ผมครับ
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 15 เมื่อ 20 เม.ย. 01, 19:44
|
|
อ.นิรันตร์นี่มีลักษณะเหมือนผมคือเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ เรื่องอื่นก็สนใจและเข้าไปคลุกคลีได้ด้วย แต่ต่างจากผมครงที่ อ.นิรันดร์เปรียบเสมือน จระเข้ ผมเหมือนจ้ด้วย อ.นิรันดร์เปรียบเสมือน แอคคอร์เดียน ผมเหมือนหีบเพลงปาก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Agent Smith
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 16 เมื่อ 21 เม.ย. 01, 15:16
|
|
เรื่องคล้ายๆใน พระอนาคตวงศ์ นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ผู้เป็นที่พึ่งแก่สัตว์โลกทั้งหลาย วันหนึ่ง พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงการอุบัติตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสตอบแก่พระสารีบุตรว่า "ดูก่อนพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร จะมีสรรพสัตว์ที่บังเกิดในโลก ได้เป็นพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานเมื่อสิ้นอายุเป็นแน่ สัตว์เหล่าอื่นทำบาปแล้วจุติจากอัตภาพเป็นมนุษย์นี้แล้ว บังเกิดในอบายภูมิทั้ง 4 จุติจากอัตภาพนั้นท่องเที่ยวไปมา บำเพ็ญบารมีถึงความเป็นพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์ จักถึงนิพพาน ดูก่อน พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรผู้เจริญ พระพุทธเจ้าในอดีต มีมาแล้วหาที่สุดมิได้ เราไม่อาจกำหนดคำนวณพระพุทธเจ้าได้ ดูก่อนพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ในอนาคต พระพุทธเจ้า 10 พระองค์จักเสด็จอุบัติดังนี้แล" พระสารีบุตร จึงทูลอาราธนาพระบรมศาสดาว่า " ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ ขอพระองค์จงทรงแสดง พระพุทธเจ้า 10 พระองค์ แก่พุทธบริษัท 4 เถิด " พระบรมศาสดาจึงทรงแสดง ทสโพธิสัตตา แก่พุทธบริษัท ดังนี้ 1. พระศรีอริยเมตไตรยบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ....(ตัด)... เมื่อตรัสแสดงพุทธพยากรณ์ จบจึงตรัส พระคาถาธรรมแก่พุทธบริษัท 4 ว่า " เมื่อสัตบุรุษให้ทานที่บุคคลพึงให้ได้ยาก การกระทำกรรมที่บุคคลพึงกระทำได้ยาก อสัตบุรุษทั้งหลายย่อมไม่ทำตามที่สัตบุรุษ ดำเนินนั้นๆ ธรรมของสัตบุรุษทั้งหลายอัน อสัตบุรุษดำเนินตามได้ยาก" ดังนี้ จบอุเทศที่ 1 ด้วยพระพุทธพยากรณ์ดังนี้แล 2. พระรามพุทธเจ้า .....(ตัด)...... 3. พระธรรมราชาพุทธเจ้า .....(ตัด)...... 4. พระธรรมสามีพุทธเจ้า .....(ตัด)......
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Agent Smith
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 17 เมื่อ 21 เม.ย. 01, 15:48
|
|
5. พระนารทพุทธเจ้า เมื่อพระศาสนาของพระธรรมสามีพระพุทธเจ้าได้ล่วงไปแล้ว ได้บังเกิดสุญกัปอันเป็นกัปที่ว่างเปล่าจากพระพุทธศาสนา และการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เมื่อสุญกัปล่วงไป จักบังเกิดมัณฑกับ ซึ่งจักมีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น 2 พระองค์ อสุรินทราหู ผู้เป็นมหาอุปราชครองภพอสูรตอนเหนือซึ่งอยู่ใต้อุตตรกุรุอวีป จักบังเกิดเป็นพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระนารทพุทธเจ้า และเมื่อศาสนาของพระนารทพุทธเจ้าล่วงไปแล้วพระรังสีมุนีพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้เป็นองค์ที่ 2 ในมัณฑกัป ในกาลสมัยของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าพระอสุรินทราหูปรมโพธิสัตว์ได้บังเกิดเป็นพระราชาองค์หนึ่งทรงพระนามว่า สิริคุต ครองนิรมลนคร มีพระมหาเทวี ทรงพระนามว่า ลัมพุสสาเทวี มีพระราชโอรส และพระราชธิดา 2 พระองค์ พระโอรสทรงพระนามว่า นิโครธกุมาร พระธิดา ทรงพระนามว่า โคตมี วันหนึ่งพราหมณ์ 8 คน มาเข้าเฝ้าเพื่อทูลขอพระนครกับพระราชา พระราชาผู้เป็นหน่อเนื้อพุทธางกูรได้ฟังดังนั้นจึงโสมนัสยิ่ง พระราชทานพระนครแก่พราหมณ์ทั้ง 8 แล้ว ทรงพาพระเทวี และพระโอรสพระธิดา เสด็จออกจากพระนครไปสู่ธรรมิกบรรพต สร้างอาศรม และทรงรักษาศีล ณ ที่นั้น ในกาลนั้น มียักษ์ตนหนึ่ง มีร่างกายสูง 120 ศอก ออกมาจากป่าเพื่อทูลขอพระโอรส และพระธิดาทั้ง 2 พระองค์ จากพระบรมโพธิสัตว์ ครั้นได้ฟังดังนั้นพระบรมโพธิสัตว์ตรัสว่า “ดูก่อนยักษ์ผู้มีหน้างาม ผู้เจริญ เราเลี้ยงพระโอรสทั้ง 2 ไว้เพื่อให้ทาน บัดนี้เจ้ามาที่นี่เพื่อขอ 2 กุมารนี้ ดังนั้นเราจักยก พระโอรสทั้ง 2 แก่ท่าน” จึงเสด็จขึ้นจูงมือพระโอรสทั้ง 2 แล้วทรงหลั่งทักขิโณทกกล่าวให้หมู่เทวดาเป็นพยานในทานอันประเสริฐ และตั้งความปราถนาว่า “ดูก่อนปฐพี และหมู่เทวดาทั้งหลาย ขอท่านผู้เจริญทั้งหลายมาเป็นพยานให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด พระสัพพัญญุตญาณเท่านั้น เป็นที่รักยิ่งกว่าบุตรและธิดาอันเป็นที่รักน้อยกว่าร้อยเท่า พันเท่า แสนเท่า ด้วยผลบุญแห่งการให้บุตรและธิดาอันเป็นที่รักนี้ เราไม่ต้องการจักรพรรดิสมบัติ ไม่ต้องการอินทสมบัติ ไม่ต้องการมารสมบัติ ไม่ต้องการพรหมสมบัติ ไม่ต้องการประเทศราชสมบัติ แต่ต้องการสัพพัญญุตญาณเท่านั้น ขอการให้บุตร และธิดานี้ จงเป็นปัจจัยแห่งพระสัพพัญญุตญาณเถิด” เมื่อสิ้นเสียงอธิษฐาน ทันใดนั้นพื้นปฐพีได้หวั่นไหว สะท้าน สะเทือน สมุทรสาครก็กระเพื่อม ขุนเขาสิเนรุราชก็โน้มยอดสู่ธรรมิกบรรพต ฝรก็ดังกระหึ่มกึกก้อง สายฟ้าไม่ใช่ถดูกาล ก็แลบแปลบปลาบ ในกาลนั้นยักษ์ได้พา 2 กุมารไปหลังบรรณศาลา เอาฟันกัดคอ 2 กุมารและเคี้ยวกินทั้ง 2 กุมาร ต่อหน้าพระพักตร์พระบรมโพธิสัตว์ ทรงทอดพระเนตรเห็นหยดเลือดแต่มิได้ทรงหวั่นพระทัยเลย กลับทรงชมเชยทานของพระองค์แก่หมู่เทวดาด้วย เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าได้กล่าวการสร้างพระบารมีของพระบรมโพธิสัตว์ตามที่พระธรรมเสนาบดีทูลขอแล้ว ทรงมีพระพุทธพยากรณ์ว่า พระอสุรินราหูบรมโพธิสัตว์จักได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระพุทธนารทศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระวรกายสูง 120 ศอก ทรงมีพระชนมายุ 1 หมื่นปี มีต้นจันทน์เป็นต้นไม้ตรัสรู้ มีรส 7 ประการ เกิดขึ้นในสกลปฐพี มหาชนทั้งปวงบริโภครสปฐพีแล้วเลี้ยงชีพ ด้วยผลแห่งการให้กุมารเป็นทาน มหาชนทั้งหลายจักบังเกิดความสวยงามแห่งรูป ด้วยผลที่ยักษ์เคี้ยวกินกุมารต่อหน้าพระพักต์ของพระบรมโพธิสัตว์ แสงสว่างแห่งพระพุทธรัศมีจักบังเกิดตลอดกาลเป็นนิตย์ทั้งกลางคืน และกลางวัน จบอุเทศน์ที่ 5 ด้วยพระพุทธพยากรณ์ดังนี้แล 6. พระรังสีมุนีพุทธเจ้า .....(ตัด)...... 7. พระเทวเทพสัมพุทธเจ้า .....(ตัด)...... 8. พระนรสีหสัมพุทธเจ้า .....(ตัด)...... 9. พระติสสสัมพุทธเจ้า .....(ตัด)...... 10. พระสุมังคลสัมพุทธเจ้า .....(ตัด)......
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นิรันดร์
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 18 เมื่อ 30 เม.ย. 01, 15:51
|
|
เอ เห็นผมเป็นไอ้เข้ขวางคลองหรือครับ
ผมเห็นว่าถ้าพระเวสสันดรจะบรรลุพระโพธิญาณได้ด้วยการทำมหาปิยบุตรทานบารมี ได้นั้น ควรเป็นการบรรลุทานเพื่อทำให้คนอื่นพ้นทุกข์ด้วย ไม่ใช่ตัวเองพ้นทุกข์ แล้วคนอื่นจะทุกข์แล้วก้อนิ่งเฉย
ถึแม้ไม่ใช่ลูกเรา ถ้าเราเห็นคนเขากำลังทำร้ายกันอยู่อย่างไม่เป็นธรรม เราจะทำอย่างไร ถ้าเราอยู่ในวิสัยที่สามารถจะช่วยเหลือได้ ขนาด พ่อ กำลังทารุณลูกตัวเอง เราเป็นชาวบ้าน ยังต้องเข้าไปช่วยกันไม่ให้ พ่อทำร้ายลูกตัวเองได้ เรียกว่ามีเมตตา กรุณา คือต้องการให้คนอื่นพ้นทุกข์ และเป็นสุข อุเบกขา นั่นต้องเป็นข้อสุดท้าย ถ้าทำเมตตา กรุณา และมุทิตาไม่ได้แล้วค่อยอุเบกขา
ผมว่าถ้าถือว่า พระเวสสันดรท่านเป็นเจ้าของชีวิตสองกุมาร แล้วจะทำให้คนพ้นทุกข์ ก็น่าจะยกชีวิตของสองกุมารให้เป็นสิทธิขาดของสองกุมารเอง ไม่ใช่ส่งให้คนอื่นทำร้าย แล้ว "พระพักตร์ก็ผ่องแผ้วแจ่มใส ดุจทองอุไรทั้งแท่งอันบุคคลแกล้งหล่อแล้วมาวางไว้ในอาศรม ...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 19 เมื่อ 30 เม.ย. 01, 17:49
|
|
อ่านแล้วก็อึ้งไปเหมือนกันค่ะ คุณนิรันดร์ คิดว่าจุดมุ่งหมายของผู้บันทึกเรื่องนี้ลงในพระไตรปิฎก มีจุดประสงค์ให้เห็นว่าพระเวสสันดรสามารถบำเพ็ญทานบารมีได้ยอดยิ่งกว่ามนุษย์อื่น อะไรที่มนุษย์ทั่วไปรักใคร่หวงแหนเป็นตายยังไงก็ไม่ยอมให้ใคร อย่างเมียและลูก ท่านก็สละให้ได้ แม้มีกิเลสวูบขึ้นมาก็หักอารมณ์นั้นได้สำเร็จ เป็นความยิ่งใหญ่ของพระเวสสันดร ส่วนรายละเอียดการยกให้โดยไม่คำนึงสวัสดิภาพ ทำเอาสองกุมารถูกเฆี่ยนตีสาหัส กลายเป็นความเคราะห์ร้ายของคนหนึ่งเพื่อประโยชน์ของอีกคนหนึ่ง ท่านผู้บันทึกเรื่องนี้คงไม่ได้มองในแง่นั้น อีกอย่างค่านิยมในอินเดียเมื่อกว่าสองพันห้าร้อยปี (พระเวสสันดรอยู่ในสมัยไหนก็ไม่ทราบ แต่ต้องเก่ากว่านั้นแน่นอน) เป็นคนละเรื่องกับสิทธิมนุษยชนและการพิทักษ์สิทธิเด็กและสตรี ชักมองรางๆแล้วว่าพุทธศาสนาจะอยู่ได้ ๕๐๐๐ ปีนี่จริง เพราะเมื่อถึงวันนั้น เหตุผลและการยึดถือของคนเปลี่ยนไปกันหมด พุทธศาสนาอาจจะสูญไปจากการนับถือโดยไม่มีใครมาทำลาย แต่หมดไปด้วยตัวของตัวเองก็ได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นกข.
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 20 เมื่อ 30 เม.ย. 01, 23:41
|
|
เรื่องนี้เคยคุยกันรอบหนึ่งแล้ว นิทานชาดก คือนิทานอย่างหนึ่งครับ บางคนอาจจะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงที่พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นกระต่าย นาค กษัตริย์ พราหมณ์ ฯลฯ จริงๆ แต่ผมมองว่าเป็นวรรณกรรม นิทานชาดกก็เป็นประเภทหนึ่งของนิทานแขกที่มีเล่ากันมา พระโบราณาจารย์ท่านอาจจะเอามาใส่ไว้ในพระไตรปิฎก เป็นวิธีสื่อการสอนอย่างหนึ่งให้เพลินๆ หรืออะไรก็ตามแต่ แต่จุดของผมคือว่า ท่านที่จดบันทึกเข้ามานั้น ก็ยังเป็นคนอินเดียยุคนั้น มีค่านิยมแบบอินเดียยุคนั้น เคยฟังนิทานอินเดียยุคนั้นหรือก่อนนั้นมา ดังนั้นก็คงจะได้อิทธิพลจากนิทานแขกอื่นๆ ด้วย
นิทานแขกอินเดีย เช่นนิทานฮินดู (หรือแม้แต่หนังแขกเดี๋ยวนี้) ที่มุ่งให้เกิดการสะเทือนอารมณ์อย่างถึงที่สุด จนถึงกับสุดโต่ง ก็มีเป็นแบบอยู่ เช่นเรื่องท้าวหริศจันทร์ (พระเอกในใจท่านมหาตมะคานธี) ที่ยึดถือวาจาสัตย์มั่น ลั่นปากว่าจะทำบุญกับฤษีวิศวามิตรแล้วก็ทำจริงๆ จนถึงมอบราชสมบัติทั้งหมดให้ฤษี ขายพระมเหสี ขายพระโอรส ขายพระองค์เองลงเป็นทาสเอาเงินมาทำบุญ หรรือย่างท้าวอัชบาลที่เชือดเนื้อพระองค์เองให้พรานป่า ไถ่เนื้อทรายจนเนื้อหมดพระองค์สิ้นพระชนม์ ก็มีเป็นตัวแบบอยู่ แม่ยกอินเดียฟังนิทานพวกนี้แล้วก็คงร้องไห้ระงมไป รูปแบบวรรณกรรมอย่างนี้มีมาก่อน พอพุทธศาสนาเกิดขึ้น และในชั้นหลังเกิดอยากจะเล่านิทานแข่งกับฮินดูบ้าง ก็คงได้เค้าจากนิทานเดิมที่มีอยู่แล้ว (เรื่องรามเกียรติ์ยังมีโผล่อยู่ในชาดกเรื่องหนึ่งเลย เป็นเค้าๆ) ผมเชื่อว่าเป็นพระอาจารย์ในยุคหลังพุทธกาลครับ ที่เริ่มอยากจะเติมสีสันบันเทิงให้คำเทศน์ท่านบ้าง ในสมัยพุทธกาลแท้ๆ นั้นผมคิดว่านิทานชาดกยังไม่เกิด คือยังไม่มีการเล่ากัน แต่นิทานที่จะเป็นเค้าให้นิทานชาดกเกิดมานานแล้ว
ผมเองถือว่าชาดกเป็นวรรณกรรมครับ ผมไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าตรัสเล่าจริงๆ หรือเป็นเรื่องอดีตชาติของพระพุทธองค์จริงๆ แม้นิทานชาดกจะอ้างอย่างนั้นก็ตาม เรื่องพระมโหสถนั้น เห็นอิทธิพลเค้าเรื่องการแสดงปัญญาตัดสินคดีที่อยู่ในนิทานของอารยธรรมเก่าๆ หลายอารยธรรม (รวมทั้งคิงโซโลมอนของยิว) มีคดีหนึ่งที่พระมโหสถตัดสินคดีหญิง 2 คนแย่งลูก เหมือนในไบเบิ้ลพระคัมภีร์เก่าเปี๊ยบเลย
ดังนั้น ชาดกก็เป็นแค่เครื่องมือสื่อการสอนตัวหนึ่ง ไม่ใช่ตัวสัจจธรรมเอง (อย่างที่ทางเซนบอกว่า นิ้วที่ชี้ไปที่ดวงจันทร์ ไม่ใช่ตัวดวงจันทร์เอง) และดังนั้นผมถึงว่า เราสามารถตีความชาดกใหม่ได้ ตีให้เป็นประโยชน์ก็ได้ หรือถ้าไม่ตีความ จะฟังเล่นเพลินๆ ก็ได้เป็นนิทาน
เพราะถ้าจะเอาจริงจังแล้ว ศึกษาพุทธธรรมจากตรงอื่นดีกว่าครับ เช่น เรื่องทาน พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัดที่อื่น (ที่ไม่ใช่นิทานชาดก) ว่า การให้ที่บริสุทธิ์ ที่จะมีผลดี ควรจะประกอบด้วยปัจจัยอะไร ให้แล้วไม่เดือดร้อนเรา ไม่เดือดร้อนคนอื่น ฯลฯ ท่านตรัสไว้แล้ว ซึ่งถ้าเอามาจับกับที่อ้างว่าพระพุทธเจ้าทรงเล่านิทานชาดกเองก็จะเห็นเอง ว่าพระเวสสันดรสอบผ่านหรือไม่ผ่าน หรืออย่างเรื่องพระเตมีย์ใบ้อย่างนี้ สุดโต่งหรือเปล่า เป็นพุทธแท้หรือได้เค้านิทานแขกฮินดูมา ลองนึกดูสิครับ
ทางสวนโมกข์ท่านเลยจับเอาชาดกมาตีความใหม่ไงครับ สำนักสวนโมกข์เหมือนกัน ที่บอกว่าเราต้องอ่านพระไตรปิฎกอย่างพินิจ มิใช่เชื่อหมดทุกตัวอักษร ท่านอาจารย์พุทธทาสท่านอ้างนิทานเรื่องหนึ่งในพระไตรปิฎกที่พูดถึงสุริยุปราคา โดยอธิบายว่าเป็นเรื่องของเทวดาพระอาทิตย์ พระจันทร์ พระราหู ... สมัยนี้เรารู้ทางดาราศาสตร์แล้วว่าคืออะไร เราจะหลับตาเชื่อพระไตรปิกฎส่วนนี้ได้หรือ? แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่ว่าห้ามเชื่อพระไตรปิฎกเลย หรือว่าเหลวไหลหมด เพราะส่วนที่พระไตรปิฎกท่านซีเรียสก็มีอยู่ แล้วก็ในส่วนที่เป็นธรรมะนั้น ก็มีระบบคิดที่ชัดเจนเป็นระบบและไม่ขัดแย้งกันเอง ตรวจสอบกันเองได้ตลอดทั้งพระไตรปิฎก (โดยไม่เกี่ยวกับส่วนที่เป็นนิทาน) อยู่
ขออนุญาตเรียนแย้งคุณเทาชมพูนิดเดียวครับ ว่า ผมเองเชื่อว่าธรรมะของพระพุทธเจ้า (พูดให้ถูกคือ ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ - เพราะธรรมะมีของมันอยู่แล้ว) นั้น เป็นอกาลิโก ดังนั้นให้อีก 5000 ปีอีกกี่รอบก็ยังคงจริงอยู่นั่นเอง แต่ผมเห็นด้วยกับคุณเทาฯ ในแง่ที่ว่า สิ่งที่เราเรียกว่า พุทธศาสนา นั้น เป็นสังขารอันหนึ่ง ประกอบขึ้นมาจากหลายๆ อย่าง ตั้งแต่ตัวสัจจธรรมเอง ตัวแก่น รวมกับกระพี้อย่างชาดกบางเรื่อง รวมกับศาสนบุคคล กับพิธีการ ความเชื่อที่เข้ามาอิงกับศาสนานี้ ฯลฯ กลายเป็นสถาบันทางสังคมอันหนึ่งขึ้น ในแง่นี้ สถาบันพุทธศาสนาเสื่อมได้เช่นเดียวกับสังขารขันธ์ทั้งหลาย แต่กฏธรรมชาติในขั้นปรมัตถ์นั้นยังไงๆ ก็จริงอยู่เสมอไปครับ ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีคนที่ถือพุทธหลงเหลืออยู่ในโลกหรือไม่ จะเพราะสังคมเปลี่ยนค่านิยมไปหมด หรือเพราะคนเราจุดระเบิดนิวเคลียร์ทำลายตัวเองไปหมดก็ตาม ไตรลักษณ์ก็ยังเป็นไตรลักษณ์ ตัวสัจจธรรมยังเป็นสัจจธรรมอยู่ดี ไม่ขึ้นกับว่ามีคนมารับรู้ไหม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 21 เมื่อ 01 พ.ค. 01, 00:27
|
|
โพสต์ไปแล้วก็นึกเหมือนกันว่าจะมีใครแย้งเรื่องอกาลิโกหรือไม่ ก็มีจริงๆ คุณนกข.นี่เอง เห็นด้วยค่ะ ไม่ค้าน ดิฉันเขียนกำกวมไปหน่อย ควรแยกให้ชัดว่าพูดถึงพุทธศาสนา ไม่ใช่พุทธธรรม ขอขยายความว่า ความคิดมุ่งไปที่เรื่องพุทธศาสนามีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้หลายองค์ ไม่ใช่องค์เดียวที่เรารู้จัก จะมีช่วงที่พุทธศาสนาเสื่อมสูญไปจากโลก ในช่วงนั้นจะไม่มีใครรู้จักพุทธธรรม เป็นช่วงที่พระปัจเจกพุทธเจ้าบังเกิด ตรัสรู้แต่สอนใครไม่ได้ รู้แล้วก็นิพพานไปเงียบๆเมื่อถึงเวลา จนพระพุทธเจ้าองค์ใหม่อุบัติขึ้นมา ตรัสรู้ นำพระธรรมที่เป็นสัจธรรมของธรรมชาติมาสั่งสอน โลกก็เริ่มมีพุทธศาสนาอีกครั้ง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นกข.
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 22 เมื่อ 01 พ.ค. 01, 04:19
|
|
สำหรับท่านที่สนใจ คราวก่อนนี้เคยคุยกันเรื่องมหาเวสสันดรชาดกที่กระทู้ RW 205 ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นิรันดร์
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 23 เมื่อ 09 พ.ค. 01, 12:46
|
|
ผมยังเห็นว่า พระพุทธศาสนานั้นเป็น อะกาลิโก คือเรียนรู้ได้และปฏิบัติได้ไม่จำกัดกาล ส่วนนิทานชาดก ก็เป็นเพียงนิทาน ไม่ได้เป็นดัวพระทุทธศาสนาอย่างแท้จริง อาจเป็นนิทานที่อิงศาสนา อย่าถือเป็นจริงจังมากนัก มรรค ๘ คือแนวทางปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ที่แท้จริง เป็นอริยสัจจะ ถึงแม้ไม่นับถือพระพุทธเจ้า แต่ถ้าปฏิบัติตามมรรคแปด ก็พ้นทุกข์ได้ ไม่เหมือนศาสนาอื่นที่ถ้าไม่นับถือพระเจ้าก็จะไม่อาจพ้นทุกข์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
bun
อสุรผัด

ตอบ: 7
|
ความคิดเห็นที่ 24 เมื่อ 19 ก.ย. 18, 11:13
|
|
แม้ว่าจะเป็นกระทู้ที่นานแล้ว...และผมอ่านดูหลายรอบแล้ว... แต่เท่าที่อ่านมา..เป็นแค่ความคิดนึก ไปตามเหตุผลของความรู้สึกธรรมดา ซึ่งไม่สามารถเข้าถึงปัญญาจากชาดก ผมก็รอว่า น่าจะมีใครสักคนมาเฉลยสิ่งที่ใช่ ให้คนอื่นเข้าใจได้อย่างชัดเจน แต่ก็ยังไม่มีเห็นมีใครตอบสิ่งที่ถูกต้องตามจริง และตามเจตนนารมณ์ของธรรมมะ ...ซึ่งพระผู้มีพระภาค ได้จำแนก(ย่อย)ธรรมสำหรับมนุษย์ให้เข้าใจได้...ไม่ยากเกินที่จะเข้าใจได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|