เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1] 2
  พิมพ์  
อ่าน: 6229 ในน้ำท่วมมีน้ำใจใสสะอาด ของคุณ Pichaya Fitts
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
 เมื่อ 22 พ.ย. 11, 11:34

คุณ Pichaya Fitts เล่าเรื่องนี้ไว้ใน Facebook ของเธอ  อ่านแล้วเห็นมุมหนึ่งของน้ำท่วม เป็นประสบการณ์ที่เธอเล่าไว้ได้แจ่มแจ้งชัดเจน  ได้ภาพและได้อารมณ์

ก็เลยขออนุญาตนำมาลงในเรือนไทย ให้อ่านได้ทั่วๆกัน
คุณพิชญาอยู่ในกรุงเทพ  แต่บ้านคุณพ่อคุณแม่อยู่ที่พุทธมณฑล แหล่งน้ำท่วมหนักระดับแถวหน้าของชานเมือง
เธอเดินทางอย่างทรหดกลับไปดูบ้าน    บันทึกไว้ทุกจังหวะของการเดินทาง  เห็นภาพเหมือนเราโดยสารตามเธอไปด้วย

******************
แดดยามบ่ายส่องหัวจนร้อนจ้า จะหันหน้าหนีแดดก็จนใจ เพราะอีกทิศทางเดียวที่หันไปได้นั้นมันคือที่ตั้งของท่อไอเสียของรถบรรทุกพื้นเรียบคันที่เราเกาะหลังมา ซึ่งก็คอยพ่นน้ำจากพื้นที่ข้างล่างที่หลุดรอดเข้าไปในท่อออกมาไม่ได้หยุด หนุ่มสาวที่ยืนเกาะหลังรถอยู่ทุกคนจึงได้สัมผัสความเย็นของน้ำที่โปรยปรายลงมาเป็นสายราวกับฝักบัวในห้องอาบน้ำกันอย่างทั่วถึง ถ้าน้ำมันสะอาดเราก็คงไม่รีรอที่จะหันหน้าหลบแดดไปทางนั้นหรอก แต่นี่มันน้ำใกล้เน่าน่ะสิ แถมอะไรต่อมิอะไรที่ลอยมากับน้ำ...อึ๋ยยย

โชคดีของเราที่ยืนอยู่ใกล้ประตูรถด้านตรงข้ามกับคนขับมากที่สุด พอผู้โดยสารที่นั่งหน้าสุดลงจากรถ เราเลยได้โอกาสปีนขึ้นไปนั่งข้าง ๆ คนขับ หนีทั้งแดดและน้ำได้ในเวลาเดียวกัน

“นี่พี่ขับมาจากไหนคะ แล้วตกลงจะไปไหนเนี่ย” เราถามคนขับ
“มาจากปทุม ต้องเอาของหลังรถเนี่ยไปส่งที่สามพราน” เขาตอบ
“แล้วทำไมมาเส้นนี้ล่ะ” เราซักด้วยความสงสัย

“ก็ออกพระราม 2 ไปแล้ว แต่พอถึงแถวเพชรเกษมเห็นน้ำมันท่วม เลยลองเสี่ยงมาทางเส้นปิ่นเกล้า-นครชัยศรีดู เผื่อระดับน้ำมันจะน้อยกว่า ที่ไหนได้ล่ะ นี่จะออกจากที่นี่ยังไงยังไม่รู้เลย” คนขับว่า


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 22 พ.ย. 11, 11:35

น้ำท่วมในเขตปริมณฑลด้านตะวันตกของกรุงเทพฯ มาเดือนกว่าแล้ว แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าข่าวสารเกี่ยวกับความรุนแรงของภาวะน้ำท่วมในแต่ละพื้นที่ หรือถนนหนทางเส้นไหนที่ถูกตัดขาด ยังเดินทางไปไม่ถึงประชาชนบางกลุ่ม นอกจากคนขับรถบรรทุกนายนี้แล้ว ระหว่างการผจญภัยไปและกลับจากบ้านแม่ที่พุทธมณฑลเมื่อวานนี้เราก็เจอคุณป้าคนหนึ่งที่นั่งรถประจำทางมาจากสามพรานจะไปหาญาติที่อาศัยอยู่ใกล้ ๆ เชิงสะพานพระปิ่นเกล้า แล้วต้องลงที่สะพานลอยข้ามแยกศาลายา-สาย 4 เพื่อต่อรถอะไรก็ได้ที่สูงพอที่จะฝ่าน้ำไปยังอีกฝั่งหนึ่ง

เมื่อถูกถามว่าคุณป้าจะลำบากลำบนฝ่าสายน้ำที่ท่วมถึงเอวไปหาญาติทำไมตอนนี้ คุณป้าตอบว่า “ก็ถามญาติแล้วว่ามาได้ไหม เขาก็ว่าที่เชิงสะพานพระปิ่นเกล้ายังมีน้ำขังอยู่บ้าง แต่เขาไม่ได้บอกว่าพุทธมณฑลมันท่วมหนักขนาดนี้”

สาเหตุที่เราต้องดั้นด้นไปบ้านแม่ที่พุทธมณฑลสาย 4 ก็เพราะมีกระแสข่าวบางข่าวที่ระบุว่า ผู้ประสบภัยต้องมีรูปถ่ายของบ้านที่ถูกน้ำท่วมไปแสดงกับเจ้าหน้าที่ของทางการเพื่อยื่นเรื่องขอรับเงินช่วยเหลือจากรัฐ แม้จะมีการปฏิเสธจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงบางคนแล้ว แต่เพื่อความแน่ใจในภาวะที่ข้อมูลจากทางการที่เชื่อถือได้มีน้อยอย่างนี้ เราจึงคิดว่าไปถ่ายรูปทิ้งเอาไว้ก่อนดีกว่า อีกใจหนึ่งนั้นก็อยากไปดูความเสียหายของบ้านด้วยเหมือนกัน จะได้เตรียมคิดไว้ล่วงหน้าว่าพอน้ำลดแล้วต้องทำอะไรบ้าง


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 22 พ.ย. 11, 11:55

แต่การเดินทางไปและกลับจากบ้านแม่นั้นไม่ง่ายเลย อันดับแรกคือถนนพระบรมราชชนนีที่เราเคยใช้อยู่เป็นประจำนั้นถูกตัดขาดสำหรับรถเก๋งส่วนบุคคล เพราะขึ้นไปก็ลงมาไม่ได้ เนื่องจากระดับน้ำที่รอผู้ใช้รถอยู่ ณ ปลายทางนั้นมันสูงเกินกว่าที่รถเล็ก ๆ จะฝ่าไปได้ ทางยกระดับจึงกลายสภาพเป็นที่จอดรถหนีน้ำไปโดยปริยาย รถประจำทางขสมก. ส่วนใหญ่ก็ลดระยะทางในการเดินรถลงเหลือแค่ตลิ่งชันหรือพุทธมณฑลสาย 2

หลังจากทำการค้นคว้าหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตอยู่พักใหญ่เราจึงสรุปได้ว่า วิธีเดียวที่จะไปให้ได้ใกล้จุดหมายปลายทางของเราที่พุทธมณฑลสาย 4 มากที่สุดก็คือไปขึ้นรถทหารที่เชิงสะพานพระปิ่นเกล้า แล้วหาเรือต่อไปเอง

ในเมื่อรถทหารมีตารางออกวิ่งแค่ชั่วโมงละคัน ข้างหลังรถทุกคันจึงมีผู้ใช้บริการยืนอัดแน่นยังกะปลากระป๋อง เราอดทนยืนเบียดกับผู้โดยสารคนอื่นได้สักพักที่นั่งข้างคนขับก็ว่าง เราจึงย้ายไปนั่งที่นั่นโดยไม่รอรี ระหว่างนั่งไปก็ทำหน้าที่ผู้โดยสารที่ดีด้วยการชวนทหารคุยไปแก้เหงา

แต่ละวันทำงานของทหารเหล่านี้คงจะยาวกว่าวันปกติ พลขับนายแรกที่เจอนั้นหาวหวอด ๆ ในบางช่วงที่รถจอดรอผู้โดยสารลงนานกว่าปกติ ส่วนนายที่สองนั้นเล่าให้ฟังโดยที่ไม่ต้องถามเลยว่า “นี่ดีขึ้นแล้วนะพี่ เดี๋ยวนี้ผมตื่นมาทำงานตีสี่ครึ่งเลิกงานราว ๆ สามทุ่ม ตอนมันท่วมใหม่ ๆ น่ะเลิกตีสาม”

ภาพประกอบจากอินทรเนตร ค่ะ


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 22 พ.ย. 11, 11:57

รอยยิ้มและการแสดงความเอื้ออาทรต่อทหารของผู้ประสบภัยคงเป็นแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้ทหารหาญเหล่านี้ยังปฏิบัติหน้าที่อยู่ได้แม้ร่างกายจะเหนื่อยและล้าเต็มที ในรถคันแรกที่เรานั่งไปด้วย ที่นอนหลังที่นั่งคนขับเต็มไปด้วยอาหาร ขนมนมเนย และน้ำดื่มที่ประชาชนยื่นให้ทหารเมื่อถึงที่หมายปลายทางของเขา ผู้โดยสารทุกคนที่ก้าวลงจากรถต่างก็ยิ้มกว้างให้ทหารพร้อม ๆ กับยกมือไหว้แสดงความขอบคุณ ก่อนจะโบกมือลาแล้วเดินลุยน้ำเข้าซอยบ้านตัวเองไปอย่างไม่ย่นย่อ

แม้แต่ “รถเมล์” ของทหารเองก็ยังมีข้อจำกัด เพราะระดับน้ำบนถนนปิ่นเกล้า-นครชัยศรีนั้นสูงเท่าเอวในบางจุด    รถทหารจึงต้องหยุดให้บริการที่ร้านขายเครื่องสุขภัณฑ์และของแต่งบ้านบนถนนใกล้ ๆ กับพุทธมณฑลสาย 3 เท่านั้น แน่นอน คนที่ต้องการจะไปไกลกว่านี้ย่อมบ่นเป็นหมีกินผึ้ง แต่เรานึกในใจว่า “แค่นี้ก็ดีถมถืด เดี๋ยวไปหารถหรือเรือต่อเอาเองแล้วกัน”

โชคดีวันแรกที่ไปนั้นเจอรถขนของบริจาคของสิงห์คอร์ปอเรชั่นที่กำลังมุ่งหน้าไปพุทธมณฑลสาย 4 พอดี เลยได้ติดรถไปกับเขาจนถึงปากซอยเข้าบ้าน
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 22 พ.ย. 11, 17:09

ด้วยความที่ไม่เคยไปมาก่อน จึงไม่รู้ว่าระดับน้ำในซอยบ้านเรานั้นมันสูงถึงเอว รองเท้าบู๊ทสูงแค่เข้าที่ใส่ไปจึงช่วยอะไรไม่ได้ แถมโทรศัพท์ไอโฟนที่ติดตัวไปด้วยยังมาเสียเอาตอนที่เราต้องการใช้มันมากที่สุด เลยไม่สามารถถ่ายรูปบ้านได้อย่างที่ตั้งใจ ทำให้ต้องถ่อสังขารเหี่ยว ๆ ของตัวเองกลับไปใหม่ในวันรุ่งขึ้น

นายสิบเอกที่ขับรถให้เรานั่งในวันที่สองนั้นหน้าตาคมขำเช่นหนุ่มใต้ทั่วไป เขาเล่าว่าหน่วยของเขาขับรถบรรทุกทหาร 33 คันขึ้นมาจากนครศรีธรรมราชตั้งแต่วันที่ 17 ต.ค. แล้ว “นี่จะได้กลับบ้านเมื่อไหร่ยังไม่รู้เลยพี่ เพราะต้องอยู่ช่วยฟื้นฟูกันต่ออีก” (คนนี้แหละที่บอกว่าเมื่อก่อนทำงานจากตีสี่ครึ่งของวันนี้จนถึงตีสามของอีกวัน)

ในภาวะที่ทหารเป็นที่พึ่งหลักของประชาชนผู้เดือดร้อนเช่นนี้ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่ายังมีคนจิตอกุศลคิดแกล้งทหารอีก “เมื่อวันก่อนรถทหารเจอเรือใบไปหลายคันเลยพี่” สิบเอกที่เราลืมถามชื่อเล่า “พวกรถร่วมบริการเขาคงคิดว่าเราไปวิ่งทับเส้นทางแย่งผู้โดยสารเขามั้ง”

เมื่อขับผ่านเข้าไปยังที่แห้งใกล้ ๆ กับสถานีขนส่งสายใต้ใหม่ พลขับรถทหารบางคันจึงถูกสั่งให้รับผู้โดยสารขึ้นในจุดที่มีผู้โดยสารลงด้วยเท่านั้น เพราะในพื้นที่นั้นก็มีรถประจำทางเข้าออกมากพอที่จะให้บริการประชาชนได้ตามปกติ ไม่เหมือนเส้นทางจากตลิ่งชันไปพุทธมณฑลที่รถใหญ่เท่านั้นจึงจะฝ่าไปได้

ทั้งสองวันที่ไป เป็นบทพิสูจน์ได้ดีว่าขาไปง่ายกว่าขากลับ ตอนที่นั่งรถสิงห์ไปวันแรกเราก็คิดกังวลไปตลอดทางว่า “แล้วตูจะกลับยังไงเนี่ย” แต่ก็ใจชื้นขึ้นเมื่อเห็นรถเมล์ขสมก. สาย 84 ก. วิ่งสวนไปบนถนนพุทธมณฑลสาย 4 ตลอดทาง
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 22 พ.ย. 11, 17:10

แต่ชีวิตมักจะเล่นตลกกับเราเสมอ เวลาที่เราต้องการอะไรมาก ๆ สิ่งนั้นจะไม่เคยเข้ามาใกล้เราเลย แต่เมื่อใดก็ตามที่เราไม่ต้องการมัน สิ่งนั้นมันก็จะดาหน้ากันเข้ามาหลอกล้อเราอยู่เรื่อย รถเมล์สาย 84 ก. ก็ไม่อยู่นอกเหนือจากกฎของธรรมชาติกฎนี้

หลังจากที่เรายืนรอรถอยู่ร่วมครึ่งชั่วโมง รถบรรทุกคันหนึ่งก็ผ่านเข้ามาในเส้นทาง เราโบกรถแล้วก็ไม่เสียเวลาสอบถามว่าเขาจะไปไหน “ขอให้ขับตรงไปเรื่อย ๆ เหอะ ยังไงก็ได้ให้ออกจากตรงนี้ให้ได้ก่อน” เรานึกในใจ พอรถเลี้ยวขวาเข้าถนนอักษะ-อุทยาน เราจึงกระโดดลงเพื่อต่อรถอะไรก็ได้ขึ้นไปยังสี่แยกสาย 4-ศาลายา เพื่อเลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนปิ่นเกล้า-นครชัยศรีขาเข้ากรุงเทพฯ

เพื่อนร่วมทางของเราเป็นสาวน้อยนางหนึ่งกระโดดลงมาจากรถบรรทุกพร้อม ๆ กัน

“ชื่ออะไรล่ะ” เราถาม
“ชื่อวรรณจ้ะ ทำงานที่โรงงานชุดชั้นในสตรีที่สาย 5 โน่น” สาวน้อยตอบพลางยิ้มหวาน
“บ้านหนูอยู่ศาลายา น้ำท่วมถึงอกแน่ะ ตอนนี้ทั้งบ้านสิบกว่าคนมากินมานอนกันบนถนน แวะมาดูหน่อยว่าโรงงานมันจะแห้งกว่าที่บ้านมั้ย แต่มันก็ครือ ๆ กัน สงสัยต้องนอนบนถนนต่อไปอีกสักพัก”
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 6  เมื่อ 22 พ.ย. 11, 17:11

เราเดินลุยน้ำกันไปเรื่อย ๆ พลางชี้ชวนให้กันและกันดูเมื่อใดก็ตามที่เห็นลูกปลาตัวเล็ก ๆ แหวกว่ายน้ำใสบริเวณหน้าพุทธมณฑล ในยามปกติ เราสองคนคงจะไม่มีอะไรเหมือนกันเท่าไหร่นัก เธอดูเป็นคนเรียบร้อย อ่อนหวาน ไม่กระโดกกระเดกแข็งกระด้างอย่างเรา ในภาวะวิกฤติ การมีกันและกันเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมและเพื่อนร่วมทางในช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ดูเหมือนจะไม่เลวนัก อย่างน้อยมันก็ทำให้เรารู้สึกว่าเรามิได้อยู่เดียวดายบนเส้นทางสายนี้

เดินไปได้สักพัก รถสาย 84 ก. ก็มาถึง วรรณบอกว่า “รถมันไปแค่ศาลายา ไม่ได้เลี้ยวขวาหรอกพี่ แต่พี่ขึ้นไปก่อนเหอะ เดี๋ยวค่อยไปหาที่ต่อรถหรือเรือเอาข้างหน้า ถ้าไม่ขึ้นคันนี้ก็อาจต้องรออีกนาน”

บนรถมีผู้โดยสารประปราย เรากวาดสายตาไปเห็นชายหนุ่มสองคนในเสื้อยืดพิมพ์คำว่า “กองบัญชาการกองทัพไทย” แล้วก็ใจชื้นขึ้น แม้จะสะดุดใจอยู่บ้างที่หนุ่มกองทัพแต่ละคนนั้นผมยาวเฟื้อยราวกับพลเรือน “ถ้าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับกองทัพจริง ๆ เขาต้องรู้ว่าเราจะไปต่อเรือกลับไปสาย 3 ได้ที่ไหน” เรานึก
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 7  เมื่อ 23 พ.ย. 11, 09:47

พอรถเมล์สุดทางที่หน้ามมหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา คนขับก็เลี้ยวรถกลับไปเส้นทางเดิม เราปล่อยให้วรรณก้าวลงจากรถโดยที่ไม่ได้ร่ำลาเพราะใจมัวแต่หมกมุ่นเรื่องจะหายวดยานประเภทไหนกลับไปขึ้นรถทหารที่สาย 3 ได้ เวลาเดียวกันนั้นเองที่สองหนุ่มจาก “กองบัญชาการกองทัพไทย” ระล่ำระลักถามคนขับรถเมล์ว่า “พี่ ๆ ผมจะไปสาย 3 ต้องไปยังไงครับเนี่ย”

“ซวยละสิตู” เราแอบสั่นหัว “ว่าจะหวังพึ่งเอ็งซะหน่อย”

สุดท้าย สาวไม่น้อยคนหนึ่งก็ต้องทำหน้าที่นำหนุ่มน้อยสองคนกับคุณป้าจากสามพรานอีกหนึ่งคน ลุยน้ำออกจากสะพานข้ามแยกศาลายาไปยังถนนปิ่นเกล้า-นครชัยศรีด้วยกันอย่างทุกลักทุเล เพื่อไปหารถหรือเรือนั่งต่อไปยังจุดหมายปลายทางร่วมที่สาย 3    สองหนุ่มนั้นพอรู้ว่าเราอาจจะรู้วิธีที่จะพาพวกเขาออกไปจากพื้นที่นั้นได้ก็รีบกระโดด “เกาะ” เราทันทีด้วยความดีใจ “งั้นเราไปด้วยกันเลยนะพี่” หนุ่มหนึ่งฝากเนื้อฝากตัว

ก่อนลงจากรถ ทันทีที่เราเล่าให้ทุกคนในรถขณะนั้นฟังเรื่องเห็นเสื้อสองหนุ่มแล้วใจชื้น คนขับรถเมล์และกระเป๋าก็ระเบิดหัวเราะเสียงดัง ขณะที่หนึ่งในสองหนุ่มนั้นยิ้มเขินๆ แล้วอธิบายว่า “เสื้อเนี่ยได้มาตอนไปช่วยงานเขาน่ะพี่”

“จำไว้นะ” คนขับตะโกนบอกแกมหัวเราะเมื่อพวกเราก้าวลงจากรถ “ทีหลังพึ่งตัวเองก่อน”

ยิ่งเดินไปเรื่อย ๆ ระดับน้ำที่สี่แยกนั้นก็ยิ่งลึกขึ้นจนใกล้ถึงเอวเต็มที เราบอกคุณป้าให้เกาะขอบถนนด้านขวาไปเรื่อย ๆ เพราะมันจะทำให้เราแน่ใจได้ว่าตรงที่เดินนั้นไม่เป็นหลุมเป็นบ่ออย่างแน่นอน แต่คุณป้าก็สมัครใจที่จะเกาะแขนเรามากกว่า ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าในยามวิกฤติ ท่อนแขนของคนแปลกหน้าสร้างความมั่นคงในจิตใจให้ได้มากกว่าสิ่งปลูกสร้าง
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 8  เมื่อ 23 พ.ย. 11, 09:48

เดินไปได้สักพัก เรือลำหนึ่งซึ่งบรรทุกชายฉกรรจ์ในเสื้อชูชีพเต็มเรือก็แล่นผ่านมา ไม่ต้องรอให้คนในเรือตะโกนถามซ้ำสอง พวกเราเปล่งเสียงตอบทันทีว่า “ไปค่ะ/ครับ” ทันทีที่เขาถามว่าเราจะไปด้วยกันไหม

“ที่พอไหมครับพี่ ถ้าไม่พอให้ผู้หญิงไปก่อนแล้วกัน” หนึ่งในสองหนุ่มร่วมทางมีน้ำใจเอื้อเฟื้อ  โชคดีที่ในเรือยังมีที่ว่างมากพอสำหรับเราทั้งสี่คน

เรือลำนั้นเปรียบเสมือน “ขอนไม้” ที่ลอยมาให้เราได้เกาะดี ๆ นี่เอง หลังจากนั้น เราก็ไปต่อรถบรรทุกพื้นเรียบ ที่จัดหาโดยตำรวจนครบาล 7 กลับสนามหลวง ก่อนจะต่อแท็กซี่กลับบ้านหลังจากดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว

จากสาย 3 รถตำรวจคันที่ว่าหยุดรับผู้โดยสารมาตลอดทาง จากผู้โดยสาร 50 กว่าคนที่มีเมื่อเราก้าวขึ้นเป็น 100 คนภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง แม้หลายคนจะมีสีหน้าเหน็ดเหนื่อยอิดโรย แต่ที่ทุกคนมีเหมือนกันคือรอยยิ้มให้แก่ผู้โดยสารคนอื่น ๆ ด้วยต่างก็ตระหนักดีว่าทุก ๆ คนบนรถคันนั้นเป็น “เพื่อนร่วมชะตากรรม” เดียวกัน บางคนก็เอ่ยปากสอบถามสารทุกข์สุขดิบของอีกฝ่ายราวกับรู้จักกันมาเนิ่นนานอย่างนั้น
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 9  เมื่อ 23 พ.ย. 11, 09:50

นานแค่ไหนแล้วที่ “คนกรุง” อย่างพวกเราไม่เคยเอ่ยปากพูดคุยกับคนแปลกหน้าอย่างเอื้ออาทรและเป็นมิตรเช่นที่เรากระทำตลอดระยะเวลาหนึ่งชั่วโมงของการเดินทางในค่ำวันนั้น กี่ครั้งที่เราก้มหน้านิ่งหรือแอบมองปลายเท้าของผู้อื่นในขณะที่เรายืนเบียดเสียดกันในรถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดิน เพียงเพื่อจะหลบเลี่ยงที่จะสบตากับเพื่อนร่วมทางและเพื่อนร่วมโลก

บ่อยครั้งแค่ไหนที่เรามองผู้อื่นด้วยความรู้สึกสงสัยว่า “ชีวิตเขาจะลำบากยากแค้นสักแค่ไหนนะ" แทนที่จะเป็นความรู้สึกเฉยชาหรือความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจคนแปลกหน้าที่ “คนเมือง” ส่วนใหญ่มักจะมีต่อคนเมืองด้วยกันเอง      แล้วก่อนที่น้ำจะพัดพาชีวิตและความสงบสุขในครอบครัวของเราให้ลอยห่างไปนั้นเล่า  ครั้งสุดท้ายที่เราพูดคุยกับเพื่อนบ้านที่อยู่ในคอนโดเดียวกัน หรือในห้องแถวถัดไปแค่สองห้อง มันคือเมื่อไหร่

ภัยพิบัติทางธรรมชาติมักจะดึงเอาทั้งส่วนที่ดีที่สุดและส่วนที่เลวที่สุดของมนุษย์ออกมาให้เราได้เห็นเสมอ    ในภัยพิบัติครั้งนี้ เราได้เห็นความมีน้ำใจของคนหลายพันหลายหมื่นคนที่ออกมาช่วยอาสาสมัครทำงานช่วยผู้ประสบภัยอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย   คนในละแวกเดียวกันที่แม้เคยไม่รู้จักกันมาก่อน  แต่ก็ดาหน้ากันออกมาช่วยแพ็คกระสอบทราย และทำเขื่อนกั้นน้ำเพื่อปกป้องชุมชนของตนเอง  นักธุรกิจญี่ปุ่นเจ้าของโรงงานฮอนด้าที่น้ำท่วมมิดหลังคารถก็ยังมีแก่ใจบริจาคเงินสิบล้านสำหรับช่วยผู้ประสบภัย    มีรถหลายคัน เรือหลายลำ ที่เจ้าของเอาออกมาวิ่งรับส่งคนที่เดือดร้อนโดยไม่คิดค่าบริการ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 10  เมื่อ 23 พ.ย. 11, 13:31

ภาพจากโอเคเนชั่น


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 11  เมื่อ 23 พ.ย. 11, 13:32

อีกภาพหนึ่งของ " แม่น้ำ" แถวพุทธมณฑล


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 12  เมื่อ 23 พ.ย. 11, 18:45

ตอนที่เราไปอาสาสมัครช่วยกาชาดนำถุงยังชีพไปส่งผู้ประสบภัยที่ลาดหลุมแก้ว ปทุมธานีนั้น ผู้ประสบภัยคนหนึ่งที่เป็นเจ้าของร้านขายข้าวหมูแดง ก็ให้คนงานเดินลุยน้ำเท่าเข่ามาส่งข้าวกล่องให้แก่อาสาสมัครเพื่อแสดงความขอบคุณในน้ำใจ    ทั้ง ๆ ที่พวกเราต่างหากที่เป็นคนเอาข้าวสารอาหารแห้งมาส่งให้เขาไว้ใช้ยังชีพในช่วงวิกฤติ

ขณะเดียวกัน เราก็ได้เห็นคนเมืองที่เอารถขึ้นไปจอดบนสะพานข้ามแยกและทางด่วน สร้างความลำบากให้แก่การลำเลียงเสบียงยังชีพและผู้ป่วยรวมทั้งการอพยพผู้ประสบภัยออกจากพื้นที่ มีคนมากมายที่เอารถและเรือออกมาวิ่งรับส่งผู้โดยสารในพื้นที่ที่รถประจำทางเข้าไปไม่ถึง ด้วยราคาที่แพงลิบลิ่วจนผู้โดยสารรู้สึกเหมือนถูกปล้นกลางวันแสก ๆ บนเส้นทางที่เรานั่งไปจนถึงพุทธมณฑล   เราเฝ้าดูผู้โดยสารรถทหารหลายต่อหลายคนทั้งเด็กและผู้ใหญ่โยนเศษขยะทิ้งลงไปในน้ำอย่างไม่รู้สึกรู้สม   เขาคงคิดว่าพอน้ำลดก็มีคนมาเก็บไปเองละมัง

ส่วนคนขับรถบรรทุกที่เรานั่งไปพุทธมณฑลด้วยในวันที่ 2 นั้น เมื่อไหร่ที่มีคนโบกเขาก็จอดให้คนเหล่านั้นขึ้นโดยปราศจากความลังเล “ผมรับหมดแหละพี่ ไปไหนค่อยว่ากันอีกที” เขาบอก

ถ้าไม่ได้เอ่ยถึงระดับน้ำที่สูงเท่าเอวในละแวกนั้นเราคงไม่ได้ทราบว่า คนขับเองก็เป็นผู้ประสบภัยเช่นเดียวกัน “บ้านผมที่ปทุมนะ สูงเท่าอกแน่ะพี่” เขาเล่า “แฟนเลยต้องกลับไปอยู่กับครอบครัวที่เพชรบูรณ์ ผมก็อาศัยนอนในรถเอา”
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 13  เมื่อ 23 พ.ย. 11, 18:46

นี่เองที่ทำให้เรานึกขึ้นมาได้ว่า เมื่อวิกฤติการณ์ครั้งนี้มีผลกระทบต่อคนร่วมสองล้านคนในพื้นที่ของประเทศที่มีคนอาศัยอยู่ประมาณสิบล้านคน ก็เท่ากับว่า หนึ่งในห้าของคนไทยในพื้นที่ดังกล่าวย่อมได้รับผลกระทบเหมือนกันหมด จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของภาวะวิกฤติในแต่ละพื้นที่

ครั้งต่อไปที่คุณกระเสือกกระสนกันแย่งผู้อื่นขึ้นรถไฟฟ้า   ก้าวเท้าขึ้นรถประจำทางให้เร็วที่สุดเพื่อแซงคนอื่นไปยังที่นั่งว่าง ๆ ไม่กี่ที่บนรถ   แย่งกันเข้าคิวซื้ออาหาร น้ำดื่ม  และตั๋วหนัง   ฯลฯ  เราก็หวังว่าคุณจะไม่ลืมว่า  ใครบางคนที่คุณกำลังแก่งแย่งแข่งขันอยู่ด้วย ณ ขณะนั้นก็อาจเคยเป็น “ผู้ประสบภัยน้ำท่วม” เช่นเดียวกับคุณ

ส่วนทั้งทหาร เจ้าหน้าที่กาชาด หรืออาสาสมัครที่มาช่วย ก็ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ประสบภัยด้วยตนเองมาแล้วทั้งสิ้น   คราวหน้า   ก่อนจะเบ้หน้าใส่เขาที่เขาไปส่งให้คุณถึงปลายทางไม่ได้   บ่นเป็นหมีกินผึ้งเรื่องที่เขาเอาอาหารซ้ำ ๆ เดิม ๆ มาส่งให้  หรือแสดงความไม่พอใจใส่เขาเมื่อเขาไม่มีสิ่งที่คุณต้องการ   เราก็หวังว่าคุณจะไม่ลืมนึกถึงความจริงในข้อนี้ 

แล้วเมื่อระดับน้ำลด ชีวิตเข้าสู่สภาพปกติ เราก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคนไทยสองล้านคนในสี่ห้าจังหวัดที่ร่วมทุกข์มาด้วยกัน จะไม่ลืมความรู้สึกที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งชั่วโมงที่เราใช้ร่วมกันบนรถทหาร รถตำรวจ รถบรรทุกเอกชน หรือเรือลำเล็กที่นำคุณไปส่งยังที่แห้ง
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 14  เมื่อ 23 พ.ย. 11, 18:47

สำหรับเราแล้ว เราอาจจำหน้าเจ้าของมือที่ยื่นมาให้ผู้โดยสารร่วมทางจับเพื่อกระโดดขึ้นรถทหารไม่ได้    แต่เราจำได้ดีถึงความรู้สึกมั่นใจว่าคุณจะไม่ทิ้งให้เราร่วงหล่นลงจากรถไป เมื่อสัมผัสได้ถึงน้ำหนักที่คุณกดใส่มือเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของฐานรองรับ    เราอาจจำชื่อทหารที่ขับรถให้เรานั่งไม่ได้ แต่เราจะไม่ลืมความมุ่งมั่นที่จะเป็นที่พึ่งให้แก่ประชาชนในยามยาก ซึ่งเราสัมผัสได้ในน้ำเสียงของทหารแต่ละนายที่เราโอภาปราศรัยด้วย

และเราจะไม่มีวันลืมเลยว่า  แม้ในความมืดมัวของท้องฟ้าย่ำสนธยา    เรายังมองเห็นรอยยิ้มของเพื่อนร่วมทาง  และสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นในหัวใจทุกครั้งที่พวกเขาส่งยิ้มให้แก่กันและกัน
บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.051 วินาที กับ 19 คำสั่ง