เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 [2]
  พิมพ์  
อ่าน: 16526 มหาเวสสันดรชาดก
ผมครับ
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 15  เมื่อ 20 เม.ย. 01, 19:44

อ.นิรันตร์นี่มีลักษณะเหมือนผมคือเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ เรื่องอื่นก็สนใจและเข้าไปคลุกคลีได้ด้วย
แต่ต่างจากผมครงที่ อ.นิรันดร์เปรียบเสมือน จระเข้ ผมเหมือนจ้ด้วย   อ.นิรันดร์เปรียบเสมือน แอคคอร์เดียน  ผมเหมือนหีบเพลงปาก
บันทึกการเข้า
Agent Smith
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 16  เมื่อ 21 เม.ย. 01, 15:16

เรื่องคล้ายๆใน
                                                      พระอนาคตวงศ์
                   นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ผู้เป็นที่พึ่งแก่สัตว์โลกทั้งหลาย
                    วันหนึ่ง พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงการอุบัติตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสตอบแก่พระสารีบุตรว่า
                    "ดูก่อนพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร จะมีสรรพสัตว์ที่บังเกิดในโลก ได้เป็นพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานเมื่อสิ้นอายุเป็นแน่  สัตว์เหล่าอื่นทำบาปแล้วจุติจากอัตภาพเป็นมนุษย์นี้แล้ว บังเกิดในอบายภูมิทั้ง 4  จุติจากอัตภาพนั้นท่องเที่ยวไปมา บำเพ็ญบารมีถึงความเป็นพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์ จักถึงนิพพาน ดูก่อน พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรผู้เจริญ พระพุทธเจ้าในอดีต มีมาแล้วหาที่สุดมิได้ เราไม่อาจกำหนดคำนวณพระพุทธเจ้าได้ ดูก่อนพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ในอนาคต พระพุทธเจ้า 10 พระองค์จักเสด็จอุบัติดังนี้แล"
                พระสารีบุตร จึงทูลอาราธนาพระบรมศาสดาว่า  " ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ ขอพระองค์จงทรงแสดง พระพุทธเจ้า 10 พระองค์ แก่พุทธบริษัท 4
เถิด "
                 พระบรมศาสดาจึงทรงแสดง ทสโพธิสัตตา แก่พุทธบริษัท ดังนี้
1. พระศรีอริยเมตไตรยบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ....(ตัด)...
             เมื่อตรัสแสดงพุทธพยากรณ์ จบจึงตรัส พระคาถาธรรมแก่พุทธบริษัท 4
ว่า
             " เมื่อสัตบุรุษให้ทานที่บุคคลพึงให้ได้ยาก  
              การกระทำกรรมที่บุคคลพึงกระทำได้ยาก
              อสัตบุรุษทั้งหลายย่อมไม่ทำตามที่สัตบุรุษ
             ดำเนินนั้นๆ  ธรรมของสัตบุรุษทั้งหลายอัน
              อสัตบุรุษดำเนินตามได้ยาก"  ดังนี้
                จบอุเทศที่ 1 ด้วยพระพุทธพยากรณ์ดังนี้แล            
2. พระรามพุทธเจ้า   .....(ตัด)......
3. พระธรรมราชาพุทธเจ้า  .....(ตัด)......
4. พระธรรมสามีพุทธเจ้า .....(ตัด)......
บันทึกการเข้า
Agent Smith
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 17  เมื่อ 21 เม.ย. 01, 15:48

5. พระนารทพุทธเจ้า      
             เมื่อพระศาสนาของพระธรรมสามีพระพุทธเจ้าได้ล่วงไปแล้ว ได้บังเกิดสุญกัปอันเป็นกัปที่ว่างเปล่าจากพระพุทธศาสนา และการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า  เมื่อสุญกัปล่วงไป จักบังเกิดมัณฑกับ ซึ่งจักมีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น 2 พระองค์   อสุรินทราหู ผู้เป็นมหาอุปราชครองภพอสูรตอนเหนือซึ่งอยู่ใต้อุตตรกุรุอวีป  จักบังเกิดเป็นพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระนารทพุทธเจ้า และเมื่อศาสนาของพระนารทพุทธเจ้าล่วงไปแล้วพระรังสีมุนีพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้เป็นองค์ที่ 2 ในมัณฑกัป
   ในกาลสมัยของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าพระอสุรินทราหูปรมโพธิสัตว์ได้บังเกิดเป็นพระราชาองค์หนึ่งทรงพระนามว่า สิริคุต ครองนิรมลนคร มีพระมหาเทวี ทรงพระนามว่า ลัมพุสสาเทวี มีพระราชโอรส และพระราชธิดา 2 พระองค์  พระโอรสทรงพระนามว่า นิโครธกุมาร พระธิดา ทรงพระนามว่า โคตมี
   วันหนึ่งพราหมณ์ 8 คน มาเข้าเฝ้าเพื่อทูลขอพระนครกับพระราชา   พระราชาผู้เป็นหน่อเนื้อพุทธางกูรได้ฟังดังนั้นจึงโสมนัสยิ่ง  พระราชทานพระนครแก่พราหมณ์ทั้ง 8 แล้ว ทรงพาพระเทวี  และพระโอรสพระธิดา  เสด็จออกจากพระนครไปสู่ธรรมิกบรรพต  สร้างอาศรม  และทรงรักษาศีล ณ ที่นั้น
   ในกาลนั้น มียักษ์ตนหนึ่ง มีร่างกายสูง 120 ศอก  ออกมาจากป่าเพื่อทูลขอพระโอรส และพระธิดาทั้ง 2 พระองค์  จากพระบรมโพธิสัตว์   ครั้นได้ฟังดังนั้นพระบรมโพธิสัตว์ตรัสว่า   “ดูก่อนยักษ์ผู้มีหน้างาม ผู้เจริญ เราเลี้ยงพระโอรสทั้ง 2 ไว้เพื่อให้ทาน บัดนี้เจ้ามาที่นี่เพื่อขอ 2 กุมารนี้ ดังนั้นเราจักยก พระโอรสทั้ง 2 แก่ท่าน”  จึงเสด็จขึ้นจูงมือพระโอรสทั้ง 2 แล้วทรงหลั่งทักขิโณทกกล่าวให้หมู่เทวดาเป็นพยานในทานอันประเสริฐ และตั้งความปราถนาว่า
   “ดูก่อนปฐพี และหมู่เทวดาทั้งหลาย ขอท่านผู้เจริญทั้งหลายมาเป็นพยานให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด   พระสัพพัญญุตญาณเท่านั้น  เป็นที่รักยิ่งกว่าบุตรและธิดาอันเป็นที่รักน้อยกว่าร้อยเท่า พันเท่า แสนเท่า ด้วยผลบุญแห่งการให้บุตรและธิดาอันเป็นที่รักนี้  เราไม่ต้องการจักรพรรดิสมบัติ  ไม่ต้องการอินทสมบัติ  ไม่ต้องการมารสมบัติ   ไม่ต้องการพรหมสมบัติ  ไม่ต้องการประเทศราชสมบัติ  แต่ต้องการสัพพัญญุตญาณเท่านั้น  ขอการให้บุตร และธิดานี้ จงเป็นปัจจัยแห่งพระสัพพัญญุตญาณเถิด”
   เมื่อสิ้นเสียงอธิษฐาน ทันใดนั้นพื้นปฐพีได้หวั่นไหว  สะท้าน  สะเทือน สมุทรสาครก็กระเพื่อม  ขุนเขาสิเนรุราชก็โน้มยอดสู่ธรรมิกบรรพต  ฝรก็ดังกระหึ่มกึกก้อง สายฟ้าไม่ใช่ถดูกาล ก็แลบแปลบปลาบ
   ในกาลนั้นยักษ์ได้พา 2 กุมารไปหลังบรรณศาลา เอาฟันกัดคอ 2 กุมารและเคี้ยวกินทั้ง 2 กุมาร ต่อหน้าพระพักตร์พระบรมโพธิสัตว์  ทรงทอดพระเนตรเห็นหยดเลือดแต่มิได้ทรงหวั่นพระทัยเลย  กลับทรงชมเชยทานของพระองค์แก่หมู่เทวดาด้วย
   เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าได้กล่าวการสร้างพระบารมีของพระบรมโพธิสัตว์ตามที่พระธรรมเสนาบดีทูลขอแล้ว  ทรงมีพระพุทธพยากรณ์ว่า พระอสุรินราหูบรมโพธิสัตว์จักได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระพุทธนารทศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระวรกายสูง 120 ศอก ทรงมีพระชนมายุ 1 หมื่นปี มีต้นจันทน์เป็นต้นไม้ตรัสรู้  มีรส 7 ประการ เกิดขึ้นในสกลปฐพี  มหาชนทั้งปวงบริโภครสปฐพีแล้วเลี้ยงชีพ  ด้วยผลแห่งการให้กุมารเป็นทาน  มหาชนทั้งหลายจักบังเกิดความสวยงามแห่งรูป   ด้วยผลที่ยักษ์เคี้ยวกินกุมารต่อหน้าพระพักต์ของพระบรมโพธิสัตว์  แสงสว่างแห่งพระพุทธรัศมีจักบังเกิดตลอดกาลเป็นนิตย์ทั้งกลางคืน และกลางวัน
   จบอุเทศน์ที่ 5 ด้วยพระพุทธพยากรณ์ดังนี้แล
 6. พระรังสีมุนีพุทธเจ้า   .....(ตัด)......
7. พระเทวเทพสัมพุทธเจ้า  .....(ตัด)......
8. พระนรสีหสัมพุทธเจ้า .....(ตัด)......
9. พระติสสสัมพุทธเจ้า   .....(ตัด)......
10. พระสุมังคลสัมพุทธเจ้า .....(ตัด)......
บันทึกการเข้า
นิรันดร์
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 18  เมื่อ 30 เม.ย. 01, 15:51

เอ  เห็นผมเป็นไอ้เข้ขวางคลองหรือครับ

ผมเห็นว่าถ้าพระเวสสันดรจะบรรลุพระโพธิญาณได้ด้วยการทำมหาปิยบุตรทานบารมี ได้นั้น
ควรเป็นการบรรลุทานเพื่อทำให้คนอื่นพ้นทุกข์ด้วย
ไม่ใช่ตัวเองพ้นทุกข์ แล้วคนอื่นจะทุกข์แล้วก้อนิ่งเฉย

ถึแม้ไม่ใช่ลูกเรา ถ้าเราเห็นคนเขากำลังทำร้ายกันอยู่อย่างไม่เป็นธรรม เราจะทำอย่างไร
ถ้าเราอยู่ในวิสัยที่สามารถจะช่วยเหลือได้
ขนาด พ่อ กำลังทารุณลูกตัวเอง เราเป็นชาวบ้าน ยังต้องเข้าไปช่วยกันไม่ให้
พ่อทำร้ายลูกตัวเองได้ เรียกว่ามีเมตตา กรุณา คือต้องการให้คนอื่นพ้นทุกข์ และเป็นสุข
อุเบกขา นั่นต้องเป็นข้อสุดท้าย ถ้าทำเมตตา กรุณา และมุทิตาไม่ได้แล้วค่อยอุเบกขา

ผมว่าถ้าถือว่า พระเวสสันดรท่านเป็นเจ้าของชีวิตสองกุมาร แล้วจะทำให้คนพ้นทุกข์
ก็น่าจะยกชีวิตของสองกุมารให้เป็นสิทธิขาดของสองกุมารเอง ไม่ใช่ส่งให้คนอื่นทำร้าย
แล้ว "พระพักตร์ก็ผ่องแผ้วแจ่มใส ดุจทองอุไรทั้งแท่งอันบุคคลแกล้งหล่อแล้วมาวางไว้ในอาศรม ...
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 19  เมื่อ 30 เม.ย. 01, 17:49

อ่านแล้วก็อึ้งไปเหมือนกันค่ะ คุณนิรันดร์
คิดว่าจุดมุ่งหมายของผู้บันทึกเรื่องนี้ลงในพระไตรปิฎก มีจุดประสงค์ให้เห็นว่าพระเวสสันดรสามารถบำเพ็ญทานบารมีได้ยอดยิ่งกว่ามนุษย์อื่น
อะไรที่มนุษย์ทั่วไปรักใคร่หวงแหนเป็นตายยังไงก็ไม่ยอมให้ใคร อย่างเมียและลูก ท่านก็สละให้ได้
แม้มีกิเลสวูบขึ้นมาก็หักอารมณ์นั้นได้สำเร็จ  เป็นความยิ่งใหญ่ของพระเวสสันดร
ส่วนรายละเอียดการยกให้โดยไม่คำนึงสวัสดิภาพ ทำเอาสองกุมารถูกเฆี่ยนตีสาหัส   กลายเป็นความเคราะห์ร้ายของคนหนึ่งเพื่อประโยชน์ของอีกคนหนึ่ง  ท่านผู้บันทึกเรื่องนี้คงไม่ได้มองในแง่นั้น
อีกอย่างค่านิยมในอินเดียเมื่อกว่าสองพันห้าร้อยปี  (พระเวสสันดรอยู่ในสมัยไหนก็ไม่ทราบ แต่ต้องเก่ากว่านั้นแน่นอน) เป็นคนละเรื่องกับสิทธิมนุษยชนและการพิทักษ์สิทธิเด็กและสตรี
ชักมองรางๆแล้วว่าพุทธศาสนาจะอยู่ได้ ๕๐๐๐ ปีนี่จริง  เพราะเมื่อถึงวันนั้น  เหตุผลและการยึดถือของคนเปลี่ยนไปกันหมด    พุทธศาสนาอาจจะสูญไปจากการนับถือโดยไม่มีใครมาทำลาย แต่หมดไปด้วยตัวของตัวเองก็ได้
บันทึกการเข้า
นกข.
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 20  เมื่อ 30 เม.ย. 01, 23:41

เรื่องนี้เคยคุยกันรอบหนึ่งแล้ว
นิทานชาดก คือนิทานอย่างหนึ่งครับ บางคนอาจจะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงที่พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นกระต่าย นาค กษัตริย์ พราหมณ์ ฯลฯ จริงๆ แต่ผมมองว่าเป็นวรรณกรรม นิทานชาดกก็เป็นประเภทหนึ่งของนิทานแขกที่มีเล่ากันมา พระโบราณาจารย์ท่านอาจจะเอามาใส่ไว้ในพระไตรปิฎก เป็นวิธีสื่อการสอนอย่างหนึ่งให้เพลินๆ หรืออะไรก็ตามแต่ แต่จุดของผมคือว่า ท่านที่จดบันทึกเข้ามานั้น ก็ยังเป็นคนอินเดียยุคนั้น มีค่านิยมแบบอินเดียยุคนั้น เคยฟังนิทานอินเดียยุคนั้นหรือก่อนนั้นมา ดังนั้นก็คงจะได้อิทธิพลจากนิทานแขกอื่นๆ ด้วย

นิทานแขกอินเดีย เช่นนิทานฮินดู  (หรือแม้แต่หนังแขกเดี๋ยวนี้) ที่มุ่งให้เกิดการสะเทือนอารมณ์อย่างถึงที่สุด จนถึงกับสุดโต่ง ก็มีเป็นแบบอยู่ เช่นเรื่องท้าวหริศจันทร์ (พระเอกในใจท่านมหาตมะคานธี) ที่ยึดถือวาจาสัตย์มั่น ลั่นปากว่าจะทำบุญกับฤษีวิศวามิตรแล้วก็ทำจริงๆ จนถึงมอบราชสมบัติทั้งหมดให้ฤษี ขายพระมเหสี ขายพระโอรส ขายพระองค์เองลงเป็นทาสเอาเงินมาทำบุญ หรรือย่างท้าวอัชบาลที่เชือดเนื้อพระองค์เองให้พรานป่า ไถ่เนื้อทรายจนเนื้อหมดพระองค์สิ้นพระชนม์ ก็มีเป็นตัวแบบอยู่ แม่ยกอินเดียฟังนิทานพวกนี้แล้วก็คงร้องไห้ระงมไป รูปแบบวรรณกรรมอย่างนี้มีมาก่อน พอพุทธศาสนาเกิดขึ้น และในชั้นหลังเกิดอยากจะเล่านิทานแข่งกับฮินดูบ้าง ก็คงได้เค้าจากนิทานเดิมที่มีอยู่แล้ว (เรื่องรามเกียรติ์ยังมีโผล่อยู่ในชาดกเรื่องหนึ่งเลย เป็นเค้าๆ) ผมเชื่อว่าเป็นพระอาจารย์ในยุคหลังพุทธกาลครับ ที่เริ่มอยากจะเติมสีสันบันเทิงให้คำเทศน์ท่านบ้าง ในสมัยพุทธกาลแท้ๆ นั้นผมคิดว่านิทานชาดกยังไม่เกิด คือยังไม่มีการเล่ากัน แต่นิทานที่จะเป็นเค้าให้นิทานชาดกเกิดมานานแล้ว

ผมเองถือว่าชาดกเป็นวรรณกรรมครับ ผมไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าตรัสเล่าจริงๆ หรือเป็นเรื่องอดีตชาติของพระพุทธองค์จริงๆ แม้นิทานชาดกจะอ้างอย่างนั้นก็ตาม เรื่องพระมโหสถนั้น เห็นอิทธิพลเค้าเรื่องการแสดงปัญญาตัดสินคดีที่อยู่ในนิทานของอารยธรรมเก่าๆ หลายอารยธรรม (รวมทั้งคิงโซโลมอนของยิว) มีคดีหนึ่งที่พระมโหสถตัดสินคดีหญิง 2 คนแย่งลูก เหมือนในไบเบิ้ลพระคัมภีร์เก่าเปี๊ยบเลย

ดังนั้น ชาดกก็เป็นแค่เครื่องมือสื่อการสอนตัวหนึ่ง ไม่ใช่ตัวสัจจธรรมเอง (อย่างที่ทางเซนบอกว่า นิ้วที่ชี้ไปที่ดวงจันทร์ ไม่ใช่ตัวดวงจันทร์เอง) และดังนั้นผมถึงว่า เราสามารถตีความชาดกใหม่ได้ ตีให้เป็นประโยชน์ก็ได้ หรือถ้าไม่ตีความ จะฟังเล่นเพลินๆ ก็ได้เป็นนิทาน

เพราะถ้าจะเอาจริงจังแล้ว ศึกษาพุทธธรรมจากตรงอื่นดีกว่าครับ เช่น เรื่องทาน พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัดที่อื่น (ที่ไม่ใช่นิทานชาดก) ว่า การให้ที่บริสุทธิ์ ที่จะมีผลดี ควรจะประกอบด้วยปัจจัยอะไร ให้แล้วไม่เดือดร้อนเรา ไม่เดือดร้อนคนอื่น ฯลฯ ท่านตรัสไว้แล้ว ซึ่งถ้าเอามาจับกับที่อ้างว่าพระพุทธเจ้าทรงเล่านิทานชาดกเองก็จะเห็นเอง ว่าพระเวสสันดรสอบผ่านหรือไม่ผ่าน หรืออย่างเรื่องพระเตมีย์ใบ้อย่างนี้ สุดโต่งหรือเปล่า เป็นพุทธแท้หรือได้เค้านิทานแขกฮินดูมา ลองนึกดูสิครับ

ทางสวนโมกข์ท่านเลยจับเอาชาดกมาตีความใหม่ไงครับ สำนักสวนโมกข์เหมือนกัน ที่บอกว่าเราต้องอ่านพระไตรปิฎกอย่างพินิจ มิใช่เชื่อหมดทุกตัวอักษร ท่านอาจารย์พุทธทาสท่านอ้างนิทานเรื่องหนึ่งในพระไตรปิฎกที่พูดถึงสุริยุปราคา โดยอธิบายว่าเป็นเรื่องของเทวดาพระอาทิตย์ พระจันทร์ พระราหู ... สมัยนี้เรารู้ทางดาราศาสตร์แล้วว่าคืออะไร เราจะหลับตาเชื่อพระไตรปิกฎส่วนนี้ได้หรือ? แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่ว่าห้ามเชื่อพระไตรปิฎกเลย หรือว่าเหลวไหลหมด เพราะส่วนที่พระไตรปิฎกท่านซีเรียสก็มีอยู่ แล้วก็ในส่วนที่เป็นธรรมะนั้น ก็มีระบบคิดที่ชัดเจนเป็นระบบและไม่ขัดแย้งกันเอง ตรวจสอบกันเองได้ตลอดทั้งพระไตรปิฎก (โดยไม่เกี่ยวกับส่วนที่เป็นนิทาน) อยู่

ขออนุญาตเรียนแย้งคุณเทาชมพูนิดเดียวครับ ว่า ผมเองเชื่อว่าธรรมะของพระพุทธเจ้า (พูดให้ถูกคือ ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ - เพราะธรรมะมีของมันอยู่แล้ว) นั้น เป็นอกาลิโก ดังนั้นให้อีก 5000 ปีอีกกี่รอบก็ยังคงจริงอยู่นั่นเอง แต่ผมเห็นด้วยกับคุณเทาฯ ในแง่ที่ว่า สิ่งที่เราเรียกว่า พุทธศาสนา นั้น เป็นสังขารอันหนึ่ง ประกอบขึ้นมาจากหลายๆ อย่าง ตั้งแต่ตัวสัจจธรรมเอง ตัวแก่น รวมกับกระพี้อย่างชาดกบางเรื่อง รวมกับศาสนบุคคล กับพิธีการ ความเชื่อที่เข้ามาอิงกับศาสนานี้  ฯลฯ กลายเป็นสถาบันทางสังคมอันหนึ่งขึ้น ในแง่นี้ สถาบันพุทธศาสนาเสื่อมได้เช่นเดียวกับสังขารขันธ์ทั้งหลาย แต่กฏธรรมชาติในขั้นปรมัตถ์นั้นยังไงๆ ก็จริงอยู่เสมอไปครับ ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีคนที่ถือพุทธหลงเหลืออยู่ในโลกหรือไม่ จะเพราะสังคมเปลี่ยนค่านิยมไปหมด หรือเพราะคนเราจุดระเบิดนิวเคลียร์ทำลายตัวเองไปหมดก็ตาม ไตรลักษณ์ก็ยังเป็นไตรลักษณ์ ตัวสัจจธรรมยังเป็นสัจจธรรมอยู่ดี ไม่ขึ้นกับว่ามีคนมารับรู้ไหม
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 21  เมื่อ 01 พ.ค. 01, 00:27

โพสต์ไปแล้วก็นึกเหมือนกันว่าจะมีใครแย้งเรื่องอกาลิโกหรือไม่   ก็มีจริงๆ  คุณนกข.นี่เอง
เห็นด้วยค่ะ ไม่ค้าน
ดิฉันเขียนกำกวมไปหน่อย   ควรแยกให้ชัดว่าพูดถึงพุทธศาสนา ไม่ใช่พุทธธรรม
ขอขยายความว่า
ความคิดมุ่งไปที่เรื่องพุทธศาสนามีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้หลายองค์  ไม่ใช่องค์เดียวที่เรารู้จัก
จะมีช่วงที่พุทธศาสนาเสื่อมสูญไปจากโลก  ในช่วงนั้นจะไม่มีใครรู้จักพุทธธรรม  
เป็นช่วงที่พระปัจเจกพุทธเจ้าบังเกิด  ตรัสรู้แต่สอนใครไม่ได้    รู้แล้วก็นิพพานไปเงียบๆเมื่อถึงเวลา
จนพระพุทธเจ้าองค์ใหม่อุบัติขึ้นมา  ตรัสรู้  นำพระธรรมที่เป็นสัจธรรมของธรรมชาติมาสั่งสอน  โลกก็เริ่มมีพุทธศาสนาอีกครั้ง
บันทึกการเข้า
นกข.
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 22  เมื่อ 01 พ.ค. 01, 04:19

สำหรับท่านที่สนใจ คราวก่อนนี้เคยคุยกันเรื่องมหาเวสสันดรชาดกที่กระทู้ RW 205 ครับ
บันทึกการเข้า
นิรันดร์
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 23  เมื่อ 09 พ.ค. 01, 12:46

ผมยังเห็นว่า พระพุทธศาสนานั้นเป็น อะกาลิโก
คือเรียนรู้ได้และปฏิบัติได้ไม่จำกัดกาล
ส่วนนิทานชาดก ก็เป็นเพียงนิทาน
ไม่ได้เป็นดัวพระทุทธศาสนาอย่างแท้จริง
อาจเป็นนิทานที่อิงศาสนา อย่าถือเป็นจริงจังมากนัก
มรรค ๘ คือแนวทางปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ที่แท้จริง
เป็นอริยสัจจะ
ถึงแม้ไม่นับถือพระพุทธเจ้า แต่ถ้าปฏิบัติตามมรรคแปด ก็พ้นทุกข์ได้
ไม่เหมือนศาสนาอื่นที่ถ้าไม่นับถือพระเจ้าก็จะไม่อาจพ้นทุกข์
บันทึกการเข้า
bun
อสุรผัด
*
ตอบ: 7


ความคิดเห็นที่ 24  เมื่อ 19 ก.ย. 18, 11:13

แม้ว่าจะเป็นกระทู้ที่นานแล้ว...และผมอ่านดูหลายรอบแล้ว...
แต่เท่าที่อ่านมา..เป็นแค่ความคิดนึก ไปตามเหตุผลของความรู้สึกธรรมดา ซึ่งไม่สามารถเข้าถึงปัญญาจากชาดก
ผมก็รอว่า น่าจะมีใครสักคนมาเฉลยสิ่งที่ใช่ ให้คนอื่นเข้าใจได้อย่างชัดเจน
แต่ก็ยังไม่มีเห็นมีใครตอบสิ่งที่ถูกต้องตามจริง และตามเจตนนารมณ์ของธรรมมะ
...ซึ่งพระผู้มีพระภาค ได้จำแนก(ย่อย)ธรรมสำหรับมนุษย์ให้เข้าใจได้...ไม่ยากเกินที่จะเข้าใจได้
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.104 วินาที กับ 19 คำสั่ง