คุณตั้งยังไม่เห็นเสือสมิงจังๆ. แต่ได้ยินเสียงเสือเลียนเสียงเก้ง. เป็นความรู้ใหม่ว่ามันเลียนเสียงได้
ในเพชรพระอุมา. มีแต่งูจงอางทำเสียงกระต๊ากได้เหมือนไก่ป่าตัวเมีย
เพื่อนของคุณตั้งรอดตายมาได้นับว่าทรหดมาก. จากที่อ่าน. เขาชักอยู่นานกว่า 12 ชั่วโมงทีเดียวค่ะ. เขาคงไม่คิดจะเข้าป่าอีกละมังคะ
คุณตั้งกลับไปสำรวจป่าอีกหรือเปล่าในระยะหลังๆนี้. อยากจะรู้ว่าป่าเปลี่ยนแปลงมากไหมในระยะ 20 ปี
ใช่ครับ ชักอยู่มากกว่า 12 ชม.ครับ ชักประมาณ 1-2 นาทีก็หยุดครั้งหนึ่ง เว้นไป 5-10 นาทีก็ชักอีก เป็นลักษณะอย่างนี้ครับ หากชักต่อเนื่องผมว่าคงแย่ไปแล้ว น่ากลัวมากนะครับ ต้องคอยดู เอาช้อนใส่ปากตอนชักเพื่อกันกัดลิ้น แล้วก็ลุ้นว่าจะหยุดเมื่อไร หยุดชักแล้วก็ต้องลุ้นต่อว่ายังหายใจอยู่นะ นั่นแหละครับระยะทางเดิน 2 ชม. ก็กลายเป็น 10 ชม.
ผมเพิ่งนึกชื่อบ้านออกว่า เดินจากบ้านสะพานเจ็ดไปบ้านไก่เกียง ระยะเดินจากบ้านไก่เีกียงถึงบ้านเกริงไกรประมาณ 2-3 ชม. แล้วก็ทำให้นึกชื่อของกะเหรี่ยงอีกคนที่เป็นเจ้าของช้าง เขามีชื่อเป็นไทยว่า จรูญ กะเหรี่ยงทั้งสองคนนี้ได้ช่วยทำให้สถานการณ์ที่อันตรายต่างๆ (ในระดับถึงชีวิต) จากคนในพื้นที่ เปลี่ยนจากร้ายกลายเป็นดี
ขอพักเรื่องประสบการณ์เกี่ยวกับเสือไว้ก่อน แล้วจะขอต่อไปในเรื่องประสบการณ์เกี่ยวกับช้าง แล้วก็ขอเว้นวรรคไปตอบคำถามเรื่องป่าเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเพียงใดครับ การบ้านที่มีสะสมมาก็จะค่อยๆตอบครับ
ผมไม่ได้กลับเข้าไปทำงานในป่าไปอีกเลยตั้งแต่ประมาณปี 2530 เนื่องจากเปลี่ยนลักษณะงานที่ทำ อย่างไรก็ตามก็พอจะตอบได้ในลักษณะที่ไม่ใช่กำปั้นทุบดินว่าก็ต้องเปลี่ยนไปซิ
สำหรับผม ป่าเปลี่ยนไปนั้น มาจาก 3 สาเหตุหลัก คือ จากตัวป่าเอง จากฝีมือคน และจากผลกระทบที่เป็นลูกคลื่นต่อเนื่องมาถึง ซึ่ง (ผมคิดว่า)ก็เคยเห็นทั้งสามแบบ และขอยกเป็นตัวอย่าง ดังนี้
การเปลี่ยนโดยธรรมชาติของตัวป่าเอง ไม่ต้องมีคนไปกระทำเลย ลักษณะนี้เห็นอยู่ 2 ป่า คือป่าแถวบ้านไก่เกียง ในห้วยขาแข้ง และแถวบ้านกีตี้หรือคลิตี้ ในเขต อ.ศรีสวัสดิ์ กาญจนบุรี
ป่าแรกแถวบ้านไก่เกียง คือ ป่าไผ่ หรือที่เราเรียกว่า ป่าชัฏ หรือชัฏป่าไผ่ เป็นป่าของไผ่หนาม หนามก็ขนาดตำทะลุรองเท้าได้ ครั้งแรกที่ประสบและต้องเดินผ่านไปทำงาน เดินแทบจะไม่ทะลุ ป่ากินพื้นที่กว้างมาก ผมคิดว่าหลายร้อยไร่ เรียกว่าใช้เข็มทิศเดินกะว่าจะออกพ้นไปที่จุดหนึ่ง กลับออกไปอีกจุดหนึ่ง เกือบจะหลงเอาทีเดียว แต่ขอใช้คำว่าหลุดแทน ต่อมาในครั้งที่สอง ห่างกันประมาณ 3 เดือน เดินเฉียดไป อ้าวไผ่ออกดอก มีแต่ขุยไผ่เต็มไปหมด พบไก่ป่ามากมาย แถวชายขอบป่าก็พบไก่ฟ้าพระยาลอด้วย พ้นฤดูสำรวจ กลับไปในอีกปีต่อไป ไม่เหลือความเป็นป่าชัฎอีกเลย โล่งไปหมด เห็นแต่ไผ่เพ็กต้นเล็กๆกำลังเกิดใหม่ (เมื่อไผ่ออกดอกออกขุยก็จะตายยกป่าเลย) ได้เห็นมีต้นไม้บางอย่างที่ไม่ใช่ต้นไผ่เติบโตขึ้น คิดว่าป่านี้ก็คงจะเปลี่ยนไปเป็นป่าเบ็ญจพันธุ์ต่อไป เสียดายที่ไม่ได้กลับเข้าไปทำงานอีกก็เลยไม่ทราบ อันนี้ช่วงปี 2514-2515
อีกป่าหนึ่งบนเส้นทางก่อนเข้าบ้านคลิตี้ ตามปกติที่เคยผ่านจะเป็นสภาพของป่าค่อนข้างทึบ น่าจะเรียกว่าเป็นลักษณะของป่าดิบแล้ง มีอยู่ปีหนึ่งกลับไปทำงาน พบว่าป่าได้เปลี่ยนไปเป็นลักษณะของป่าละเมาะ ครั้งแรกก็นึกว่ามีการตัดไม้ขนาดใหญ่ เดินเข้าไปสำรวจดูก็พบว่ามีร่องรอยการตัดไม้เพียงเล็กๆน้อยๆตามปกติเท่านั้น ป่านี้น่าจะยังคงสภาพที่เปลี่ยนแปลงไปแล้วดังที่พบในปัจจุบัน
สำหรับกรณีป่าเปลี่ยนโดยคนนั้น คงไม่ต้องกล่าวถึง มีมากมายไปหมด ที่ผมได้สัมผัสและน่าทึ่งที่สุดคือป่าทางตะวันตกของถนนสายนครสวรรค์-กำแพงเพชร บริเวณบ้างยางสูง ประสบการณ์ก็คือ เดือนมกราคมเข้าไปทำงานในพื้นที่ป่านั้น มองไม่เห็นเดือนเห็นตะวันเลย มีแต่ต้นยางและต้นมะค่าขนาดใหญ่ใบปกคลุม พื้นดินชื้นเปียกแฉะ ในเดือนมีนาคมต่อมาก็เข้าไปอีก คราวนี้โล่ง มีถนนทางลากซุงเต็มไปหมดจนหลง พื้นดินแห้ง มองทะลุไปหมด เป็นป่าที่ได้อนุญาตให้ทำไม้ครับ
อีกป่าหนึ่งก็คือทับเสลา อุทัยธานี โดยเฉพาะบริเวณที่เรียกว่าซับฟ้าผ่าที่ตั้งสำนักงานรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง แต่เดิมนั้นเป็นป่าดิบชื้น ในช่วงปี 2514-2515 มองไม่ทะลุไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน (ทับเสลาและซับฟ้าผ่าคือช่องเขาที่จะเดินเข้าไปในห้วยขาแข้ง) หลังจากเิริ่มมีการตัดถนนทำเส้นทางยุทธศาสตร์ ก็มีการบุกรุกถางป่าตามมาอย่างมากมาย ผมคงไม่ต้องบรรยายว่าเป็นอย่างไรในปัจจุบัน ไอ้ที่น่าห่วงก็คือ ผมเข้าไประยะหลังอีกครั้ง จนท.บอกว่าบริเวณห้วยทับเสลานี้แต่ก่อนนั้นมีนกยูงด้วย ผมสะอึกเลย นกตัวใหญ่ปานนั้นมันต้องการที่วิ่งเพื่อจะบิน (Take off) ไม่มีหรอกครับในพื้นที่เช่นนั้น นกยูงฝูงใหญ่อยู่ที่หาดปะนา (หาดควายในภาษาไทย) อยู่ริมแม่น้ำแควใหญ่ (น้ำเขื่อนศรีฯ ท่วมไปแล้ว) เป็นที่ราบ โล่ง และพื้นดินชุ่มชื้น มีน้ำแฉะเป็นบางจุด สนใจจะให้ขยายอีกสักเล็กน้อยใหมครัย ??
สำหรับป่าที่เปลี่ยนไปเนื่องจากได้รับผลกระทบนั้น ขอยกตัวอย่างป่าแม่วงค์ทางตะวันตกของนครสวรรค์ ป่านี้เป็นบริเวณของต้นน้ำห้วยขาแข้ง ห้วยแม่วงค์และอื่นๆ เดิมเมื่อปี 2513 นั้น ป่านี้เป็นที่ป่ามีความชุ่มชื้นเย็นฉ่ำตลอดทั้งปี ไม่ร้อน มีแดดรำไร น่าจะเป็นป่าที่เป็นป่าสำหรับความรู้สึกของคนโดยทั่วไป มีไม้ใหญ่เรือนยอดสูงอยู่มาก มีไม้เรือนยอดระดับกลางไม่มากนัก ไม้พื้นล่างมีมากมายและที่มีมากคือต้นกระชาย มีนกเงือก (นกกก นกกาฮัง) นกแกง (นกเงือกเล็ก) บินว่อนอยู่หลายคู่จำนวนมาก ผมมีประสบการณ์กับเสือในพื้นที่นี้สองสามครั้ง รวมทั้งหมี ช้าง ค่าง ฯลฯ เรียกว่าเป็นป่าในจินตนาการของคนที่ไม่คุ้นกับป่า ส่วนขอบรอบชายของป่านี้เป็นพื้นที่ให้ตัดทำไม้ มีต้นยางใหญ่และไม้มะค่า รวมทั้งปมมะค่า มีมากมาย หลังจากระดมทำไม้กันเรียบร้อยแล้ว ไม่นาน (สองสามปี) ผมก็ได้มีโอกาสกลับไปเห็นอีกครั้ง โอ้ ไม่น่าเชื่อเลย ภาพป่า(ส่วนใน)ที่สวยงามของผมไม่มีอะไรเหลือเลย กลายเป็นป่าแพะ ร้อน ไม่มีนกเงือก ผมไม่ทราบว่าปัจจุบันเป็นอย่างไร
จุดที่ป่าที่เริ่มเปลี่ยนไปนั้น ผมคิุคว่าน่าจะเริ่มในช่วงประมาณปี พ.ศ.2515 เป็นต้นมา หลายป่าที่ตามหลักวิชาการเขาว่าเป็นป่าเสื่อมโทรมก็เริ่มมีการถางปลูกใหม่ก็เริ่มในช่วงนี้ เคยเห็นป่าทีผมคิดว่ายังคือป่า ถูกถางและปลูกต้นสักก็ประมาณในช่วงนี้
เลยไม่ได้เข้าเรื่องช้างเลยครับ