ยินดีต้อนรับคุณN.S.ครับ
เข้ามานั่งข้างในแล้วร่วมอภิปรายได้เลยครับ
อย่าเกาะประตูนาน เดี๋ยวประตูของเขาจะพังไป
ขออนุญาตท่านอาจารย์ใหญ่
ในการรบไม่ว่าแบบไหน ชัยชนะคือเป้าหมาย ส่วนแผนย่อมเปลี่ยนได้เสมอ ตามสถานการณ์ที่อาจฉุกเฉินขึ้นมาเมื่อใดก็ได้
ถ้าหากว่าพลเอกพร ทำตามคำสั่งเปี๊ยบ แล้วเกิดแพ้ฝ่ายฝรั่งเศสขึ้นมา พลอยให้ที่มั่นอื่นๆล้มเป็นโดมิโนกันหมด อะไรจะเสียหายกว่ากัน
พลเอกพร ตอนนั้นท่านเป็นนายทหารชั้นผู้น้อย ยศต่ำสุดในระดับสัญญาบัตรคือว่าที่ร้อยตรี อยู่ใต้บังคับบัญชาของท่านขุนนิมฯ ท่านก็ทำตามคำสั่งท่านขุนนิมเปี๊ยบ หาที่บกพร่องมิได้ การแพ้หรือชนะ เป็นความรับผิด-รับชอบของผู้บังคับบัญชา ท่านเป็นเพียงหางแถว จะถูก จะผิดก็แค่เลขท้ายสองตัว
ทหารนั้นถือวินัยอย่างเคร่งครัด คำสั่งผู้บังคับบัญชานั้น ไม่มีสิทธิ์วิจัยวิจารณ์ว่าผิดหรือถูก ควรหรือมิควร ต้องปฏิบัติตามสถานเดียวจะหลีกเลี่ยงมิได้ โดยเฉพาะในระหว่างศึกสงคราม ผู้ใดละเมิด กฏอัยการศึกระบุโทษสูงสุดไว้ถึงประหารชีวิต
เรื่องคำสั่งต้องเป็นคำสั่งนี้ ทหารมักยกเรื่องในพงศาวดารนี้เป็นอุทาหรณ์
“…..มีพระราชโองการตรัสปรึกษาด้วยท้าวพระยาเสนาบดีมนนตรีมุขทั้งหลายว่า พระยาแสนหลวงเจ้าเมืองเชียงใหม่คิดอ่านล่อลวงเป็นหลายครั้ง ยังมิหนำซ้ำกลับแข็งเมืองต่อรบอีกเล่า แลจะละพระยาแสนหลวงไว้นั้นมิได้ จำจะยกพยุหโยธาทหารไปตีเอาเมืองเชียงใหม่ให้จงได้ จะเห็นเป็นประการใด
ท้าวพระยาเสนาบดีมนตรีมุขทั้งหลาย ก็เห็นพร้อมโดยพระราชดำรินั้น สมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ก็มีพระราชดำรัสให้จัดกองทัพพลฉกรรจ์สี่หมื่น ช้างเครื่องสองร้อย ม้าสี่ร้อย สรรพด้วยเครื่องสรรพาวุธ ปืนใหญ่น้อย กระสุนดินประสิวให้พร้อมไว้
แลดำรัสให้หานายปานผู้น้องเจ้าพระยาโกษาธิบดีอันถึงแก่อนิจกรรม ซึ่งรับอาสาออกไปได้ราชการ ณ เมืองฝรั่งเศสนั้น เข้ามาเฝ้าแล้วก็มีพรราชโองการตรัสเหนือเกล้า โปรดให้นายปานเป็นเจ้าพระยาโกษาธิบดี แลทรงพระกรุณาดำรัสว่า
“ ขุนเหล็กพี่ท่านซึ่งถึงแก่มรณภาพนั้น ชำนิชำนาญในการอันเป็นแม่ทัพ แลบัดนี้เราจะให้ท่านเป็นที่เจ้าพระยาโกษาธิบดี แลจะให้เป็นแม่ทัพแทนพี่ชาย ไปตีเมืองเชียงใหม่ยังจะได้หรือมิได้ “
เจ้าพระยาโกษาปานจึ่งกราบทูลพระกรุณาว่า
“ ข้าพระพุทธเจ้าจะขอลองศึกดูก่อน แลจะขอรับพระราชทานพระราชอาญาสิทธิ์เหมือนพระโองการนั้น ถ้าแลเห็นจะทำสงครามได้แล้ว ก็จะขออาสาไปตีเมืองเชียงใหม่ทูลเกล้าถวายให้จงได้ “
สมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวได้ทรงฟังดังนั้น ก็ชอบพระทัยในถ้อยคำเจ้าพระยาโกษากราบทูลนั้น ทรงพระโสมนัสดำรัสสรรเสริญสติปัญญาเป็นอันมาก แลทรงพระกรุณาพระราชทานพระแสงดาบต้นอันทรงอยู่นั้น ให้แก่เจ้าพระยาโกษาธิบดี เพื่อจะให้สิทธิ์ขาดพระราชอาญาสิทธิ์
แลโปรดพระราชทานให้รับพระโองการดั่งนั้น แล้วดำรัสอนุญาตว่า ท่านจงไปลองศึกดูตามความปรารถนาเถิด
เจ้าพระยาโกษาจึ่งรับพระราชทานพระแสงดาบแล้ว ก็กราบถวายบังคมลาออกมายังศาลาลูกขุนใน จึ่งสั่งมหาดไทยกลาโหม ให้แจกพระราชกำหนดข้าทูลละอองทุลีพระบาททั้งหลาย ฝ่ายทหาร พลเรือน กะเกณฑ์พลสามพัน ให้ยกไปตั้งค่ายตำบลที่ใกล้พะเนียดโดยกว้างสามเส้น โดยยาวสามเส้นสิบวา
แลให้ตัดไม้ไผ่มาตั้งค่ายเอาปลายปักลงให้สิ้น ขุดมูลดินเป็นสนามเพลาะ ปักขวากหนามตามธรรมเนียมพร้อมเสร็จ ให้สำเร็จแต่วันพรุ่งรุ่งแล้วสามนาฬิกา ถ้าแลเราไปเลียบค่าย หน้าที่ผู้ใดไม่สำเร็จในเพลานั้น ก็จะลงโทษแก่ผู้นั้นถึงสิ้นชีวิต
เจ้าพระยาจักรี กลาโหม แลท้าวพระยาข้าราชการทั้งหลาย ได้แจ้งพระราชกำหนดดังนั้น ก็สะดุ้งตกใจกลัวยิ่งนัก ต่างคนต่างเร่งกะเกณฑ์กันทุกหมู่ทุกกรมในวันนั้น ได้พลมาสามพันแล้วก็ให้ไปตัดไม้ไผ่อันจะมาทำเป็นเสาค่ายนั้นคนละสองท่อน แล้วก็ยกขึ้นไปยังที่ใกล้พะเนียด แบ่งปันหน้าที่กันตั้งค่ายแต่ในเพลากลางคืน
วันนั้นทุกหมู่ทุกกรม แลปักเสาเอาปลายลงดินเอาต้นขึ้นสิ้น ชิดกันเป็นถ่องแถวแต่เบื้องบน เบื้องล่างนั้นห่างกันไปเป็นอันมาก แลกระทำการทั้งปวง พอรุ่งก็สำเร็จ
ในขณะนั้นขุนหมื่นเจ้าหน้าที่ผู้หนึ่ง เห็นเชิงค่ายทั้งหลายห่างกันนักจึ่งปักกลับเอาต้นลงดิน แทรกเข้าเสาหนึ่งในระหว่างอันห่างนั้น แล้วว่าแต่ก่อนเขาทำมาดังนี้ แลซึ่งเอาปลายปัก ลงดินนี้ มิเคยเห็นทำมาแต่ก่อน
จึ่งเจ้าพระยาโกษาก็สั่งแก่เจ้าพนักงานทั้งหลาย ให้ตระเตรียมราชพาหนะแลเครื่องขัตติยราชาบริโภคทั้งปวง ไว้รับโดยทางชลมารค สถลมารค พร้อมเสร็จแล้ว ครั้นรุ่งเช้าแล้วเพลาสามนาฬิกา เจ้าพระยาโกษาธิบดี ก็ลงสู่เรือพระที่นั่ง นพรัตนพิมานกาญจนอลงกต มหานาวาเวไชยันต์ อันอำไพไปด้วยเศวตฉัตรพัดโบกจามร บังพระสุริเยนทร์บังแซกแซงสลอนสลับ สรรพด้วยอภิรุมชุมสายพรายพรรณ กลดกลิ้งกันชิงมาศดาษดา ดูมโหฬารเลิศพันลึกอธึกด้วยเรือกัน แลเรือท้าวพระยาข้าราชการทั้งหลายรายเรียงขนัด โดยขบวนพยุหยาตราหน้าหลังพร้อมเสร็จ ก็เหมือนสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอันเสด็จพระราขดำเนินนั้น
ครั้นได้ศุภฤกษ์ก็ให้ลั่นฆ้องชัยประโคมแตรสังข์ ดุริยางคดนตรีสนั่นกาหลกึกก้องกลองชนะ โครมครื้นเพียงพื้นนทีธารจะทำลาย ให้ขยายพยุหยาตราคลาเคลื่อนเลื่อนตามขบวน แห่แหนแน่นไปโดยชลมารค ตราบเท่าถึงที่ประทับตำบลเพนียด
เจ้าพระยาโกษาธิบดีก็ขึ้นจากเรือพระที่นั่ง สถิตยังพลับพลาอันเป็นที่ราชาอาสน์เดียรดาษด้วยท้าวพระยาทั้งปวง แวดล้อมโดยซ้ายขวาหน้าหลัง แล้วก็ขึ้นขี่ช้างพระที่นั่ง บรมราชคชาธารสารตัวประเสริฐ เพริดพร้อมด้วยเครื่องสูงแลธงฉานธงชัย ดูไสวไพโรจน์ด้วยท้าวพระยาเสนาบดี พริยโยธาหารแห่เป็นขนัด โดยขบวนบรมราชพยุหยาตราสถลมารค เลียบค่ายไป
จึ่งเห็นไม้เสาลำหนึ่งปักเอาต้นลงดิน ก็ให้หาตัวเจ้าหน้าที่นั้นเข้ามาแล้วจึ่งถามว่า ท่านกระทำดั่งนี้จริงหรือ
เจ้าหน้าที่กราบเรียนว่าจริง เจ้าพระยาโกษาจึ่งว่า
“ ตัวท่านละเมิดมิได้ทำตามพระราชโองการแห่งเรา โทษท่านถึงตาย “
แล้วก็ให้ประหารชีวิตเสีย แลให้ตัดเอาศรีษะเสียบไว้ที่ปลายไม้เสาค่ายลำนั้น แล้วก็คืนลงสู่เรือพระที่นั่งกลับเข้ามายังพระราชวัง
เจ้าพระยาโกษาทำครั้งนั้นเพื่อให้คนทั้งหลายเข็ดขาม คร้ามอำนาจอาญาสิทธิ์ขาด ในราชการงานสงครามครั้งนั้น
ครั้นมาถึงพระราชวังก็ขึ้นเฝ้าสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว ถวายพระราชโองการอาญาสิทธิ์ และพระแสงดาบคืนเสีย แล้วก็กราบทูลแถลงการทั้งปวงซึ่งไปลองศึกนั้นให้ทราบสิ้นทุกประการ
แล้วบังคมทูลพระกรุณาขออาสาไปตีเอาเมืองเชียงใหม่มาทูลถวาย
จึ่งพระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ได้ทรงฟังดั่งนั้น ก็ทรงโสมนัสดำรัสสรรเสริญเจ้าพระยาโกษาเป็นอันมาก แล้วก็มีพระราชโองการตรัสเหนือเกล้า โปรดให้เจ้าพระยาโกษาธิบดีเป็นแม่ทัพหลวง แลให้พระยาวิชิตภักดีเป็นยกกระบัตร พระยาสุรินทรภักดีเป็นเกียกกาย พระยาสีหราชเดโชเปแนกองหน้า พระยาสุรสงครามเป็นกองหลัง ถือพลช้างม้าพลานิกรเดินเท้าทั้งหลาย ยกขึ้นไปตีเอาเมืองเชียงใหม่…….”เรื่องการฝ่าฝืนคำสั่งผู้บังคับบัญชาของท่านขุนนิมฯนั้น หากถามทหารคนใดว่าผิดวินัยไหม ร้อยทั้งร้อย ไม่เฉพาะพลเอกพรก็ต้องบอกว่าผิด จะว่าว่าถูกไปไม่ได้ ขุนนิมฯเองท่านก็ยอมรับ
แต่ถามว่าท่านทำถูกไหม ร้อยทั้งร้อยก็ต้องบอกว่าทำถูก เสธฯพรท่านก็บอกว่าขืนอยู่ที่เดิมละก็ตายแน่ๆ
ผมเห็นว่า ขุนนิมฯท่านมีความเสียสละอย่างใหญ่หลวง การตัดสินใจของท่าน ถ้าพลาด หากไม่ตายเพราะลูกปืนของข้าศึกก็อาจตายด้วยลูกปืนที่พระธรรมนูญทหารจัดให้
หากชนะหรือเสมอ ความผิดของท่าน ก็ขึ้นอยู่กับความเมตตาของผู้บังคับบัญชา
บังเอิญโชคเข้าข้าง ชัยชนะของท่านใหญ่หลวงเสียจนความผิดทางวินัยกลายป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยไป