Wandee
|
ได้อ่านเรื่องนี้เมื่อตอนตลุยอ่านวรรณกรรมของอังกฤษและอเมริกันในวารสารรายสัปดาห์เช่น สตรีสาร
ศรีสัปดาห์ ชาวกรุง เป็นต้น นิทานและนวนิยายของ อ. สนิทวงศ์ และสันตสิริก็อยู่ในแวดวงที่มีโอกาสได้อ่าน
จำได้ว่าศรีสัปดาห์มีเรื่องวรรณกรรมอเมริกันแปลไว้แบบแปลเต็ม ญาติผู้กำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยในเวลานั้น
จะยึดหนังสือไปเป็นของส่วนตน และขีดเส้นใต้ด้วยดินสอไว้เต็มไปหมดเพื่อเทียบกับต้นฉบับภาษาอังกฤษ
เป็นเด็กกว่าเขาก็คอยทุกโอกาสที่ยื้อแย่งหนังสือมาอ่าน
ไม่กล้ายืนยันว่า ได้อ่าน ชีวิตนี้เป็นที่รัก ในหนังสืออะไร แต่ยังไม่ทันอ่านจบ ก็ต้องไปเรียนหนังสือที่ไกล
เมื่อเริ่มทำงาน ได้พยายามหาเรื่องนี้มาอ่าน หาไม่ได้อยู่หลายสิบปี
ไม่นานมานี้ สหายทั้งปวงก็วิ่งวุ่นไปเก็บหนังสือคืนจากโกดังต่างๆที่ฝากกันไว้ กล่องกระดาษที่พวกเราใช้กันคือกล่องเบียร์
เพราะน้ำหนักเหมาะสมในการเคลื่อนย้าย เรียงซ้อนกันไว้สูงก็ไม่มีอันตราย
สหายน้อยผู้หนึ่งได้ตามตัวดิฉันไปเก็บหนังสือที่เขาไม่ต้องการแล้ว และหนึ่งในกล่องพลาสติคขนาดใหญ่ที่พวกเราเรียกว่าเกวียน
ก็คือ "ชีวิตนี้เป็นที่รัก" ของ อุไร สนิทวงศ์ (ในเวลานั้นท่านเขียนแบบนี้ค่ะ)
เล่มที่อยู่ในมือ พิมพ์เป็นเล่มเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๗ เป็นของแพร่พิทยา ราคา ๓๐ บาท
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อ 03 ก.พ. 12, 15:07
|
|
บรรจบ พันธุเมธา ให้คำอธิบายทางระเบียบประเพณี และวัฒนธรรมประกอบ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 2 เมื่อ 03 ก.พ. 12, 15:24
|
|
ภาษาอันเป็นสำนวนงดงามของ อ. สนิทวงศ์ ปรากฎในหนังสือมากมาย คุ้นสายตา
ได้พยายามหาต้นฉบับภาษาอังกฤษมาเทียบเคียงกับบางตอน เพราะสะดุดใจว่าสั้นและห้วนไปหน่อย แต่ไม่สามารถ
เพราะเป็นหนังสือที่หายากแล้ว
ผู้ประพันธ์ต้นฉบับนั้นในที่สุดก็ได้ใช้ชีวิตอยู่ในนิคมโรคเรื้อนในอินเดียเป็นเวลานาน
ท่านได้ถ่ายทอดเรื่องโรคเรื้อน อาการและการพัฒนาการของโรค และการใช้ชีวิตของคนโรคเรื้อนในอินเดียที่ยิ่งกว่าต้องสาบ
ต้องระเหเร่ร่อนไปกับขบวนโรคเรื้อนด้วยกัน และขอทานบ้าง กระทำโจรกรรมเล็กๆน้อยๆเมื่อยังชีพบ้าง
อ่านแล้วก็เข้าใจความกล้าหาญของมนุษย์ที่จะฝ่าฟันอุปสรรคชีวิต จากเศษมนุษย์ที่ไม่สามารถจะขอน้ำดื่มจากบ่อน้ำสาธารณะในหมู่บ้านได้
รสของวรรณกรรมมี่ไม่ได้อ่านมาตั้งนาน ยังไม่เปลี่ยนแปลง ยังสะเทือนใจอยู่ แต่ ชีวิตมนุษย์นี้มีค่าอย่างยิ่ง และกล้าหาญอย่างยวด
เดี๋ยวกลับมาเล่าค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อ 03 ก.พ. 12, 16:20
|
|
โควินทท์เป็นเจ้าของร้านตัดเสื้อสุภาพบุรุษ เขารูปร่างเตี้ยล่ำสัน นิสัยสนุกสนานร่าเริง
อายุประมาณ ๓๕ ปี ภรรยาชื่อสุมิตรา เขามีลูกสาว ๑ คน ลูกชาย ๑ คน และภรรยากำลังท้องลูกคนที่ ๓
เขามีสติปัญญาที่เฉียบแหลมและมีไหวพริบ
เวลาเพื่อน ๆ ที่สนิทสองสามคนมาที่บ้าน เขาก็ต้อนรับที่ชานไม้เล็ก ๆ หน้าร้าน มีน้ำชาชงแก่ ๆ มาให้ตลอดเวลา
เมื่อร้อนจัดโควินท์ก็ซื้อน้ำอัดลมสีเขียวแช่น้ำแข็งจากโซดาวาลา(โซดาวาลาคือคนขายน้ำอัดลม) มาเลี้ยงดูเพื่อน ๆ
ก่อนฤดูฝน โควินท์ก็ตัดหามะม่วงฝานทั้งเปลือกเป็นชิ้นยาว ๆ ไว้ให้แขกดูดกิน บางครั้งก็ซื้อน้ำอ้อยสด ๆที่เพิ่งหีบมาเลี้ยงเพื่อน ๆ
ในโอกาสพิเศษโฆวินท์จะรับแขกด้วยหมกยับกับปูน และเครื่องเทศตลอดจนยาฉุน บางทีก็ห่อด้วยใบพลูสด เสียบด้วยกานพลูที่มาจากแซนซิบาร์
หมากพลูชนิดนี้เรียกว่า ปานสุปารี(ปานคือพลู สุปารี คือ หมาก)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อ 03 ก.พ. 12, 16:37
|
|
ในตอนเย็น โควินท์ไปอาบน้ำแล้วก็มากินอาหาร
เขานั่งขัดสมาธิ ยือตัวตรง มือสองข้างวางอยุ่บนตัก พื้นห้องเล็กๆนั้นใช้มูลวัวละเลง ฝาผนังฉาบสีขาวสะอาดหมดจด
เครื่องแต่งห้องชิ้นเดียวที่มีอยู่คือหีบเหล็กสีดำเก่า ๆ ใบหนึ่ง
ภรรยาเข้ามาจัดอาหารโดยวางม้าไม้เล็ก ๆ มีตีนเตี้ยๆไว้ข้างหน้าเขา
หล่อนหยิบถาดทองเหลืองกลมใบใหญ่มวาง แล้วเอาจอกทองเหลืองมาวางขอบถาด
กลางถาดมีข้าวขาวสะอาดกองไว้เต็ม
หล่อนนำหม้ออื่น ๆ มา ใช้ทัพพีตักแกงถั่วที่เผ็ดร้อน ผักต้ม น้ำมันเนย ผักชุบแป้งทอด ผักสด
จัฏนี(เครื่องปรุงรสใช้พริกบดกับสระแหน่ หรือบางทีกับผักชี) และมีแป้งปิ้งที่เรียกว่า จปาตี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อ 03 ก.พ. 12, 16:43
|
|
โควินท์กินอาหารโดยใช้นิ้วหัวแม่มือ และนิ้วชี้กับนิ้วกลาง
เขาใช้มือขวาหยิบอาหารที่มีรสอร่อยอย่างละเล็กน้อย สุมิตรายังมีแกงนำมาราดข้าวให้อีกด้วย
หล่อนรินน้ำเย็นให้เขา นำหมากที่เธอที่เธอห่อเองมาให้ และรินน้ำให้เขาล้างมือ
แล้วเธอก็ไปรับประทานอาหารที่ครัว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
kulapha
มัจฉานุ
 
ตอบ: 96
|
ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อ 03 ก.พ. 12, 21:59
|
|
สวัสดีค่ะ คุณ Wandee
ไม่ได้เข้ามาในบ้านหลังนี้นานมากเลยค่ะ สบายดีนะคะ อ่าน เรื่องแปลเรื่องนี้ นึกถึง นิยายของ คุณมกุฎ อรฤดีเรื่อง ปีกแห่งความฝัน ว่าด้วยสังคมฟุ้งเฟื่องในหมู่ของคนโรคเรื้อนเหมือนกัน
ขอรออ่านจนจบนะคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 7 เมื่อ 04 ก.พ. 12, 06:21
|
|
สวัสดีค่ะ คุณ kulapha ขอต้อนรับกลับ"เรือนไทย" เรามีเรื่องที่ให้ความรู้และให้สนุกสนานมากมาย
ขอบคุณที่แวะมาคุย เรื่องนี้เป็นเรื่องแปลจะว่าเก่าก็คงจะได้แล้วนะคะ
เสน่ห์ของวรรณกรรมมาในหลายรูปแบบ คนที่แต่งเรื่องนี้เป็นแพทย์ และบทประพันธ์แทบทั้งหมดเกี่ยวกับโรคต่าง ๆ
และเรื่องนี้ดูจะเป็นนวนิยายมากกว่าเรื่องอื่น ๆ จะนำประวัติท่านมาลงไว้ตอนจบนะคะ
จะว่าไปแล้วเมืองไทยเราโชคดีนะคะที่ได้อ่านเรื่องแปลมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ เจ้านายไทยและนักเรียนทุนก็
นำหนังสือดีๆกลับมามาก ในเรื่องเปิดโลกการอ่านนี้ญี่ปุ่นช้ากว่าเรามาก เพราะอ่านนิทานและวรรณคดีต่างประเทศกัน
หลังสงครามโลกครั้งที่สองกระมัง ดูจากการ์ตูนสมัยนั้น
จะพยายามเล่าเรื่องและย่อความไปเรื่อยๆนะคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อ 04 ก.พ. 12, 06:41
|
|
โควินท์มาจากครอบครัวชาวนา เติบโตในท้องนา เขาทำการค้าขายอย่างฉลาดรอบคอบ
ชีวิตที่แท้จริงยังพัวพันอยู่กับสิ่งต่าง ๆ ในชนบท แม้กระนั้นโควินท์ก็มักจะใช้ความคิดอย่างลึกซึ้งบ่อย ๆ ตามแบบอย่างบรรพบุรุษ
เขารู้สึกว่าความคิดของเขาประกอบด้วยหลักปรัชญา ซึ่งเขารู้สึกได้ดียิ่งไปกว่าที่จะสรรหาถ้อยคำที่เขารู้เพียงนิด ๆ หน่อย ๆ
มาเรียกให้ตรงตามแบบแผนได้ เขาชอบคิดมากกว่าพูด และบางครั้งโควินท์ก็มีความหลักแหลมและปรัชญาอันลึกซึ้ง
กว่าพวกนักศึกษาเสียอีก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 9 เมื่อ 04 ก.พ. 12, 06:59
|
|
วันหนึ่งลูกค้าคนสำคัญแวะเอาเสื้อมาให้แก้เพราะกระดุมระหว่างเม็ดที่หนึ่งและเม็ดที่สองดึงรั้งมีรอยโป่ง
โควินทร์รีบนำเสื้อไปแก้ให้ทันทีเป็นการเอาใจ พลางเชิญให้ลูกค้าดื่มน้ำชา
โควินท์นั่งบนพื้น เอากรรไกรตัดกระดุมออกแล้วเอาเข็มเกลี่ยเส้นด้ายออกจนหมด เขากะที่ที่จะติดกระดุมใหม่
ให้พอเหมาะแล้วเย็บกระดุมติดเนื้อผ้า เขารีบแทงเข็มลงบนผ้าหนาอย่างรวดเร็ว พอจวนจะเสร็จโควินท์ก็เห็นโลหิตสีแดงจุดหนึ่ง
ปรากฎบนเสื้อขาวตัวนั้น เมื่อพลิกขึ้นดู โควินท์ก็รู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่งที่เห็นว่าเขาได้เย็บปลายนิ้วติดกับผ้าถึงสองเข็ม
มีโลหิตไหลออกจากนิ้วนั้นแต่เขาไม่รู้สึกเจ็บเลย โควินท์หน้าซีดเผือดและชั่วครู่หนึ่งเขารู้สึกไม่สบาย
เขาดึงด้ายที่เย็บติดกับปลายนิ้วออก หยิบเศษผ้าที่วางอยู่กับพื้นมาพันแผล เสร็จแล้วก็พับเสื้อนั้นวางไว้ทางหนึ่ง
พยายามสำรวมกิริยาท่าทางและสีหน้าให้เป็นปกติ และออกไปแจ้งลูกค้าว่าจะส่งเสื้อที่แก้แล้วไปให้ที่บ้านวันรุ่งขึ้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 10 เมื่อ 04 ก.พ. 12, 07:49
|
|
เวลาผ่านไปหลายเดือน โควิท์ส่งภรรยาและลูกไปอยู่ที่บ่านพ่อแม่เธอในชนบทเพื่อคลอดบุตร แล้วกลับมาอยู่ที่ร้าน
เพื่อทำงานต่อไป
เขาคิดเรื่องนิ้วมือที่ชา และเกรงว่าจุดที่ชานั้นจะขยายกว้างออกไป และบางทีอาจจะทำให้เขาเป็นอัมพาตได้ เขาเอื้อมมือ
หยิบเข็มหมุดเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เริ่มเอาปลายเข็มหมุดแทงตามบริเวณผิวหนังที่ชา เขาค่อยๆแทงเข็มไปทีละเล็กน้อย
และได้พบจุดใหม่ ๆ อีกจุดหนึ่งตรงใต้ท้องแขนด้านซ้าย และจุดเล็กๆอีก ๒ - ๓ จุด บนมือขวา เขาตัดสินใจว่าจะไปหาหมอ
แต่เขาไม่ได้ไป เมื่อกลับไปถึงร้านก็มัววุ่นอยู่กับงานจนไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องนี้
ตามปกติช่างตัดผมมาโกนหนวดให้โควินท์วันละครั้ง วันหนึ่งขณะเมื่อเขาโกนหนวดจวนจะเสร็จ เขาดึงใบหูข้างซ้าย
ของโควินท์คลำดู และพิจารณาอย่างใกล้ชิด เปรียบเทียบดูกับใบหูอีกข้างหนึ่ง ต่อจากนั้นก็เอานิ้วมือข้างหนึ่ง
ลากไปตามหน้าผากของโควินท์ ช่างตัดผมใบหน้าซีดเผือดและตกอกตกใจ
"เป็นอะไรไปน่ะ" โควินท์ถาม "ไม่สบายไปรึ?"
ช่างตัดผมคุมสติไว้ แล้วพูดช้า ๆ แบบเคร่งขรึมว่า
"โควินท์ ผมโกนหนวดให้ท่านมาเกือบ ๑๐ ปี แต่เพิ่งได้สังเกตเป็นครั้งแรกว่า ใบหูข้างซ้ายของท่านหนากว่าเคย
ดูเอาเองซิครับ" แล้วช่างตัดผมก็ชูกระจกบานเล็กให้โควินท์ส่องดู
"ดูซิครับ มีก้อนเนื้อเล็ก ๆ อยู่เหนือคิ้วท่าน แต่ก่อนไม่เห็นมีเลยครับ"
โควินท์ยื่นเงินสี่แอนนาให้ช่างตัดผมเป็นค่าโกนหนวด แต่ช่างตัดผมไม่ยอมรับ เขารีบฉวยถุงใส่ของแล้วเดินไปที่ประตู
ในดวงตามีน้ำตาคลอ
"ผมจะไปต่างจังหวัดคืนนี้และมะรืนนี้จะมาโกนหนวดให้ท่านไม่ได้ และคงไม่ได้มาอีกหลายวัน ขอพระทรงมีเมตตาต่อท่านด้วย"
ชายผู้นั้นเดินไปตามถนนอย่างเร่งร้อน ขณะที่โควินท์มองดูเขาทราบว่าชายชราพูดปดเรื่องจะไปต่างจังหวัด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 11 เมื่อ 04 ก.พ. 12, 09:50
|
|
ขออนุญาตปาด ครับ
มาลงชื่อติดตามอ่านด้วยความสนใจ นึกถึงช่วงเวลาหนึ่งที่เคยได้ใช้ชีวิต เกี่ยวข้องในแวดวงผู้ป่วยโรคนี้ ยังพอมีความรู้เกี่ยวกับโรคนี้ติดค้างอยู่บ้าง ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
กระต่ายหมายจันทร์
พาลี
   
ตอบ: 284
ศศ (สะสะ) แปลว่ากระต่ายและกวาง
|
ความคิดเห็นที่ 12 เมื่อ 04 ก.พ. 12, 11:09
|
|
มาลงชื่อรอตามอ่านค่ะอาจารย์วันดี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 13 เมื่อ 04 ก.พ. 12, 11:56
|
|
เชิญคุณศิลา ปาด และฟาดฟัน ตามปรารถนาเทอญ เพราะอ่านเรื่องนี้แล้วตั้งหลายสิบปีนึกว่านวนิยายค่ะ
ไม่นึกเลยว่าแพทย์เขียนเพื่อประกาศว่าโรคร้ายแรงในเมืองร้อนนั้น มีการพัฒนาอย่างไร และรักษาอย่างไร
หวลคิดถึงมิชชันนารีต่างๆที่เข้ามารักษาผู้คนในสยามบ้านเรา นึกสรรเสริญใจรอน ๆ อยู่เสมอค่ะ
นึกถึงจิตใจของโควินท์ที่เผชิญกับโรคร้ายที่สังคมรังเกียจ ธุระกิจที่พังทลาย ลูกน้องที่ค่อย ๆ หายหน้าไป
สวัสดีค่ะคุณกระต่ายหมายจันทร์
ขอบคุณที่กรุณาติดตาม และแวะมาแจ้งด้วย สมัยก่อนอ่านนวนิยายแล้วก็ฮือฮาในใจว่าเรื่องราวช่างประหลาดมหัศจรรย์
อะไรอย่างนั้น เห็นโลกน้อยไปค่ะ ดูแผนผังสกุลดังๆก็ผ่านตาไปว่ามีเมียมีลูกกี่คน ไม่ได้คำนึงว่าแต่ละคนก็มีบิดามารดา
มีชีวิตในประวัติศาสตร์ รับรองว่ากระทู้นี้ยืดแน่นอนค่ะ แบบบรรจงลอกเรื่องที่บีบคั้นหัวใจอย่างแรง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 14 เมื่อ 04 ก.พ. 12, 12:41
|
|
วันหนึ่งโควินท์นั่งพูดอยู่กับลูกจ้างในร้าน เขาก็ได้กลิ่นเนื้อไหม้ พอเหลียวไปดูเขารู้สึกตกใจอย่างยิ่ง
เพราะเท้าซ้ายที่พาดไปถูกเตารีดใหญ่ที่มีถ่านแดง ๆ ลุกเต็ม นิ้วเท้ากำลังไหม้ไฟ แต่เขาหารู้สึกเจ็บไม่
โควินท์ชักเท้ากลับมาพิจารณาดู เท้าของเขาถูกไฟไหม้อย่างฉกรรจ์
โควินท์ไปหาหมอทำแผล หมอแนะนำให้เขาไปตรวจโรค เมื่อใบตรวจโรคกลับมาถึง เสมียนที่ร้านก็แสดงอาการดูถูก
อย่างมาก โดยกวาดเงินเหรียญเอาไว้บนกระดาษแผ่นหนึ่ง และรวบกระดาษยัดใส่ลิ้นชักโดยมิได้แตะต้องเงินเหรียญ
พอโควินท์ยื่นใบตรวจโรคให้ เสมียนก็ส่งเสียงร้องราวกับถูกจี้ด้วยมีด
"เอาไปเสีย เขยิบออกไปห่าง ๆ อย่ามาใกล้นะ คิดหรือว่าชั้นจะแตะต้องอะไรที่แกจับแล้ว"
เขาพูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า
"ถ้าอยากรู้จะบอกให้สิ้นเรื่องสิ้นราวเสียที ใบตรวจโรคนั้นบอกว่าแกเป็นโรคเรื้อน โรคนี้กระจายไปทั่วตั้งแต่ศีรษะ
จนถึงปลายเท้า และติดต่ออย่างร้ายแรง โรคเรื้อน... แกเข้าใจไหม? ..... มหาโรค โรคที่น่ารังเกียจ คราวนี้รู้ละซี
แกเป็นโรคเรื้อนดีๆนี่เอง.....เป็นเหมือนขยะที่บูดเน่า ฉันควรจะโยนเงินให้สักแอนนาจะได้รู้แล้วรู้รอดๆไป เสียดายที่ไม่มีเงิน"
โควินท์ตกใจจนตัวชา เขาไม่สามารถจะเคลื่อนไหว พูด หรือคิดอะไรได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|