เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33477
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 15 เมื่อ 21 เม.ย. 01, 18:34
|
|
พร้อมๆกับการอาบน้ำกลางแจ้งหมดไป การแต่งกายแบบกระโจมอกก็หมดไปด้วยค่ะ เพราะไม่จำเป็นแล้ว อย่าว่าแต่กระโจมอกเลย มีสาวๆคนไหนในที่นี้นุ่งผ้าถุงอยู่บ้านกันบ้างคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นกข.
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 16 เมื่อ 21 เม.ย. 01, 19:39
|
|
ยังติดใจเรื่องที่ลงพระบังคน ที่ว่า แต่ก่อนมีในวังได้เท่านั้น ชาวบ้านให้ใช้เว็จหรือเข้าป่าเอา
ผมรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเคยอ่านเจอที่ไหนไม่ทราบ ว่าในสมัยโน้นๆๆๆ ใครก็ไม่ทราบคนหนึ่ง สร้างส้วมที่บ้านเป็นเรื่องเป็นราวสวยงามดีกว่าส้วมธรรมดา เกิดเป็นเรื่องเลยครับ บทพระอัยการ คือกฏหมายสมัยโน้น ท่านว่าเป็นความผิดเข้าลักษณะกบฏ ทำเทียมเจ้านาย แต่จำรายละเอียดไม่ได้เสียแล้ว
เรื่องส้วมของนางในนางสนม ดูเหมือนจะมีคำเรียกว่าสรีรสำราญ และคำนี้ไปเกี่ยวกับอุโมงค์ ที่คุณเทาชมพูเล่ามาด้วย จำไม่ได้ว่าเป็นชื่ออุโมงค์นั้น หรือชื่อประตูวังที่ออกไปอุโมงค์ หรืออะไร จำได้กระปริบประปรอยอีกว่า สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นมีกวีหญิงที่มีชื่อ 2 คน คนหนึ่งคือคุณพุ่ม อีกคนคือคุณบุษบาท่าเรือจ้าง ใครสักคนหนึ่งใน 2 คนนี้แหละครับที่แต่งกลอนเรื่องหม่อมเป็ดสวรรค์ เป็นเรื่องตลกพูดถึงนางในคนหนึ่งชื่อหม่อมเป็ดสวรรค์นะครับ มีพฤติกรรมต่างๆ แล้วก็มีตอนหนึ่งที่หม่อมเป็ดเธอท้องเสียเพราะทานข้าวเหนียวบูดด้วย แต่จำไม่ได้แน่ว่าได้พูดถึงอุโมงค์ส้วมนางในด้วยหรือเปล่า
พูดเรื่องนี้แล้วก็คิดต่อไปได้อีกหลายเรื่อง ว่าถึงนิสัยการขับถ่ายของไทยกรุงเทพฯ สักเมื่อ 60-70 ปีมานี้ ผมนึกถึงเรื่องสั้นชวนหัวเรื่อง สุนทรพจน์เปิดส้วมสาธารณะ ของคุณตาอบ ไชยวสุ " ฮิวเมอริสต์" ในเรื่องนั้นท่านบันทึกเกร็ดเกี่ยวกับส้วมในสมัยโน้นไว้ด้วยอารมณ์ขันหลายเรื่อง อ่านแล้วทำให้นึกต่อไปว่าแม้เมื่อไม่กี่สิบปีมานี้เอง ส้วมทั้งของสาธารณะและส้วมในบ้านก็ยังไม่ค่อยแพร่หลาย คนไทยที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไร ก็ยังอาศัยส้วมสาธารณะเท่าที่มีบ้าง โคนต้นไม้ ลำคลอง ที่โล่งๆ อย่างสนามหลวงบ้าง แม้กระทั่งป่ารกๆ รอบองค์เจดีย์ภูเขาทองบ้าง เป็นที่ถ่ายทุกข์ ตามธรรมดาของเรื่องตลกก็คงจะเกินจริงไปบ้าง ที่ท่านบอกไว้ทำนองว่า ส้วมหายากพอๆ กับสถานทูตนั่นเทียว หรือว่ามีแต่สถานทูตจึงจะมีส้วมที่เป็นเรื่องเป็นราว เพราะท่านเขียนเป็นโจ๊กว่า ชาวฝรั่งในเมืองไทยนั้นเวลาปวดท้องขึ้นมาก็ยังไปถ่ายที่สถานทูตของตัวได้ แต่ชาวเจ๊ก(สมัยนั้นคำนี้ยังไม่ได้มีนัยเชิงดูถูกมากนัก) ซึ่งมีสัมพันธไมตรีกับไทยแนบแน่นสนิทจนไม่มีสถานทูต (สมัยนั้นไม่มีสถานทูตจีนที่กรุงเทพฯ จริงๆ) กับชาวไทยซึ่งไม่มีสถานทูตของไทยเองในเมืองไทย สองชาวนี้เวลาปวดท้องขึ้นมาก็ไม่รู้จะไปไหน ครั้นจะรีบเดินทางออกไปถ่ายที่สถานทูตของตนในต่างประเทศก็เกรงว่าจะไม่ทันเวลา และจะกลายเป็นความยุ่งยากว่า จะต้องเดินทางไปต่างประเทศทุกเช้าด้วย... ดังนั้นเทศบาลจึงต้องสร้างส้วมสาธารณะแห่งใหม่นี้... ผมจำได้ว่าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วหัวเราะเป็นบ้าอยู่คนเดียว สมัยนี้ ใครไปต่างประเทศแล้วเกิดหาห้องน้ำเข้าไม่ได้เอาจริงๆ จะขอไปเข้าห้องน้ำที่สถานทูตไทย ผมว่าเจ้าหน้าที่เขาก็คงเห็นใจให้เข้าหรอกครับ สถานทูตถือเป็นบ้านคนไทยในต่างแดนอยู่แล้ว เรื่องนี้เป็นกรณีฉุกเฉินที่น่าเห็นใจ
ไม่กี่ปีมานี้เคยมีข่าวนักประดิษฐ์ไทย ประดิษฐ์ส้วมชักโครกแบบใหม่ ให้ชื่อว่าส้วมเทวดา แต่ผมจำไม่ได้แล้วว่ารายละเอียดเป็นอย่างไร
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นกข.
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 17 เมื่อ 21 เม.ย. 01, 19:48
|
|
ทำไมส้วมในวัดจึงเรียกว่า ถาน ครับ ตัดมาจาก สถาน? หรือ กลายมาจาก ฐาน? แต่ที่แน่ๆ ครูสอนว่าไม่ให้เขียนว่าฐาน ให้เขียนว่า ถาน ถ้าจะให้หมายถึงส้วนของพระ แต่ครูไม่ได้อธิบายและผมตอนนั้นก็ไม่ได้ถาม ว่ามีที่มายังไง
เคยอ่านหนังสือว่า สมัยพระนางซูสีไทเฮา เครื่องสุขภัณฑ์ที่พระนางใช้ในรถไฟพระที่นั่งได้รับการออกแบบจัดทำมาอย่างดีเป็นพิเศษ ลักษณะเป็นที่นั่งใหญ่ๆ มีเบาะมีพนักพิงให้สบาย มีการประดับประดาตกแต่งให้สวยพิเศษ แล้วก็มีกระโถนหรือถังอยู่ข้างในนั้น ตามหนังสือว่า ถังที่ว่านั้นใส่ปรอทหล่อเอาไว้เต็ม ไม่ใช่น้ำ คงจะกันกลิ่น แต่สงสัยว่าสมัยนั้นคงไม่รู้เรื่องพิษของปรอทกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33477
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 18 เมื่อ 21 เม.ย. 01, 20:56
|
|
เรื่องที่ลงพระบังคน มีแต่พระเจ้าแผ่นดิน อยู่ในขุนช้างขุนแผนค่ะ ขุนช้างใส่ความขุนแผนว่าเป็นกบฎต่อพระพันวษา ข้อหาหนึ่งในจำนวนนั้นคือซ่องสุมผู้คนและบังอาจทำส้วมไว้ในที่อยู่
ฝรั่งเศสมีโถปัสสาวะของผู้หญิงเรียกว่า bidet มารีอังตัวแน็ตต์เอา bidet ติดตัวไปด้วยตอนถูกนำตัวไปขังคุกก่อนประหาร
กระโถนแก้วที่คุณจ้อเห็นเป็นคงเป็นของฝรั่ง ไม่ใช่ไทย สมัยรัชกาลที่ ๕ ใช้สุขภัณฑ์แบบวิกตอเรียนค่ะ เจ้านายสตรีใช้กระโถนเคลือบ
อุโมงค์ปลดทุกข์ในเขตพระราชฐานชั้นในมีชื่อเป็นทางการหรือเปล่าไม่ทราบ แต่ปากทางอีกข้างหนึ่งทอดไปสู่แม่น้ำเจ้าพระยา
หม่อมเป็ดสวรรค์เธอท้องเสียอย่างที่ว่า...วิ่งไปไม่ทันอุโมงค์ค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นกข.
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 19 เมื่อ 21 เม.ย. 01, 21:21
|
|
bidet เทียบกับของสมัยนี้หรือสมัยเมื่อไม่นานมานี้เมื่อกรุงเทพฯ ยังรถติดเป็นบ้ามากอยู่ (เดี๋ยวนี้ได้ข่าวว่ารถก็ยังติด แต่ติดเป็นบ้าน้อยลงหน่อย) - ก็คือ Comfort 100
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
อำแดงริน
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 20 เมื่อ 21 เม.ย. 01, 21:42
|
|
เรื่องส้วมนี้ที่แปรรูปเป็นส้วมซึมกันแพร่หลาย ต้องยกให้เป็นความดีของกระทรวงสาธารณสุขค่ะ เขารณรงค์ให้มีส้วมใช้ทุกบ้าน อาศัยที่มี หน่วยงานระดับสถานีอนามัยใกล้ชิดประชาชน เลยทำได้ เมื่อ8-9ปีก่อน รับราชการอยู่ชายแดนสวนผึ้ง ยังเห็นเจ้าหน้าที่หล่อหัวส้วมกันเลยค่ะ คือยังต้องส่งเสริมกันอยู่ในแถบที่ห่างไกล แต่เดี๋ยวนี้ไม่รู้ว่ามีครบทุกบ้านแล้วหรือยัง
ส้วมซึมแบบราดน้ำนี้คิดค้นโดย พระยานครพระราม...จำชื่อท่านไม่ได้ค่ะ ทราบแต่ว่านามสกุลมหากายี
ขอบคุณสำหรับเสภาที่คุณแจ้งเอามาฝากค่ะ อันที่จริงเคยอ่านตอนเด็กๆ ทั้งเล่มเลย แต่มันกาลนานเหลือเกินเลยนึกไม่ค่อยออก ^_______^
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
B
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 21 เมื่อ 22 เม.ย. 01, 00:13
|
|
hae...hae...Khun Taochompoo ka, I am wearing "ผ้าถุง" ka. : )
I have 2 ankle-length skirts in CA. ka.
One day in BKK., a saleman asked me, "If Khun-poo-ying and Khun-poo-chai are home?" And one of my father friends told my parents that when he stopped by at our place, he met "my sister's nannie" ka.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33477
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 22 เมื่อ 22 เม.ย. 01, 08:10
|
|
ผ้าถุง ที่นุ่งกันมาตั้งแต่รัชกาลที่ ๖ ในปัจจุบันนี้นิยมกันแพร่หลาย ก็แต่ละครทีวี ในบทเมียกำนัน หรือแจ๋วในบ้านพระเอกนางเอก แต่งเป็นยูนิฟอร์ม อ้อ บทนางเอกตอนปลอมตัวไปเป็นแจ๋วในบ้านพระเอกอีกอย่างค่ะ
คุณ B มีผ้าถุงจริงๆหรือว่าเป็นกระโปรงสำเร็จตัวยาวแค่ข้อเท้าคะ? ผ้าถุงหมายถึงเย็บตะเข็บติดกัน เป็นถุงเหมือนปลอกหมอน แล้วพันตัวเหน็บเอวไว้นะคะ ไม่ใช่กระโปรงยาวแคบ มีตะขอและซิป อย่างนั้นดิฉันก็มีค่ะ นุ่งเข้าชุดกับเสื้อแขนกระบอกเรียกว่าชุดไทย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
B
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 23 เมื่อ 22 เม.ย. 01, 09:23
|
|
ผ้าถุงจริงๆ ka. I do not know how should I use in English for ผ้าถุง. But for what I have we call them "Pa-pa-teh" ka.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
B
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 24 เมื่อ 22 เม.ย. 01, 09:26
|
|
I have a question ka Khun Taochompoo, I am wondering that what women used for the sanitary napkin in the past?
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นวล
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 25 เมื่อ 22 เม.ย. 01, 10:05
|
|
จากคำถามของคุณ B ขณะนี้ เรากำลังย้ายจากหัวข้อ Sanitation เข้าสู่ Personal Hygiene........ อิ อิ อิ ขอเดาว่า เศษผ้า ค่ะ
พูดถึงเรื่องผ้าซิ่นนั้น อิฉันว่าการนุ่งผ้าซิ่นแบบของลาวนั้น (ยาวครึ่งน่อง) ดูจะทะมัดทะแมงดีกว่าของไทย (ยาวถึงข้อเท้า) แม้ว่า ของไทยจะดูเป็นเรียบร้อยกว่าก็ตาม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
แม่ยกเจ้าเก่าค่ะ
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 26 เมื่อ 22 เม.ย. 01, 12:10
|
|
อิฉันยังไม่แก่นะคะ ตามมาแจมค่ะ ยังนุ่งผ้าถุงเป็นนะคะ แบบปลอกหมอนกว้างๆที่ว่า แล้วมีเข็มขัดเงินคาดนั่นแหละค่ะ ผ้าถุงแบบนี้ อ้วนผอม ขึ้นๆลงๆ ไม่ค่อยมีปัญหานะคะ ตอนอยู่โรงเรียนประจำแบบไทยๆ ยังต้องใช้นุ่งกระโจมอกอาบน้ำนะคะ แต่จะคนละเทคนิคกะที่คุณแจ้งเล่ามาค่าา นุ่งกระโจมอกอาบน้ำเป็น ทั้งๆที่ไม่เคยอยู่ริมคลองนะคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33477
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 27 เมื่อ 22 เม.ย. 01, 12:26
|
|
ตอบคุณ B ที่คุณนุ่งเห็นจะเรียกว่าโสร่งปาเต๊ะ มั้งคะ ส่วน personal hygeine อย่างคุณนวลว่า ใช้ผ้าค่ะ ฉีกออกจากผ้าผืนใหญ่เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าแล้วพับทะแยงมุมเข้าเป็นทบแคบๆ กลัดหัวท้ายติดกับผ้านุ่ง เสร็จแล้วซักให้สะอาด ตากแห้ง รีไซเคิลใช้ใหม่ได้ค่ะ สมัยก่อนเขาถึงมีศัพท์ว่า "ขี่ม้า" ยังไงล่ะคะ
คุณแม่ยก จะถามต่อถึงขั้นตอนก็เกรงใจ จะกลายเป็นสาธิตเรทอาร์ไป แต่ถ้าจะเล่าก็ขอบคุณมากค่ะ ดิฉันไม่เคยนุ่งเลยค่ะ ไม่ว่าอาบน้ำหรือโอกาสไหน เลยนึกไม่ออกว่าเขาถูตัวกันยังไง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
แม่ยกเจ้าเก่าค่ะ
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 28 เมื่อ 22 เม.ย. 01, 14:13
|
|
คุณเทาชมพู เจ้าขา อิฉันขอเวลา ไปพิมพ์ข้างนอกนะคะ เกรงว่าพิมพ์ไป คิดไปตรงนี้ ประเดี๋ยวจะติดเรทจริงๆเข้าค่ะ พวกเรา นักเรียนประจำ ไม่มีห้องส่วนตัวนะคะ เทคนิคมากมายค่ะ นุ่งผ้า ผลัดผ้า เปลี่ยนชุดนอน วีาย .. อายค่ะ แต่จะพยายามมาเล่าต่อนะคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
อำแดงริน
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 29 เมื่อ 22 เม.ย. 01, 20:21
|
|
แสดงว่าหญิงไทยก็"ขี่ม้า"เป็นกันมาแต่โบราณ แล้วสิคะ ^___^
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|