใหญ่มา
ลืมไปอีกอย่างที่ต้องซื้อเตรียมเสมอ คือ หมูสามชั้นทั้งแผงประมาณ 1 กก. หมูสามชั้นนี้จะหมดเกลี้ยงในมื้อแรกเลยทีเดียว ชาวบ้านเขาจะเจียวเอาน้ำมันเก็บใว้ใช้ ส่วนหมูที่เจียวแล้วก็จะเอามากินเป็นกับข้าว ส่วนมากก็จะจิ้มกับเกลือตำกับพริกแห้ง น้ำมันหมูมีค่าและหายากสำหรับชาวบ้าน ไม่มีสัตว์ป่าใดทีจะไห้น้ำมันเท่ากับหมู และหมูที่เขาเลี้ยงไว้นั้น จะจี่ (ฆ่า) ก็ในโอกาสงานพิเศษเท่านั้น ปีหนึ่งจะได้ฆ่าหมูสักครั้งก็ดีมากแล้ว

พวกผมทราบสภาพการณ์ดีว่าควรจะกินอย่างไร จึงไม่เคยขอซื้อไก่ หรือรบกวนอะไรทั้งสิ้น นึกดูนะครับ เขาก็แทบจะไม่มีอะไรทำกินอยู่แล้ว เมื่อได้สะเบียงของผม ก็นับว่าเป็นวันที่พิเศษแล้ว ในขณะที่ทำกับข้าว จะเห็นลูกของเขานั่งมองด้วยความอยาก ในขณะที่แม่เขาตักใส่ถ้วยชามให้ลูกนำมาให้กับวงเหล้าของเราแกล้มเหล้า ลูกเขาก็จะมองเหมือนกับแอบลุ้นว่าจะมีเนื้อเหลืออยู่เท่าใด จึงเป็นที่รู้กันในหมู่พวกผมว่ากินแต่เหล้า ซดแต่น้ำแกง แบ่งเนื้อต่างๆกินชิ้นเท่ากับหนูแทะ กับข้าวมื้อนี้จึงมักจะเหลือบานเบอะ เพื่อให้เด็กๆและเขาได้กินกันต่อไปอย่างอร่อย แม้กระทั่งเหล้าที่ดื่ม ด้วยความที่เขาเป็นเจ้าบ้าน เขาก็จะเอาเหล้าป่ามาเลี้ยง เราก็เลือกที่จะดื่มเหล้าป่า เอาเหล้าสี (เหล้าแม่โขง)ให้เขาดื่ม เหล้าสีสำหรับพวกเขานั้นก็เหมือนเรากินเหล้าวิสกี้ชั้นดีราคาแพงๆ
ในวงดื่มเหล้า ก็จะต้องมีชาวบ้านที่เจ้าบ้านเลือกคัดมาให้เป็นคนงานของเรานั้่งร่วมวงอยู่ด้วย เื่พื่อเป็นการแนะนำตัว สร้างความรู้จัก และนัดแนะ สอบถามในเรื่องต่างๆ อันจะเป็นเรื่องของการสนทนาที่พวกเขาเป็นฝ่ายสบายใจ มากกว่าพูดคุยในเรื่องของฝ่ายเราซึ่งเขาไม่รู้เรื่อง แน่นอนว่าคนงานเหล่านั้นจะต้องเป็นพวกและคนที่ไว้ใจของหัวหน้าหมู่บ้าน
วิธีการดื่มตามปกติก็คือ เริ่มด้วยเหล้าป่า เขาเทใส่ถ้วยแก้วเล็กๆ ให้เรา เราดื่มแล้วก็จะเทเหล้าส่งให้เขา เขาดื่มแล้วก็จะเทเหล้าให้คนที่นั่งถัดไป เวียนเป็นวงกลม เมื่อถึงผมอีกรอบ ผมก็จะเปิดเหล้าสีเทให้เจ้าบ้าน เมื่อเวียนมาถึงผมอีครั้ง ผมก็จะยกเหล้าสีแก้วนั้นให้กับเจ้าบ้าน แล้วขอต่อด้วยเหล้าป่าแล้วบอกว่าอร่อยกว่า เป็นการสร้างความประทับใจในความรู้สึกไม่รังเกียจของๆพวกเขา ในวงเหล้าก็จะมีขันน้ำใบใหญ่ลอยด้วยก็อก (ขัน)ใบเล็ก เอาไว้ดื่มตามหลังเหล้า บางทีก็ต้องระวังตัวเป็นพิเศษ เพราะต่างคนต่างก็จะพยายามมอมเหล้ากัน เื่พื่อจะให้ได้ความจริงที่ซ่อนไว้ บางครั้งเจ้าบ้านก็มีลูกเล่น เอาลูกสาวเข้ามาช่วยรินเหล้า ตักน้ำให้ เดินเข้าเดินออกยกกับข้าว ฯลฯ ก็คงจะแอบคิดลึกๆอย่างใดอย่างหนึ่ง ผมจึงไม่ยอมนอนบนบ้านเหล่านี้เลย เมาอย่างไรก็ต้องเดินกลับแคมป์ ดีไม่ดีนอนตื่นมามีคนนอนอยู่ข้างๆ ก็จะต้องเสียผีผูกข้อมือกันเป็นเรื่องเป็นราว ก็ไม้แพงหรอกครับ หากเป็นคนไทย ก็อาจจะเป็นทองสลึงนึง เิงินไม่กี่ร้อย หมูตัวนึง หากเป็นกะเหรี่ยงก็ เหรียญสลึงสองอัน อันหนึ่งโยนขึ้นหลังคา อีกอันหนึ่งโยนลงดิน แล้วก็หมูตัวนึง
 
การผูกข้อมือนี้ก็แปลกนะครับ ผมคิดว่าเป็นประเภณีพื้นฐานของคนชาวบ้านทั่วๆไปทั่วทุกภาค ที่จะยกเว้นก็ดูจะมีเฉพาะคนในเมืองภาคกลาง
ปริมาณสลึงนึงนี่ก็แปลก หาที่มาไม่ได้ จะเป็นทอง เป็นเงินก็เท่านี้ เป็นความเคยปากหรือว่าเห็นว่า ปริมาณสลึงนึงตามมาตราชั่งหรือมาตราเงิน (เฟื้อง เบี้ย ไพ)ก็มีปริมาณอักโขแล้ว

ว่าจะเล่าเรื่องอาหาร กลายเป็นเรื่องอื่นไปเสียแล้ว 
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 107  เมื่อ 13 มี.ค. 12, 22:52

รูปช่วยขยายจินตนาการ

น่าจะมีรูปตอนที่อยู่ในป่ามาประกอบเรื่องบ้างนะขอรับ
บันทึกการเข้า
:D :D
นิลพัท
*******
ตอบ: 2333


ความคิดเห็นที่ 108  เมื่อ 14 มี.ค. 12, 09:24

 ยิงฟันยิ้ม



บันทึกการเข้า
พวงแก้ว
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 109  เมื่อ 14 มี.ค. 12, 10:36

 ก็ดีเหมือนกันถ้าจะได้เห็นรูปนายช่างหนวด คาดผ้าเหมือนชาวบ้าน

 ไม่นึกเลยว่าการเข้าไปทำงานในพื้นที่นั้น จะต้องรู้ชั้นเชิงต่างๆมากมาย

 (แต่แน่นอนค่ะ...ต่างคนต่างแปลกหน้ากันก็ต้องระวังตัวให้มาก)
 
 ความรู้แบบนี้ในมหาวิทยาลัยเขาสอนโดยตรงไหมค่ะ หรือมีใครแนะนำว่าควรต้องทำอย่างไร

 หรือไปเรียนรู้เอาเองในตอนเข้าพื้นที่

 ดิฉันเคยไปเก็บข้อมูลวรรณกรรมพื้นบ้านแถวท่ายางเพชรบุรี ในหมู่บ้านลาวพวน
 
 ก็ต้องไปค้างที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน ไปกิน ไปนอน อยู่หลายวัน เพราะไปกับเพื่อนผู้หญิง 2 คน

 ก้ต้องพยายามเข้ากับเจ้าของบ้านให้ได้อย่างรวดเร็ว เพราะมีเวลาไม่มาก

 และต้องขอความช่วยเหลือในการประสานงานในพื้นที่ด้วย เพราะเราเป็นคนแปลกหน้า

 ภรรยาเจ้าของบ้านก้ต้องทำอาหารให้ทาน แต่ก็ไปช่วยเขาทำด้วย ความที่เป็นผู้หญิงเหมือนกัน

 จึงไม่มีปัญหามากนัก  ไม่ต้องระวังตัวมาก นอกจากเรื่องความปลอดภัย...

 พอกลับมาแล้วก้จดหมายไปขอบคุณตามธรรมเนียม แต่แทบหงายหลังและไม่ได้กลับไปเยี่ยมอีกเลย

 เพราะผู้ใหญ่บ้าน ส่งเพลงยาวมาให้ 1 หน้ากระดาษ...โอ้โฮ ...เป็นเรื่องขำที่ไม่เคยลืม


 
 

 
บันทึกการเข้า
พวงแก้ว
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 110  เมื่อ 14 มี.ค. 12, 10:41

มีคำสะกดผิดนิดหน่อย "ก็"   "เป็น" อันเนื่องมาจากแป้นคอม ที่พิมพ์เร็วไม่ได้คะ ทำหน้าแตกทุกที
บันทึกการเข้า
:D :D
นิลพัท
*******
ตอบ: 2333


ความคิดเห็นที่ 111  เมื่อ 14 มี.ค. 12, 11:01

คุณพวงแก้ว พูดถึงคำสะกดผิด..

เลยขอเรียนคุณตั้ง ด้วยความเคารพ ค่ะ  ยิงฟันยิ้ม
กำนัน ค่ะ ไม่ใช่ กำนัล...
บันทึกการเข้า
พวงแก้ว
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 112  เมื่อ 14 มี.ค. 12, 13:40

อันนี้ขอถามเป็นความรู้อันบริสุทธิ์ใจนะคะ

"ที่ว่าพอตื่นขึ้นมาแล้วพบว่ามีคนนอนอยู่ข้างๆ ต้องเสียผีผูกข้อมือ.........."นั้น
 ในกรณีที่เป็นอุบัติเหตุ ...ไม่ได้ตั้งใจ พอยอมเสียผีผูกข้อมือแล้วต้องรับหญิงนั้นมา
 อยู่ด้วย เลี้ยงดูเป็นเรื่องเป็นราวไหมค่ะ หรือทำให้ถูกประเพณีเป็นการขอโทษแล้วก็จากไป"

 ประเพณีนี้สาวไทย กับสาวชาวเขาแถวนั้นถือเหมือนกันไหมคะ
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 113  เมื่อ 14 มี.ค. 12, 20:08

รูปช่วยขยายจินตนาการ
น่าจะมีรูปตอนที่อยู่ในป่ามาประกอบเรื่องบ้างนะขอรับ

นึกอยู่เหมือนกันว่าดูจะเป็นการฝอยมากไปหน่อยแล้ว หากไม่มีรูปประกอบบ้่าง
ขอบคุณครับที่กระทุ้งมา ผมจะลองเอากล้องดิจิตัลไปถ่ายภาพเก่าๆแล้วมาโพสด์ให้ดู

อย่างไรก็ตามก็อยากจะบอกว่า ในสมัยนั้น แม้ว่าจะมีกล้องถ่ายรูปของหลวงให้เบิกไปใช้งานอยู่บ้าง แต่ก็ไม่พอเพียง แถมยังจะต้องรายงานและถูกตรวจสอบด้วยว่าซื้อฟิล์มไปถ่ายอะไร ภาพที่พวกผมถ่ายมาจึงมีแต่ภาพของหินและฟอสซิลเป็นหลัก ภาพถ่ายอื่นๆจึงไม่ค่อยจะมี

สำหรับผมนั้น แย่ยิ่งกว่านั้น กล้องถ่ายภาพเป็นอุปกรณ์ที่มีอันตรายต่อชีวิตค่อนข้างมากสำหรับการทำงานในพื้นที่ที่ผมรับผิดชอบ เป็นสิ่งของที่อีกฝ่ายหนึ่งจ้องจะหาเรื่องเป็นการเฉพาะ เหมือนกับเป็นการสอดแนมและเก็บภาพเพื่อเป็นหลักฐาน ขนาดวิทยุธานินทร์ที่เปิดได้ดังลั่นไปทั่วป่ายังถูกสงสัย ต้องพิสูจน์ให้กระจ่างว่ามันเป็นวิทยุเพื่อการรับฟังจริงๆ ไม่ใช่วิทยุสื่อสาร เกือบจะโดนรุมยิงตายครั้งหนึ่งก็เพราะไอ้วิทยุนี้แหละครับ
ดังนั้น สิ่งของอะไรก็ตามที่จะเป็นสื่อของเรื่องที่ทำให้เขาคิดว่าจะอันตรายสำหรับการเคลื่อนไหวเขา ผมก็จะไม่เอาไปด้วย อย่าว่าแต่เรื่องนี้เลย ขนาดผ้าใบสีเขียว กระติกน้ำสนาม เข็มขัดห้อยกระติกน้ำ เป้สะพายข้างสำหรับเก็บตัวอย่างหินและฆ้อนธรณี ยังถูกระแวงสงสัย ต้องอธิบายความกันยืดยาว
เชื่อใหมครับว่า แม้กระทั่งกระทะทำกับข้าวที่ขัดสะอาดดูดีนั้น ชาวบ้านยังวิ่งหนีเลย

ภาพที่ผมจะโพสด์คงจะมีอยู่สองสามภาพเท่านั้น ถ่ายใว้ใน trip แรกๆ ที่เข้าไปทำงานในพื้นที่นี้ หลังจากนั้นก็ไม่มีการถ่ายภาพอีกเลยครับ     
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 114  เมื่อ 14 มี.ค. 12, 20:32

ผมว่า เค้าไม่อยากดูรูปหินกะฟอสซิลเท่าไหร่หร๊อก
เค้าอยากดูรูปประกอบตอนนี้

อ้างถึง
ในวงเหล้าก็จะมีขันน้ำใบใหญ่ลอยด้วยก็อก (ขัน)ใบเล็ก เอาไว้ดื่มตามหลังเหล้า บางทีก็ต้องระวังตัวเป็นพิเศษ เพราะต่างคนต่างก็จะพยายามมอมเหล้ากัน เพื่อจะให้ได้ความจริงที่ซ่อนไว้ บางครั้งเจ้าบ้านก็มีลูกเล่น เอาลูกสาวเข้ามาช่วยรินเหล้า ตักน้ำให้ เดินเข้าเดินออกยกกับข้าว ฯลฯ ก็คงจะแอบคิดลึกๆอย่างใดอย่างหนึ่ง ผมจึงไม่ยอมนอนบนบ้านเหล่านี้เลย เมาอย่างไรก็ต้องเดินกลับแคมป์ ดีไม่ดีนอนตื่นมามีคนนอนอยู่ข้างๆ ก็จะต้องเสียผีผูกข้อมือกันเป็นเรื่องเป็นราว

ระหว่างรอ เอารูปช่างหนวดตอนพ้นวัยละอ่อนแล้วมาขึ้นก่อนละกัน


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 115  เมื่อ 14 มี.ค. 12, 20:40

ขออภัยท่านผู้ชมทางบ้านด้วยครับ

เนื่องจากเกิดผิดพลาดทางเทคนิกเล็กน้อย บัดนาว..ได้แก้ไขให้ถูกต้องแล้ว


บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 116  เมื่อ 14 มี.ค. 12, 20:43


ผมว่า เค้าไม่อยากดูรูปหินกะฟอสซิลเท่าไหร่หร๊อก
เค้าอยากดูรูปประกอบตอนนี้......

ไม่ใช่รูปหินกับฟอสซิลหรอกครับ  ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
พวงแก้ว
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 117  เมื่อ 14 มี.ค. 12, 20:59

น่าเสียดายที่ไม่มีรูปสมัยนั้น แต่ไม่เป็นไรค่ะฟังคุณตั้งเล่าประสบการณ์สมัยนั้นให้พวกเราฟัง
ก็เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก  น้อยคนจะรู้ถึงความยากลำบากในการทำงานในสถานที่เช่นนั้น
กว่าจะเอาตัวรอดมาได้...ก็คอยฟังต่อค่ะ
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 118  เมื่อ 14 มี.ค. 12, 21:01

อันนี้ขอถามเป็นความรู้อันบริสุทธิ์ใจนะคะ
"ที่ว่าพอตื่นขึ้นมาแล้วพบว่ามีคนนอนอยู่ข้างๆ ต้องเสียผีผูกข้อมือ.........."นั้น
 ในกรณีที่เป็นอุบัติเหตุ ...ไม่ได้ตั้งใจ พอยอมเสียผีผูกข้อมือแล้วต้องรับหญิงนั้นมา
 อยู่ด้วย เลี้ยงดูเป็นเรื่องเป็นราวไหมค่ะ หรือทำให้ถูกประเพณีเป็นการขอโทษแล้วก็จากไป"
 ประเพณีนี้สาวไทย กับสาวชาวเขาแถวนั้นถือเหมือนกันไหมคะ

เป็นไปได้ทั้งสองอย่าง คือ จะละจากไป หรือได้ทีรับมาอยู่เคียงข้างเสียเลยก็ได้ (สำหรับในกรณีที่เป็นชาวกะเหรี่ยง)
แต่สำหรับคนไทยนั้นก็อาจจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่ทราบแน่ครับ ที่เคยเห็นมาก็มีทั้งแบบ เออ ก็ดี อยู่พอเสร็จงานก็กลับออกไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย หรือลาออกจากงานมาอยู่กับฝ่ายหญิงเลย หรือไปๆมาๆแต่ไม่บ่อยครั้ง ซึ่งคนไทยพวกนี้ส่วนมากจะเป็นคนในสังกัดงานของกรมทางฯ ที่เคยพบเป็นคนทางอีสานก็มี แต่พวกนี้ก็มีที่มาที่ไปอีกอย่างหนึ่ง ตั้งแต่ประเภทโปรย (คงจะเล่าเมื่อมีโอกาส) จนพวกที่มีบางอย่างเบื้องหลัง  
    
  
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 119  เมื่อ 14 มี.ค. 12, 22:04

เดี๋ยวจะไม่เป็นเรื่องของอาหาร

เอาวิธีการทำลาบอีกวิธีหนึ่งนะครับ
วิธีทำนี้ได้มาจากบ้านสารวัตรกำนันที่บ้านวังปาโท่ เป็นหมู่บ้านอยู่ใกล้ๆกับเจดีย์บุอ่อง บนเส้นทางจาก อ.ทองผาภูมิ ไป อ.สังขละบุรี เส้นทางเลาะริมแม่น้ำแควน้อย น้ำของเขื่อนเขาแหลมท่วมไปหมดแล้วเหมือนกัน
คนในหมู่บ้านนี้ส่วนมากอพยพมาจาก อ.แม่สอด และมีคนไทยในพม่าจำนวนหนึ่งที่มาอยู่ร่วมด้วย ซึ่งยังแต่งตัวเหมือนคนพม่า คือ ใส่สะโหร่ง ใส่หมวกแบบที่ทำเลียนแบบสมัยสมเด็จพระนเรศวรฯ แต่พูดไทย เช่น ข้อยเฮียนหนังสือบ่แตกสาน สอบถามจากเจ้าตัวได้ความว่า พวกเขาคือคนไทยที่ถูกพม่ากวาดต้อนไป หมู่บ้านในพม่าที่อยู่กันคือบ้านหนองบัว ซึ่งมีจำนวนคนพวกเขามากอยู่พอสมควร เขาติดอยู่ในพม่าหลังจากถูกแบ่งแยกดินแดนโดยอังกฤษ ผมสนใจและมีแผนที่มาตราส่วน 1:250,000 รุ่นเก่าที่ใช้ระบบ feet อยู่ จึงพยายามหาดูชื่อหมู่บ้านต่างๆ จำได้ว่าได้เห็นชื่อหลายหมู่บ้านที่หากออกเสียงให้ดีจะเป็นชื่อหมู่บ้านไทยอยู่หลายแห่งมากทีเดียว ยังสนใจว่าจะติดตาม แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้ทำอะไรเลย 
ใกล้ๆหมู่บ้านวังปาโท่นี้ มีพื้นที่หนึ่งเป็นวงกลม ลักษณะมีขอบดินยกเป็นคัน เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5-6 เมตร ตรงกลางมีลักษณะเป็นหลุมยุบตื้นๆ ในแอ่งนี้ได้พบโกลนม้า มีดดาบ แท่งโลหะคล้ายหอก และพบใหหลายใบขนาดความสูงเท่ากับใหน้ำปลาในสมัยก่อน แต่ขนาดความกว้างของใหจะแคบกว่า คิดว่าประมาณสัก 20 ซม. มีก้อนหิน (กรวดแม่น้ำ) ขนาดประมาณกำปั้นปิดอยู่ที่ปากให นอกจากนั้นยังพบอุปกรณ์เชี่ยนหมากโลหะ (ทองเหลือง) เช่น ขวดมีฝาสำหรับใส่ปูนที่กินกับหมาก และเศษโลหะอื่นๆ นึกอะไรไม่ได้นอกจากจะเป็นหลุมฝังศพของทหารสมัยสงครามเก้าทัพ เรื่องนี้ทำให้ผมสนใจในเรื่องของสงครามเก้าทัพและได้ติดตามเส้นทางเดินทัพในยุคนั้นตั้งแต่นั้นมา ซึ่งท้ายที่สุดก็ได้มีโอกาสสนทนากับอาจารย์ท่านหนึ่งซึ่งสมเด็จพระเทพฯ ทรงพระกรุณาให้ทุนไปทำปริญญาเอก ซึ่งได้ทำวิทยานิพนธ์ในเรื่องเส้นทางเดินทัพนี้ ดีใจมากเลยครับ ได้คุยกันในเรื่องที่ผมได้เห็น ได้ยืนยันกันในหลายๆเรื่อง น่าสนใจมากทีเดียว
บ้านวังปาโท่นี้ เพี้ยนมาจากชื่อตำรองพะโ๊ด๊ะ เป็นภาษากะเหรียง แปลว่าตลิ่งสูง ในยุคที่กำลังเริ่มจะสร้างเขื่อนเขาแหลม ชื่อบ้านนี้ได้เพี้ยนไปมากมาย เช่น บ้านวังปาโท้ บ้านวังปลาโท่

กลับมาเรื่องลาบดีกว่า     
เอาหมูมาสับให้ละเอียดเป็นลาบ (ประมาณ 1 กก.) เอาหนังหมูมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆกว้างเกือบๆครึ่ง ซม. ยาวประมาณ 2 ซม. เอาพริกแห้งคั่วในกระทะให้หอม โขลกให้ละเอียด เอาข่าสักแง่งย่อมๆ หั่นเป็นแว่นๆ (ลาบนี้จะออกกลิ่นข่าพอสมควร) คั่วในกระทะให้หอม แล้วโขลกให้ละเอียด เอาข้าวมาคั่ว แล้วโขลกให้ละเอียด เอาน้ำมันใส่กระทะประมาณหนึ่งตะหลิว เอาหนังหมูลงคั่วให้กรอบ (มันจะไม่พอง แต่จะกรอบแข็ง) ตักออกเก็บไว้ แบ่งเนื้อหมูครึ่งหนึ่งลงผัด ใส่ข่าที่ตำเอาไว้ ใส่พริกป่นส่วนหนึ่ง ใส่น้ำปลาให้ออกรสเค็ม พอหมูส่วนนี้สุกดี เอาอีกครึ่งหนึ่งใส่ลงไป ใส่หนังหมูที่ทอดไว้ ใส่พริกป่นเพิ่มให้ออกรสเผ็ด เคล้ากันในกระทะให้ดี ใส่ข้าวคั่วเคล้าให้ดีแล้วยกลง  โรยด้วยต้นหอมซอย ผักชีซอย ใบผักชีฝรั่งซอย ผักไผ่ สะระแหน่ หรือไม่มีผักเหล่านี้โรยหน้าก็ไม่เป็นไร อร่อยพออยู่แล้ว กินกับใบโกศล ใบหูเสือ ใบผักไผ่ มะเขือเปราะ ฯลฯ หากมีดอกข่าสดยิ่งสุดยอดเลยครับ
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 6 7 [8] 9 10 ... 19
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.08 วินาที กับ 20 คำสั่ง