เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 14 15 [16] 17 18 19
  พิมพ์  
อ่าน: 148969 เมนูอาหารป่า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 225  เมื่อ 14 เม.ย. 12, 22:23

ตัวซ้ายมือครับ
บันทึกการเข้า
atsk
มัจฉานุ
**
ตอบ: 59


ความคิดเห็นที่ 226  เมื่อ 20 เม.ย. 12, 12:55

ไก่ต่อ แถวบ้านผมเรียกไก่ตั้งครับ เดี๋ยวนี้จะไม่ต่อมากินไม่มีการยิงแล้วครับแต่จะต่อมาขายเพื่อเลี้ยง โดยการต่อนั้นไก่ต่อหรือไก่ตั้งจะผูกไว้กับหลักเหมือนกันครับ ส่วนกับดักก็คือบ่วงเชือกธรรมดานี่แหละครับทำบ่วงเชือกหลายๆอันวางไว้ตามพื้นดินรอบๆตัวไก่ต่อปลายอีกด้านก็จะผูกไว้กันต้นไม้ ขอนไม้หรืออะไรก็ได้ที่มีน้ำหนักมากสักหน่อย พอไก่ป่ามาขันท้ามันก็จะเดินไปมารอบๆไก่ต่อเท้าไก่ป่าก็จะไปเกี่ยวบ่วงเชือกรัดขาบินหนีไม่ได้เราก็จะวิ่งเข้าไปจับครับ
บันทึกการเข้า
atsk
มัจฉานุ
**
ตอบ: 59


ความคิดเห็นที่ 227  เมื่อ 20 เม.ย. 12, 12:59

ขออนุญาตรายงานเรื่องต้นแอปเปิ้ลเมืองนิดนึงนะครับ

ใครอยู่ในกทมแล้วอยากเห็นต้นแอปเปิ้ลเมืองไปดูได้ที่วัดบูรณศิริมาตยาราม ข้างคลองหลอดใกล้ๆโรงแรมรัตนโกสินทร์ตรงผ่านฟ้าครับ

วันนี้ผ่านไปมองไปในวัดเห็นต้นใหญ่มากใบสวยมากครับ ใครอยากได้เมล็ดไปปลูกที่บ้านลองไปถามพระในวัดดูนะครับ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 228  เมื่อ 20 เม.ย. 12, 13:18

ดิฉันเคยได้ยินคำว่า "นกต่อ"  ในนิยายอาชญากรรมมักจะมีผู้หญิงสวยๆ เล่นบท "นางนกต่อ"  หลอกพระเอกไปให้ถูกทำร้าย
วิธีการต่อนก  เขาทำกันอย่างไรคะ ใครทราบบ้าง
เป็นนกชนิดไหน ต่อไปทำไม
บันทึกการเข้า
atsk
มัจฉานุ
**
ตอบ: 59


ความคิดเห็นที่ 229  เมื่อ 20 เม.ย. 12, 14:02

ขอตอบอาจารย์เท่าที่ผมเคยทำนะครับ

ต่อนกเขาใหญ่ ต่อมาเพื่อขายครับ เอาไปเลี้ยงเพื่อฟังเสียงขันครับ   http://www.nokkhao.com/smf/index.php?PHPSESSID=5e574fa05c9087ec3acd67af99b7534d&topic=5888.0
ต่อนกกวัก     ต่อมาเพื่อเป็นอาหารครับ บางคนก็เอาไปเลี้ยงเฝ้าบ้านได้ดีมาก เพราะเมื่อมีคนมานกกวักจะร้องครับ 
ต่อนกกระทาทุ่ง  ถ้าได้ตัวเมียเอามาเป็นอาหาร ถ้าได้ตัวผู้เอามาเลี้ยงไว้ฟังเสียงร้องครับ 
นกกระทาเล็ก (นกขุ้ม)  ต่อมาเป็นอาหารครับ
นกกางเขนดง  ต่อมาขาย เลี้ยงฟังเสียงร้องครับ 


ต่อไก่ป่า มีทั้งต่อมากินและต่อมาเลี้ยงขายลูกครับ    http://www.thaijunglefowl.com/forum-f18.html

  นาทีที่ 3.22 ติดแล้วครับ

ขอแปะลิ้งครับอาจารย์
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 230  เมื่อ 21 เม.ย. 12, 18:52

พวกสัตว์ต่อทั้งหลายนี้ มีทั้งเพศผู้และเพศเมีย ขึ้นอยู่กับความชำนาญของคนและนิสัยของสัตว์ เท่าที่เห็นมาจะเป็นการต่อเพื่อเอาตัวผู้ เนื่องจากตัวผู้มีนิสัยต้องชิงตัวเมีย หรือต้องปกป้องฮาเร็ม หรือต้องปกป้องถิ่นอิทธิพลของตน

บังเอิญที่สัตว์ตัวเมียมักจะไม่มีเสียงร้องที่ดังและมีลักษณะเป็นเพลงที่มีเสียงสูงต่ำดังเช่นตัวผู้ ดังนั้นสัตว์ต่อจึงมักจะเป็นตัวผู้ อย่างไรก็ตามก็ขึ้นอยู่กับสภาพของสถานที่และฤดูกาลด้วย 
หากจะเรียกตัวผู้เข้ามาด้วยเสียงตัวเมียนั้น น่าสนใจที่มักจะเป็นการทำเสียงโดยคน ซึ่งมักจะใช้ใบไม้ใบหญ้าช่วย ผมเองไม่ค่อยจะได้พบและเรียนรู้จากคนที่มีความชำนาญทางนี้มากนัก

การทำเสียงจากออกจากปากและคอ โดยอาจจะใช้มือช่วยบ้างนั้น มักจะมิใช่การทำเสียงเลียนแบบให้เหมือนจริง แต่เป็นการสะกดให้สัตว์นิ่งหยุดฟัง เพื่อที่จะได้ยิงไ้ด้
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 231  เมื่อ 21 เม.ย. 12, 19:39

ขอบคุณคุณ atsk และคุณตั้งค่ะ
ดิฉันเอาลิ้งค์มาทำ youtube ให้ดูกันง่ายๆนะคะ


ต่อนกกวัก     ต่อมาเพื่อเป็นอาหารครับ บางคนก็เอาไปเลี้ยงเฝ้าบ้านได้ดีมาก เพราะเมื่อมีคนมานกกวักจะร้องครับ 


ต่อนกกระทาทุ่ง  ถ้าได้ตัวเมียเอามาเป็นอาหาร ถ้าได้ตัวผู้เอามาเลี้ยงไว้ฟังเสียงร้องครับ


นกกระทาเล็ก (นกขุ้ม)  ต่อมาเป็นอาหารครับ


นกกางเขนดง  ต่อมาขาย เลี้ยงฟังเสียงร้องครับ 




ต่อไก่ป่า มีทั้งต่อมากินและต่อมาเลี้ยงขายลูกครับ    http://www.thaijunglefowl.com/forum-f18.html

 
นาทีที่ 3.22 ติดแล้วครับ
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 232  เมื่อ 21 เม.ย. 12, 19:47

ไปทำแกงป่าอร่อยๆกินกันดีกว่า แบบทำในเมืองให้เหมือนทำในป่า

สำหรับแกงประมาณ 2 ถ้วยใหญ่
น้ำพริกแกงประมาณ 1 - 2 ช้อนกินข้าว    ใช้น้ำพริกแกงเผ็ดที่ขายกันในตลาดเป็นฐาน (ยังไม่ต้องใส่ในครก) เอาข่ามาหั่นสามสี่แว่น พริกแห้งเม็ดเล็กสัก 10 เม็ด พริกแห้งเม็ดใหญ่สัก 4-5 เม็ด ตะใคร้ซอยสักสองต้น กระเทียมสักหนึ่งหัว หอมสัก 3-4 หัว ใส่เกลือสักครึ่งช้อนกาแฟในครก ใส่ของที่เตรียมไว้นี้โขลกให้แหลกค่อนข้างละเอียด เอากระชายสักสามท่อนนิ้วชี้และฝานผิวมะกรูดสักครึ่งลูกใสลงๆไป โขลกต่อให้แหลก ใส่ดอกกระเพราขาวและดอกกระเพราแดงอย่างละประมาณ 2-3 ดอก โขลกให้เข้ากัน แล้วใส่กะปิหอมๆประมาณเกือบๆช้อนกินข้าวลงไป โขลกให้เข้ากัน พักไว้

เตรียมผักที่จะใส่ เอามะเขือขื่น (มะเขือเหลือง) และมะเขือเปราะอย่างละประมาณ 10 ลูก ผ่าสี่แล้วแช่น้ำไว้ สำหรับมะเขือเหลืองนั้นหใ้บีบเอาเมล็ดออก ซอยกระชายสัก 6-7 แง่ง แช่น้ำไว้ เด็ดมะเขือพวงประมาณหนึ่งกำมือ เด็ดใบกะเพราะขาวและกระเพราแดงรวมๆกันประมาณกำมือ แช่น้ำไว้  แล้วเตรียมเนื้อสัตว์ที่ต้องการ จะเป็นปลาดุก ไก่ เนื้อหมู เนื้อวัว หรือจะเป็นเนื้อหายาก (กวาง หมูป่า เก้ง ฯลฯ) อะไรก็ได้

วิธีทำ ใช้ไฟแรง เอากระทะตั้งไฟใส่น้ำมันประมาณ 1 ตะหลิว (2-3 ช้อนกินข้าว) พอน้ำมันร้อนค่อนข้างมากเอาน้ำพริกแกงที่ตำไว้ลงผัดให้หอม (เกือบใหม้) จนได้กลิ่นแรงขนาดต้องจาม ใส่้น้ำล้างครกผัดต่อให้เดือด ใส่เนื้อสัตว์ ผัดให้เกือบสุก ใส่น้ำล้างครกอีกครั้งหรือสองครั้งสามครั้งก็ได้ ให้พอขลุกขลิก (พอท่วมเอ่อ) ชิมรส เิ่ติมเกลือให้ออกเค็มมากหน่อย รอให้เดือด จากนั้นจึงเอามะเขือทั้งหลายลงไป เคล้าให้ทั่ว ปิดฝาสักอึดใจ แล้วเอาของที่เหลือทั้งหมดลงไป เคล้าให้ทั่วอีกครั้ง ปิดฝา ราไฟ ยกออกจากเตา เท่านั้นแหละครับ กินกับข้างร้อนๆ สุดยอดเลย

จะให้สุดยอดมากกว่านั้นอีก ต้องกินกับไข่เจียวครับ จะใช้ไข่ไก่หรือไข่เป็ดก็ได้ สัก 3-4 ฟอง ใส่น้ำเล็กน้อยประมาณสองช้อนกินข้าว ใส่น้ำปลา หากจะให้อร่อยกว่านั้นก็ใส่น้ำกระเทียมดองลงไปแทนน้ำเปล่า ใช้น้ำมันมากหน่อย เมื่อน้ำมันร้อนจัดแล้วจึงใส่ไข่ลงไปเจียว พอฟูดีแล้วจึงพลิกกลับด้าน คะเนดูว่าเกรียมพอสวยแล้ว พลิกกลับให้เกรียมเท่าๆกัน

แกงป่านี้ บางทีกินมื้อแรกอาจจะยังไม่อร่อยมากนัก แต่หากค้างคืนแล้วตอนเช้าเอามาอุ่นอีกครั้งบางทีก็จะอร่อยมากกว่า เตรียมน้ำปลาใส่พริกขี้หนูกับหอมซอยและหากจะบีบมะนาวและแช่มะนาวที่บีบไว้ในน้ำปลาก็จะยิ่งชูรสชาติ    

  
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 233  เมื่อ 27 เม.ย. 12, 21:08

เว้นว่างไประยะหนึ่ง
อาจจะสงสัยว่าทำไมจึงขาดเรื่องน้ำพริกไป
น้ำพริกที่ทำกินกันในป่านั้นมีเสมอ แทบจะทุกมื้อเลยก็ว่าได้ จะว่าไป น้ำพริกก็คืออาหารหลักของเมนูอาหารป่า กินได้ทั้งแบบเอาผักมาจิ้มน้ำพริกกิน เอาน้ำพริกคลุกข้าวกินกับผักที่หาได้ และเอามาคลุกข้าวกินเปล่าๆ 

สำหรับผมนั้น แบ่งน้ำพริกออกเป็น 4 พวก คือ พวกเครื่องสด พวกเครื่องเผา พวกเครื่องต้ม และพวกที่เอามาผัด    และผมเห็นว่า น้ำพริกมีองค์ประกอบหลักที่สำคัญ คือ พริก กะปิ และกระเทียม  องค์ประกอบรอง คือ สิ่งที่ทำให้น้ำพริกนั้นๆถูกเรียกชื่อต่างๆกันออกไป (ปลา ปู กุ้ง ไข่เค็ม ฯลฯ) องค์ประกอบย่อย คือ ที่ทำให้ออกรสและกลิ่น (แมงดา มะดัน มะกอก ฯลฯ) และองค์ประกอบสุดท้าย คือ ช่วยเพิ่มปริมาณเนื้อของน้ำพริก (มะเขือ มะอึก พริกขี้หนู ฯลฯ)

ด้วยเหตุนี้ น้ำพริกจึงมีชื่อเรียกได้นับร้อยชนิด และก็คงจะไม่มีสูตรตายตัวเสมอไป ความอร่อยของน้ำพริกอยู่ที่รสชาติของน้ำพริกที่ผสมผสานกับการเลือกผักจิ้มที่เหมาะสม ความน่า่ลิ้มลองชวนกินอยู่ที่รูปร่างหน้าตาที่นำเสนอ และความดึงดูดใจให้ต้องลิ้มลองอยู่ที่กลิ่นที่หอมหวนชวนกิน

ผมเห็นว่่า น้ำพริกที่ทำกินกันในป่านั้นไม่ถูกจำกัดด้วยความไม่กล้าที่จะลองทำ หากคนในเมืองทำน้ำพริกอะไรที่แตกต่างไปจากปรกติ ก็คงจะมีคนกล่าวหาว่าบ้าไปแล้ว

ลองพิจารณาน้ำพริกที่แปลงไปจากน้ำพริกกะปินะครับ (ผมจัดเป็นน้ำพริกเครื่องสด) เราสามารถเปลี่ยนรส เปลี่ยนกลิ่น เปลี่ยนความอร่อย ได้หลายอย่างมากๆ เช่น ทำให้ออกรสหวานเล็กน้อยเพื่อกินกับผักดองที่เปรี้ยว (เช่น ยอดกุ่มดอง) ทำให้เผ็ดหรือรสจัดมากกว่าปรกติเพื่อกินกับผักที่มีเนื้อชุ่มน้ำ (เช่น แกนของหยวกกล้วย ดอกกะทือ) ใส่มะกอกฝานเปลือกเป็นชิ้นเล็กๆและใส่เนื้อลงไปด้วยกินกับพวกเนื้อเค็มหรือผักดองเค็ม ใส่มะเขือส้ม (มะเขือสุกลูกเล็กๆคล้ายมะเขือพวก) ใส่มะม่วงเปรี้ยวซอย ใส่แมงดานา ใส่ไข่แมงดาทะเล ใส่มะอึก ใส่มะเขือพวงเผา (ผ่าครึ่งลูก) ใส่มะดัน ใส่ตะลิงปลิง ใส่น้ำมะกรูดแทนมะนาว ใส่น้ำมะขามเปียกแทนมะนาว ใส่ไข่เค็ม ใส่กุ้งแห้งโขลกละเอียดหรือเป็นตัว ใส่มะเขือเปราะซอยบางๆ ใส่มะเขือพวง ใส่กุ้งสด ใส่ปลาแห้งป่น ฯลฯ เป็นต้น
ลองตำน้ำพริกกะปีโดยใช้พริกแห้งเม็ดเล็กดู ก็จะได้รสและกลิ่นไปอีกแบบ หรือใส่ข่าเผาก็จะมีกลิ่นไปอีกแบบ

น้ำพริกที่ผมชอบในเชิงของภูมิปัญญาท้องถิ่น คือ ของกะเหรี่ยงที่ไปด้วยกัน เขาเอาพริกแห้งทำเป็นพริกป่นแยกห่อไว้ถุงหนึ่ง เอาตะไคร้หั่นซอยแยกไว้อีกถุงหนึ่ง เอากะปิละลายกับน้ำมะขามเปียกแยกไว้อีกถุงหนึ่ง และเกลืออีกถุงหนึ่ง เมื่อจะกินน้ำพริกก็เพียงแต่เอาพริกป่นมาใส่กะปิ เมื่อจะแกงก็รวมเอาตะไคร้ พริกป่น และกะปิเป็นน้ำพริกแกง กะสัดส่วนในปริมาณที่พอดีๆ ใส่เกลือ ก็จะได้อาหารที่อร่อย  ครบเครื่องของความเป็นยาอีกด้วย เนื่องจากมะขามเปียกจะช่วยแก้อาการคันคอเมื่อกินพืชผักบางอย่าง (ผักกูด ไหลบอน บุก ฯลฯ) เกลือช่วยแก้ความอ่อนเพลียจากการเสียเหงื่อ





 


บันทึกการเข้า
tidlek
อสุรผัด
*
ตอบ: 2


ความคิดเห็นที่ 234  เมื่อ 01 พ.ค. 12, 12:26

สวัสดีคุณ naitang และชาวเรือนไทยทุกท่าน

แอบเข้ามาอ่านอย่างตั้งใจแต่ต้นเพราะเคยทำงานตามหมู่บ้านชายป่า ชายเขาในช่วงสั้นๆ ช่วงหนึ่งของชีวิต อ่านแล้วทำให้คิดถึงรสชาติยอดมันสำปะหลังต้ม แกนของหยวกกล้วย จิ้มน้ำพริกปลากระป๋อง  ขึ้นมาอีกครั้ง
ช่วงนี้รู้สึกว่าจะว่างเว้นไป รออ่านอยู่นะครับ
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 235  เมื่อ 01 พ.ค. 12, 17:33

^
ขอบคุณครับที่ติดตามอ่าน และต้องขออภัยที่มิได้เขียนอย่างต่อเนื่อง ช่วยเลี้ยงหลานครับ อีกไม่กี่วันก็จะเว้นไปอีกอาทิตย์หนึ่ง แล้วจะมาลุยต่อครับ

ว่าเรื่องน้ำพริกเครื่องสดแล้ว จะขอต่อไปน้ำพริกเครื่องต้ม
น้ำพริกนี้ทำง่าย ปรกติจะใช้ทำน้ำพริกปลา แทนที่จะต้มปลาแล้วเอามาแกะเอาเนื้อไปตำน้ำพริก เราก็ต้มเครื่องไปด้วยเลย หลักๆก็เอาข่า 2-3 แว่น พริกสดปริมาณตามชอบ (7-8 เม็ด) หอม 4-5 หัว กระเทียม 1 หัว ตะไคร้ 2-3 ต้น ต้มพร้อมไปกับปลา ใส่น้ำประมาณสักหนึ่งชามแกง ใส่เกลือให้ออกรสเค็ม สำหรับปลานั้นจะเป็นปลาอะไรก็ได้ ที่ทำแบบนี้มันง่ายและยังกันคาวปลาด้วย เครื่องเหมือนต้มยำเลยใช่ใหมครับ ขาดใบมะกรูดอีกอย่างเดียวก็จะเป็นต้มยำ เมื่อเนื้อปลาสุกดีแล้ว ตักเอาพริก หอม กระเทียมมาโขลกในครกเข้าด้วกัน แกะเนื้อปลาใส่ครกตำให้แหลก เอาก้างปลาใส่คืนในน้ำ ตักน้ำใส่ครกละลายน้ำพริกให้เหลวกำลังพอดีกิน ปรุงรสด้วยเกลือหรือน้ำปลาอีกหน่อย หากรู้สึกยังไม่เผ็ดพอจะใส่พริกป่น พริกสด เพิ่มลงไปก็ได้ อาจจะบีบมะนาวให้ออกรสเปรี้ยวด้วยก็ได้เช่นกัน กินกับผักต้มหรือผักสดก็ได้ อร่อยเหมือนกันครับ
ส่วนน้ำที่ต้มเครื่องน้ำพริกและปลานั้น (ตอนนี้เหลือแต่หัวกับก้างและตะไคร้เป็นเนื้ออยู่) ก็ปรุงรสให้เป็นน้ำแกงซดแก้ฝืดคอ จะปรุงต่อไปให้เป็นต้มยำก็ได้

วันหนึ่งกะเหรี่ยงที่ไปด้วย เอาชะอมทั้งมัดใส่ต้มพร้อมไปกับปลาดุก เลยไม่ทำน้ำพริก ก็กินได้นะครับ แปลกดี ไม่นึกเลยว่าเครื่องและกลิ่นมันจะไปกันได้ 
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 236  เมื่อ 01 พ.ค. 12, 18:02

น้ำพริกเครื่องเผาก็ทำในทำนองเดียวกัน คือ เอาทุกอย่างมาเผาหทั้งหมด รวมทั้งกะปิห่อใบตองเผาด้วย
น้ำพริกแบบนี้เก็บไว้ได้นาน ทำมากๆเพื่อเก็บใว้กิน กินได้ทั้งกินกับผักสดผักต้ม เอาไปละลายในน้ำต้มยำ และหากเอาไปผัดในน้ำมันก็จะได้น้ำพริกเผา (ซึ่งเราอาจจะเพิ่มข่าเผาโขลกเข้าไปด้วยก็ได้)

ตัวน้ำพริกเองเรายังสามารถแปลงรสและกลิ่นออกไปได้อีกมาก เช่น ใส่มะกอก ใส่มะม่วงสับ ใส่น้ำมัะขามเปียก ใส่น้ำมะนาว น้ำมะกรูด เป็นต้น 
 
น้ำพริกเครื่องเผานี้ยังใช้ในการเอาไปทำยำที่อร่อยต่างๆ โดยเฉพาะยำแย้กับยอดมะกอกอ่อน ยำกบกับหัวปลีเผา ยำเนื้อ (สัตว์ป่า) ย่างแห้งรมควันกับเครื่องหอมซอยต่างๆ (ผักไผ่ หอมสด ผักชี ใบสะระแหน่ ใบผักชีฝรั่ง หอมแดง กระเทียม) กินกับใบโกศล ใบหูเสือ ใบเล็บครุฑ ใบตูดหมูตูดหมา ยอดต้นกระโดน (จิก) ยอดเสลี่ยม (สะเดา) สารพัดผักแนมสำหรับยำและลาบ ฯลฯ

ผมชอบน้ำพริกนี้สำหรัับพกพากินกับข้าวเป็นอาหารกลางวัน แล้วกินกับกุนเชียงปิ้งให้ผิวเกรียม นึกถึงแล้วยังน้ำลายสอเลยครับ จะได้กินเมนูนี้ก็เมื่อกำลังจะกลับเข้าเมือง กุนเชียงเป็นอาหารตุนเผื่เหลือเผื่อขาดอย่างหนึ่ง ส่วนมากก็มักจะซื้อเข้าไปครั้งละประมาณ 1 กก.
บันทึกการเข้า
พวงแก้ว
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 237  เมื่อ 01 พ.ค. 12, 18:12

อ่านต้มปลากับเครื่องน้ำพริกต้มแล้วนึกภาพ การเตรียมน้ำพริกสำหรับทำน้ำยาขึ้นมาได้

แต่เบลอๆ ดูเหมือนจะมีการต้มปลาช่อน หรือปลาสำลีกับเครื่อง.....และมีกระชายด้วย

พอสุกก็ช้อนเครื่องน้ำพริกที่อ่อนตัวแล้ว ขึ้นมาโขลกจนได้ที่....แล้วแกะเนื้อปลาที่ต้มโขลกให้เป็นเนื้อเดียวกัน

เอาก้างออกให้หมด แล้วเทกลับลงไปในน้ำต้ม ในหม้อ ปรุงรสด้วยน้ำปลาดี

จะได้น้ำยาที่ข้น ด้วยเนื้อปลา หอม อร่อยสุดๆค่ะ
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 238  เมื่อ 27 พ.ค. 12, 19:34

เว้นวรรคไปเสียนานครับ
ขอกลับมาต่อเรื่อง เพื่อให้กระทู้นี้ได้จบลงอย่างนุ่มนวล

ที่ผ่านมา อาหารส่วนมากจะเป็นเรื่องของผักและสัตว์เล็กๆ
จะขอเล่าต่อในเรื่องของสัตว์ปีก
ไก่ป่านั้นผมจะเลือกเฉพาะตัวผู้เอามาทำกิน ปล่อยตัวเมียให้กกไข่แพร่พันธุ์ต่อไป ชาวบ้านเขาก็ทำกันแบบนี้ จะยกเว้นก็เฉพาะคนในเมืองที่ชอบเข้าป่าแล้วยิงดะทุกอย่างที่เคลื่อนที่ได้
ในช่วงประมาณปลายเดือนมีนาคม ต้นไผ่ในป่าบางแห่งก็จะแตกขุย คือ ไผ่ออกดอก จากนั้นก็จะตายยกป่า ในช่วงนี้ไก่ป่าจะมีมาก ออกมากินขุยไผ่กัน ไก่ตัวเมียจะอ้วนอิ่มเอิบมาก ไก่ตัวผู้ก็เช่นกัน ไก่ป่าช่วงนี้จะอร่อย เนื้อแน่น
ไก่ฟ้าพญาลอก็มีเหมือนกัน (Pea fowl ฮืม) เราจะปล่อยมันไม่นำมาทำอาหาร ไก่ฟ้ามักจะชอบอยู่ในบริเวณที่เป็นป่าชุ่มชื้น มีใบไม้ตามพื้นดินมาก เนื่องจากมันเป็นสัตว์กินแมลงตามพื้นดิน  นกยูงก็ยิ่งไม่เอาเลย   
นกที่เอามากินก็เลือกครับ นกที่กินเนื้อ (แมลง) ส่วนมากจะมีเนื้อสีแดงเข้มไม่น่ากิน หากเป็นนกตัวใหญ่จะเอามาทำกินจะต้องถลกหนังทิ้งไป นกพวกนี้ เช่น นกกะปูด เหยี่ยวนกเขา เหยี่ยวอีรุ้ม นกฮูก ถึดทือ ฯลฯ  นกกินผลไม้ที่ตัวขนาดใหญ่ก็ไม่เอามากินเหมือนกัน เช่น นกกก เงือก กาฮัง นกแกง ฯลฯ
นกที่เอามากินก็จะมี นกกุลุมพู (ชอบเกาะอยู่สูงมากตามยอดไม้) นกเขาเปล้า นกเขาเขียว และเขาใหญ่  ส่วนนกตัวขนาดเล็กทั้งหลายจะไม่ไปยุ่งกับมัน  ซึ่งเหตุผลที่สำคัญก็คือ ตัวมันเล็กมากไป ต้องยิงหลายๆตัวจึงจะพอหม้อแกง และอีกประการหนึ่งคือไม่คุ้มค่าลูกปืน

การเอาไก่มาทำอาหารสำหรับคณะ ใช้เพียงตัวเดียวก็พอ เราเอาเนื้อตัวของมันมาเป็นเพียงกระสัยในแกงหรือผัด ที่กินกันเอร็ดอร่อยจริงๆนั้นมันคือผักและรสชาติของน้ำแกงผนวกกับพืชผักที่ใส่ลงไป และการแทะเล็มเนื้อติดกระดูก  เผ็ดมาก รสจัดมาก ร้อนมาก ก็กินข้าวมาก (กินกับน้อย) กินน้ำแก้เผ็ดมากตามไปด้วย (อิ่มน้ำ) กับข้าวป่าจึงมีรสจัดและเผ็ดเป็นมาตรฐาน สำหรับเรา เพียงเจียวไข่ไปแนมเท่านั้นอาหารป่าก็กลายเป็นอาหารที่อร่อยสุดที่จะพรรณา

สำหรับนกนั้น ตัวเล็กกว่าไก่มาก อย่างน้อยก้ต้องใช้ถึงสามตัวจึงจะพอมื้อ วิธีการทำจึงจะใช้วิธีตัดเป็นชิ้นๆไม่ได้ จะใช้วิธีสับให้แหลกและค่อนข้างจะละเอียดอีกด้วย เพื่อมิให้คงเหลือกระดูกเป็นเสี้ยนอยู่ ซึ่งน่าจะเป็นที่มาของคำว่าแกงสับนก แกงสับนกนี้ก็แปลกอยู่อย่างหนึ่ง คือ นิยมจะใส่กระชาย สำหรับเครื่องหอมนั้นก็ใช้ได้ทั้งใบกระเพราหรือใบโหระพา
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 239  เมื่อ 29 พ.ค. 12, 19:24

พวกสัตว์ขุดรูและสัตว์อยู่ในโพรงอยู่ก็เอามาเป็นอาหารได้หลายชนิด

พวกนี้เกือบทั้งหมดจะเอามาผััดเผ็ดที่มีน้ำมากหน่อย (ยังไม่เป็นแกงป่าเพราะไม่ได้ใส่ผักอื่นๆ)  เครื่องผัดเผ็ดก็ง่ายๆ เอาพริกแห้งเม็ดเล็กโขลกกับเกลือพอแหลก ใส่เกลือไปด้วยเพื่อช่วยให้ตำให้แหลกได้ง่ายและเป็นการปรุงรสไปในตัว ใส่กระเทียม ใส่ข่า ใส่ผิวมะกรูด (หากมี) ใส่ตะไคร้ซอย จะใส่หอมแดงหรือไม่ใส่ก็ได้ หากมีดอกกระเพรา หรือดอกโหระพา ใส่รวมไปด้วยก็ยิ่งดี เมื่อเครื่องแกงแหลกพอแล้ว ก็เอาลงผัดให้หอมจนจาม เอาเนื้อสัตว์ลงผัดให้สุก เติมเกลือหรือน้ำปลาตามชอบ จะใส่น้ำตาลปี๊บเพื่อตัดรส (ทำให้รสแหลมขึ้นก็ได้) คะเนว่าเกือบจะสุกดีแล้วก็เอาน้ำล้างครกใส่ลงไป ชิมรสให้พอดีพอเหมาะอีกครั้ง เท่านั้นเอง

พวกสัตว์อยู่รู ได้แก่ เม่นธรรมดา (ขนกลม) เม่นหางพวงที่กะเหรี่ยงเรียกว่าชะบา (ขนออกไปทางแบนและตัวเล็กกว่า) ตัวตุ่น ตัวอ้น ตัวแย้ ตัวนิ่ม   
พวกสัตว์อยู่โพรง ได้แก่ อีเห็นข้างขาว อีเห็นข้างลาย อีเห็นหางปล้อง อีเห็นแผง หมูหริ่ง หมาหริ่ง 
สัตว์เหล่านี้กินได้ทั้งนั้น แต่ก็ต้องรู้วิธีทำด้วย ที่เหมือนกันคือเอามาชุบน้ำแล้วเผา ขูดขนออกให้หมด แล้วเผาต่อใ้ห้พองจนตัวเต่งเหมือนเป่าลม จากนั้นจึงผ่าเอาเครื่องในออกให้หมด ไม่กินเครื่องใน
สำหรับสัตว์อยู่รูนั้น ลักษณะของเนื้อมักจะคล้ายเนื้อหมู มีชั้นไขมันเปลว   
แต่สำหรับสัตว์อยู่โพรงนั้น เมื่อยิงได้จะต้องรีบตัดอวัยวะเพศออกทิ้งใปในทันทีโดยเร็ว จะช่วยให้ Urine ไม่กระจายไปทั่วในเนื้อของมัน สัตว์พวกนี้กลิ่นตัวและมีกลิ่นเนื้อสาบแรงมาก ไม่เหมาะที่จะนำมาทำเป็นอาหาร แต่อย่างว่าแหละครับ มันเป็นสัตว์หากินกลางคืน อดเข้าก็เอามากินทั้งนั้น ยิงไปแล้วจึงจะรู้ชัดๆว่าเป็นตัวอะไร  ด้วยปรัชญาที่ถือว่ายิงแล้ว ทำลายชีวิตของเขาแล้วก็ต้องกิน มิฉะนั้นก็จะกลายเป็นการบาปหนักที่ไปเบียดเบียนชีวิตเขาแล้วก็ละไป

มีอยู่ปีหนึ่งที่ผมรู้สึกระห่ำเกินไป ลองกินตับของสัตว์ทุกชนิดที่เอามาทำอาหาร โดยเอามาย่างให้สุก ก็หอมอร่อยทานได้ โดยเฉพาะสัตว์ใหญ่ แต่สำหรับสัตว์ที่กล่าวมาใน คห.นี้ ส่วนมากจะมีกลิ่นฉี่มากบ้างน้อยบ้าง (จำไม่ได้แล้วครับว่าตัวใหนเป็นอย่างไร) จำได้แต่ว่าตับเม่นและรวมถึงเนื้อเม่นธรรมดานั้นต้องระวัง กินแล้วออกอาการยัน เหมือนเมาหมากพลู อาจจะไปเจอตัวที่มันกินรากไม้บางชนิดเข้าก็ได้  เหมือนกับปลากาในช่วงฤดูน้ำหลากที่มันกินลูกกะบ้า คนกินก็เมาลูกกะบ้าไปด้วย  แต่สำหรับเม่นหางพวงนั้น (ชะบา) หากินในป่ากล้วยจึงไม่เป็นปัญหาใดๆ 

ชาวบ้านป่าเขาจะชำแหละเอาหนังส่วนจมูกเม่นมาปิดไว้หน้่าประตูเข้าบ้านเรือน เพื่อกันผีและทำให้มีโชคดีต่างๆ   

 
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 14 15 [16] 17 18 19
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.085 วินาที กับ 19 คำสั่ง