.......ในเมื่อประเทศเราก็เดินหน้า(ไม่อยากเรียกว่าพัฒนา) จนถึงขั้นนี้แล้ว มันสุดวิสัยที่จะย้อนกลับไปรื้อถอนโรงงานอุตสาหกรรม หมู่บ้านจัดสรร รีสอร์ท ฯลฯ ออกไปให้พ้นทุ่งนาและพื้นที่สวน เพื่อจะอยู่กับธรรมชาติอย่างปู่ย่าตายายเคยทำได้อีก แล้วจะหาทางอย่างไร วางแผนหรือผังกันแบบไหน ไม่ให้ต้องเจอน้ำท่วมมหากาฬกันอย่างนี้อีกทุกปีล่ะคะ....
อย่าเพิ่งท้อครับ
ผมคิดว่า คนโบราณเขายังคิดออกเลยว่าจะอยู่กับมันอย่างไรให้มีความสุข เราก็คงต้องใช้วิธีคิดว่า แล้วเราจะอยู่กับมันอย่างไรให้มีความสุข ถ้าเราเอาทุกเรื่องที่เราไม่ชอบ เอาเรื่องที่มันไปเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตปกติของเราในบางช่วง เอาสภาพของเราไปเทียบกับคนอื่น เมื่อใดที่คิดว่าเราต้องเหมือนกับเขา เท่ากับเขาหรือต้องดีกว่าเขา เอาเรื่องเหล่านี้มาเป็นทุกข์ ผมว่าเรากำลังหาเรื่องเครียด หาเรื่องทำร้ายตัวเองเปล่าๆ คงต้องตั้งหลักใหม่แล้วคิดว่าความเป็นไปในธรรมชาตินั้นมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วก็ผ่านไป มันก็เป็นของมันอย่างนั้น เราไปห้ามมันไม่ได้
ดูง่ายนะครับ จริงๆแล้วไม่ง่ายอย่างนั้น แต่ก็ต้องตั้งหลักคิดให้ได้
ผมเห็นว่าหลัก 4 ประการ ที่ผมได้เล่าไว้นั้น จะช่วยให้เราประเมินได้ตั้งแต่แรกว่า ตัวเราจะสามารถรับระดับความรุนแรงได้ในระดับใด ในกรณีของฝ่ายรัฐและราชการ การใช้หลัก 4 ประการนี้ก็จะรู้ว่าเมื่อใดถึงระดับที่จะต้องทำอะไร มากน้อยเพียงใด จุดใหนก่อนใหนหลัง อะไรคือวิกฤติ และเรื่องใด
ยกตัวอย่างเรื่องที่ชัดๆ คือ เรื่องของแผ่นดินไหว เรื่องราวอย่างย่อๆนะครับ --รัฐบาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์สุขและความปลอดภัยของชีวิตประชาชน ให้นโยบายแก่ส่วนราชการไปดำเนินการ วิศวกรคิดว่าจะต้องสร้างอาคารอย่างไรให้ทนแผ่นดินไหวได้สำหรับระดับความรุนแรงที่นักธรณีวิทยาคาดว่าจะเกิดขึ้นในพื้นที่นั้นๆ คือไม่ให้พังพาบลงมา แต่แตกร้าวได้ นักการเมืองเอาไปออกเป็นกฎหมายเพื่อให้มีการบังคับใช้ ผังเมืองเอาไปกำหนดพื้นที่สำหรับการอพยพและโรงพยาบาล (ส่วนมากเป็นชั้นเดียวบนพื้นที่ที่มีสนามกว้าง) เพื่อให้เทศบาลและเมืองเอาไปกำหนดเรื่องเส้นทางอพยพและระบบสาธารณูปโภค (ประปา ไฟฟ้า และการสื่อสาร) ที่จะต้องไม่ถูกทำลายเมื่อเกิดเหตุ หรือสามารถตัดต่อเชื่อมโยงให้ใช้ได้โดยเร็ว เพื่อการกู้ชีวิตและช่วยให้มีชีวิตไดต่อไป สามารถทำเอกสารแจกประจำบ้านได้ว่าเมื่อเกิดเหตุจะต้องทำอย่างไร ให้ไปที่ใด ฯลฯ ใช้ระบบการสื่อสารที่ไม่พึ่งระบบเดียว มีทั้งระบบเทคโนโลยีแบบโบราณไปจนถึงสมัยใหม่ล่าสุด ทำแผนที่เมืองว่ามีอารคารใดอยู่ที่ใดบ้าง มีข้อมูลว่าในช่วงเวลาต่างๆจะมีคนอยู่เท่าไร เมื่อเกิดเหตุ ณ.เวลใด บินสำรวจดูก็แทบจะประเมินได้ในเบื้องต้นในทันทีว่า จะมีคนบาดเจ็บหรือล้มตายเท่าใด การทำแบบนี้ใช้ประเมินได้ทั้งจากภัยและอุบัติเหตุอื่นๆอีกด้วย คงจะนึกขยายภาพออกไปได้นะครับว่าอะไรจะเป็นอย่างไร
สำหรับกรณีน้ำท่วมนั้น ผมเห็นว่า ก็คงมีแนวไม่ต่างไปจากตัวอย่างที่เล่ามา ซึ่งหัวใจสำคัญของเรื่องคือ ระดับความสูงของพื้นดิน ณ.บริเวณต่างๆ ต่างไปจากเรื่องของแผ่นดินไหวที่หัวใจของเรื่องคือ ระดับของการทำลาย (พังทลาย)