นึกถึงรพินทร์ ไพรวัลย์ขึ้นมาค่ะ
การทำงานในป่าสีแดงจัด นักธรณีวิทยาต้องหาทางหลีกเลี่ยงจุดอันตรายด้วยวิธีไหนอีกคะ นอกเหนือจากผูกมิตรกับชาวบ้าน
คุณตั้งเคยเจอสถานการณ์อะไร ที่ฉิวเฉียดจะไม่มีโอกาสกลับบ้านบ้างหรือไม่
วิธีการหลีกเลี่ยงอันตรายที่สำคัญ คือ ต้องมีหูตาเป็นสับปะรด มีการข่าวที่ดีและกรองข่าวเป็น มีความสังเกตสูงในทุกสรรพสิ่งในระดับรายละเอียด พูดคุย เปิดเผย (แบบปิดบังอำพราง) เป็นมิตรกับทุกคน จริงใจ ช่วยเหลือ ไม่หวังผลตอบแทน เข้าใจวิถีชีวิตของเขา และปฏิบัติตนเหมือนๆกับชาวบ้านเขา ซึ่งทั้งหมดก็รวมๆอยู่ในเรื่องของการผูกมิตรกับชาวบ้าน
หลักการของผมคือ คบและพูดคุยกับทุกคน แล้วสังเกตลักษณะกิริยาท่าทางอุปนิสัยใจคอ วิธีการพูดจา เรื่องที่เขาพูดเล่า เรื่องที่เขาชอบ ฯลฯ ซึ่งจะทำให้เราทราบว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไร มีอะไรเป็นจุดอ่อนจุดด้อย มีอะไรที่เขาภาคภูมิใจ ผมก็จะพูดคุยเป็นมิตรกับประตูที่เขาเปิดให้ และผมก็จะเปิดประตูคบกับเขาในประตูนั้นๆเหมือนกัน เมื่อไม่มีอะไรต่อกัน ดีต่อกันอย่างสม่ำเสมอ เดี๋ยวก็รู้เองว่ามีอะไรที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ มีอะไรที่กำลังจะเป็นพิษเป็นภัยกับเรา รวมทั้งข่าวสารที่อีกฝ่ายหนึ่งส่งมาบอกกล่าวให้ทราบ เช่น ห้ามเดินไปที่ใหน ฯลฯ ที่จริงเมื่อเสียงปืนสงบ ผมยังได้พบกับคนที่ผมเคยจ้าง ต่อมาเขาไปอยู่กับอีกฝ่าย พอเลิกก็กลับนั่งคุยกัน มีเรื่องอันตรายที่ตัวผมไม่รู้อีกมาก เขาช่วยปกป้องให้เยอะแยะ เรื่องเกี่ยวข้องกับพื้นที่สีแดงเหล่านี้มีมากและสามารถเล่าได้อีกยาว มีตั้งแต่อุตรดิตถ์ ข้ามไปกำแพงเพชร ตาก กาญจนบุรี ราชบุรี ตั้งแต่ 2512 จน 2522
สำหรับเหตุการณ์ฉิวเฉียดใกล้ตายนั้นมีมากพอควร โดยเฉพาะในช่วงระหว่างปี 2512-2516 แล้วก็มาช่วงปลายๆ 2521 ซึ่งการปฏิบัติการณ์ทั้งหมดกำลังรุนแรงทั้งฝ่ายบ้านเมืองและฝ่ายเขา ทั้งหมดเกี่ยวกับคน ไม่เกี่ยวกับสัตว์ และไม่เกี่ยวกับอุบัติเหตุเลย ผมเคยโดนทั้งถูกไล่ล่า ถูกจับ ถูกท้ายิง ถูกจะปล้น และยืนคุยแบบฉันท์มิตรกันแบบถือปืนเตรียมพร้อม กลัวไหมครับ คำตอบแบบน่าเตะก็คือหากกลัวก็คงไม่กลับเข้าไปทำงานในที่เหล่านั้นอีก จริงๆแล้วหากเราอยู่ในพื้นที่และในเหตุการณ์ก็ไม่กลัว เฉยๆ แต่ก่อนจะกลับเข้าไปอีกก็คิดกลัวอยู่เหมือนกัน แต่ไม่มากนัก การแก้สถานะการณ์ที่สำคัญยิ่ง คือ ใจเย็นๆๆๆ สงบ นิ่ง ยิ้มแย้ม พูดคุย และพยายามแสดงตนว่าปราศจากอาวุธใดๆ (แบบไว้เชิง)
วิธีการอย่างหนึ่งที่ผมทำก็คือ รถแลนด์ของผมจะไม่เปลี่ยนคัน ใช้คันเดิมหมายเลขทะเบียนเดิม แต่งไฟให้เด่นเป็นสัญลักษณ์ ผมใช้ไฟสปอตไลท์สีเหลืองติดคู่อยู่หน้ารถ ตัวผมเองแต่งกายให้ดูมีสีสันกว่าปกติเล็กน้อย ใส่หมวกสักหลาดสีน้ำตาล เอาผ้าขาวม้าคาดพุง ระยะแรกๆก็เพื่อปกปิดปืนสั้นที่เหน็บไว้ ต่อมาก็ไม่พกอะไร ให้ผู้ช่วยพกแทน จะไปที่ไหนก็บอกตั้งแต่ปากทาง ข่าวของคนพวกนี้เร็วมาก เมื่อผมไปถึงเขาจะทราบและรอพบเลยทีเดียว ไม่ไช่การมารอรับแบบเจ้านายนะครับ มารอเพื่อตรวจสอบว่ามาจริง ผมจึงต้องถือสัตย์ในเรื่องเหล่านี้ จะเข้าเมื่อใดจะออกเมื่อใดก็บอก แต่เวลาออกก็จะหาเรื่องออกให้ผิดเวลา ก่อนบ้าง หลังบ้าง ไปอีกทางหนึ่งบ้างด้วยข้ออ้างสารพัด อีกอย่างหนึ่งผมต้องไว้หนวดตลอด เป็นสัญลักษณ์ประจำกายของผม เพราะครั้งแรกๆนั้นไม่ได้โกนหนวด ชาวบ้านเขาเลยรู้จักผมในนามช่างหนวด ผนวกด้วยการเป็นคนใจดี ไม่มีปัญหาอะไร ไม่รบกวนชาวบ้านในทุกเรื่องยกเว้นการจ้างคนงาน ทุกครั้งที่เข้าไปก็จะต้องมีของฝาก เช่น กับข้าวที่เล่าให้ฟัง บางทีก็เป็นเกลือยกเป็นกระสอบเลย ยาแก้ไข้มาลาเรียแฟนซิดาซึ่งมีอาการข้างเคียงน้อยมาก แทนยาที่ชาวบ้านได้รับพวกอะลาเล็นหรือคอโลควินซึ่งทำให้หูอื้อและท้องผูก ยาทัมใจ ซึ่งเป็นยา APC แบบผงอยู่ในซอง ซองละ 25 สตางค์ แจกไปเลยครับ 10 -20 ซอง เขาติดและใช้ในการสูบฝิ่นด้วย ขนม ท็อฟฟี่แจกเด็ก แม้กระทั่งเสื้อผ้า และเสื้อหนาวที่ถอดให้เลยเวลาจะออกจากป่า รถของผมไม่เคยจอดหันหน้าเข้าบ้านหรือทางตันเลย ไม่ว่าจะเป็นการชั่วคราวหรือค้างคืน จะต้องหันหน้าออกพร้อมขับหนีตลอดเวลา เมื่อถึงบ้านชาวบ้าน ผมจะเปิดประตูรถค้างไว้เพื่อให้เห็นตราข้างประตูสักครู่ (ผมไม่เคยนั่งเบาะหลัง) ให้ชาวบ้านเขาได้สังเกตและพิจารณา ช่วยให้ใจของเขาเกิดความสงบ ไม่ตกใจ แล้วก็จะค่อยๆลงไปคนเดียว เดินไปถามทางพูดคุย (ทั้งๆที่รู้ว่าทางไปใหน) ขยับผ้าขาวม้าให้เห็นว่าไม่ได้พกอะไรไว้ที่เอว คนขับรถของผมและผู้ช่วยจะไม่ลงจากรถ แต่จะเฝ้าระวัง มีปืนเสียบอยู่พร้อมใช้งานตลอดเวลา เมื่อทุกอย่างดูเป็นมิตรดีแล้วจึงลงมาคุยกันทั้งหมด จะไว้ใจชาวบ้านร้อยเปอร์เซ็นไม่ได้เลยสักคน เป็นกฎที่ต้องถือไว้ประจำใจ
เหล่านี้คืออาวุธของผมในการป้องกันอันตรายของผม สำหรับเรื่องเฉียดตายนั้น จะค่อยๆเล่าไปนะครับ