potto
อสุรผัด

ตอบ: 2
|
ผมเคยทราบว่าร.4มีเหตุผลที่ทรงสถาปนาสมเด็จพระปิ่นเกล้าเป็นกษัตริย์อีก1พระองค์ เหมือนกับว่ามีคำทำนายอะไรสักอย่าง ไม่ทราบว่า เป็นเพราะอะไรครับ รบกวนถามผู้รู้ด้วยนะครับ ขอบคุณมากครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
siamese
|
ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อ 23 ก.ค. 11, 08:42
|
|
เกริ่นนำ
เมื่อช่วงผลัดแผ่นดินจากรัชกาลที่ ๓ ล่วงเข้าสู่แผ่นดินใหม่ เป็นระยะเวลาที่น่าหวาดกลัวที่สุด บรรดาข้าราชการต่างเฝ้าระวังภัยอันตรายอันเกิดจากการเปลี่ยนแผ่นดิน มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้ว เหตุการณ์จุกช่องล้อมวงยังคงมีอยู่เสมอมาในคราวผลัดแผ่นดิน
รัลกาลที่ ๓ ทรงมิได้มอบพระราชสมบัติให้แก่กษัตริย์ใหม่ว่าเป็นผู้ใด หากแต่ทวนให้เหล่าเสนาบดีผู้ใหญ่คัดเลือกเฟ้นหา ผู้ที่มีความสามารถขึ้นมา ซึ่งแน่นอนว่า การเมืองสมัยนั้นก็ประกอบด้วยเจ้านายหลาย ๆ กลุ่ม ที่พยายามผลักดันกลุ่มเจ้านาย เพื่อขึ้นปกครองบ้านเมือง และเกิดมีเหตุการณ์วุ่นวายบ้างเล็กน้อยในการซ่องสุมกำลังคนตามจุดต่าง ๆ แต่ก็ผ่านพ้นมาด้วยดี
และเมื่อยามผลัดแผ่นดินมาถึง ย่ำค่ำของวันที่ ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๓๙๔ มีการอัญเชิญเจ้าฟ้าใหญ่ (ยังทรงผนวชอยู่) และเจ้าฟ้าน้อย เข้าไปยังพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พร้อมด้วยเหล่าเสนาบดี พระสงฆ์ราชาคณะ พระบรมวงศานุวงศ์น้อยใหญ่ ข้าราชการฝ่ายทหาร
เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว "พระยาพิพัฒน์โกษา" ได้กราบบังคมทูลเชิญ (มีข้อความยาวเหยียด) เจ้าฟ้าทั้งสองพระองค์ขึ้นครองราชสมบัติพร้อมกันขึ้นสืบมหันตมหิศรราชวงศ์ ดำรงศิริราชสมบัติขัตติยราชประเพณีพระมหากษัตราธิราชเจ้าลำดับต่อไป
และแล้วบ้านเมืองสยามก็บังเกิดพระมหากษัตริย์ปกครองกรุงสยาม ขึ้น ๒ พระองค์ ในส่วนของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประกอบพระราชพิธีบวรราชาภิเษกในอีก ๑ เดือนถัดมา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
siamese
|
ความคิดเห็นที่ 2 เมื่อ 23 ก.ค. 11, 09:40
|
|
หากต้องการรู้ว่า "เหตุไฉนถึงมีการแต่งตั้งพระมหากษัตริย์เคียงคู่กัน ๒ พระองค์"
๑. สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงไว้ในหนังสือ "นิทานโบราณคดี" เรื่อง "เมืองไทยมีพระเจ้าแผ่นดิน ๒ พระองค์"
ซึ่งเคยสงสัยว่าแรกอ่านหนังสือพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ว่าเหตุใดรัชกาลที่ ๔ จึงทรงสถาปนาสมเด็จพระอนุชาเป็นพระเจ้าแผ่นดินอีกพระองค์ จนเมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ ๖ วันหนึ่งเจ้าพระยาภาณุวงศ์ฯ มาหา เวลานั้นท่านได้อายุ ๘๐ กว่าแล้ว แต่ความทรงจำยังแม่นยำ เมื่อสนทนากันจึงนึกถึงเรื่องที่ทูลถวายราชสมบัติทั้ง ๒ พระองค์ ถาทท่านว่าทราบหรือไม่
เมื่อรัชกาลที่ ๓ เสด็จสรรคต เหตุใดเจ้าพระยาสมเด็จพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (บิดาของท่าน เมื่อยังเป็นเจ้าพระยาพระคลังฯ) ซึ่งเป็นหัวหน้าในราชการ จึงแนะนำให้ถวายราชสมบัติให้กับทั้ง ๒ พระองค์ ไม่ถวายแก่พระองค์เดียวอย่างที่กระทำมาแต่ก่อน
ท่านเล่าว่า เมื่อรัชกาลที่ ๓ ใกล้จะสวรรคต สมเด็จเจ้าพระยาฯ ไปเฝ้ารัชกาลที่ ๔ ที่วัดบวรนิเวศ กราบทูลให้ทราบว่าจะเชิญเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ พระองค์ขอให้ถวายราชสมบัติแก่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ซึ่งท่านเรียกว่า "ท่านฟากข้างโน้น" ด้วย เพราะพระชะตาแรงนัก ตามตำราโหราศาสตร์ว่าผู้มีชะตาเช่นนั้นจะต้องได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ถ้าทรงรับราชสมบัติพระองค์เดียวจะเกิดอัปมงคล ด้วยไปกีดบารมีของพระอนุชา
ตัวท่านเอง (เจ้าพระยาภาณุวงศ์ฯ) อายุได้ ๑๘ ปี นั่งไปหน้าเก๋งเรือบิดา เมื่อถึงพระราชวังเดิม เป็นเวลาที่พระปิ่นเกล้าฯ ประทับอยู่แพหน้าพระราชวังเดิม เสด็จออกมารับสมเด็จเจ้าพระยา ฯ ที่แพลอย ตัวท่านอยู่ในเรือ ได้ยินสมเด็จเจ้าพระยาฯ เล่าถวายดังกล่าวมาจนทราบเรื่อง ตามแบบอย่างครั้งสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงสถาปนาสมเด็จพระเอกาทศรถ จึงเชื่อได้ว่าเรื่องที่เป็นจริงอย่างเจ้าพระยาภาณุวงศ์ฯ กล่าว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
siamese
|
ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อ 23 ก.ค. 11, 09:46
|
|
ดังนั้นการรับรู้เรื่องดวงพระชะตา เป็นการรับทราบข้อมูลในชั้นสมัยตั้งแต่รัชกาลที่ ๖ เป็นต้นมา
๒. การรับรู้เรื่องราวสมัยรัชกาลที่ ๕ ในการครองราชย์ของกษัตริย์สยาม ๒ พระองค์
ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ยังไม่ทราบข้อเท็จจริงเรื่องดวงพระชะตา ดูได้จาก "พระราชนิพนธ์ราชประเพณีตั้งมหาอุปราช" ในรัชกาลที่ ๕ กล่าวว่า
"เจ้าฟ้าน้อยซึ่งเป็นกรมขุนอิศเรศรังสรรค์ เป็นที่นับถือของคนเป็นอันมาก และเป็นพระอนุชาคู่ทุกข์คู่ยากด้วยกันมา ควรจะให้มียศใหญ่ยิ่งกว่าพระบรมราชวงศานุวงศ์และกรมพระราชบวรสถานมงคล ซึ่งรับพระบัณฑูรมาแต่ก่อน จึงพระราชทานพระบวรราชาภิเษกให้เป็นพระบาทสมเด็จพระปวเรนทราเมศร มหิศวเรศรังสรรค์ พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับพระบวรราชโองการพิเศษกว่าวังหน้าทั้งปวงซึ่งมีแต่ก่อน"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
siamese
|
ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อ 23 ก.ค. 11, 09:57
|
|
๓. พระวันรัต (พทุธสิริทับ) วัดโสมนัสวิหารได้แสดงธรรมเทศนาในงานสมโภชพระนครครบ ๑๐๐ ปี ได้กล่าวถึงเหตุที่รัชกาลที่ ๔ สถาปนาพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่า
"ทรงมีพระราชดำริเห็นว่า เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ทรงพระปรีชารอบรู้การในพระนครและต่างประเทศ และขนมธรรมเนียมต่าง ๆ และชำนาญในสรรพอาวุธในการณรงค์สงครามเป็นอันมาก และแคล่วคล่องจัดเจในการทรงพาหนะ มี คชสาร เป็นต้น อนึ่งเป็นที่นิยมนับถือของพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาทผู้ใหญ่ผู้น้อยเป็นอันมาก ครั้นทรงพระราชดำริฉะนี้แล้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่งที่อุปราช ให้รับพระบวรราชโองการพระราชทานพระเกียรติยศยิ่งกว่ากรมพระราชวังบวร ทุก ๆ พระองค์"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
siamese
|
ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อ 23 ก.ค. 11, 10:09
|
|
วิเคราะห์ถึงการณ์ที่สยาม มีพระเจ้าแผ่นดินถึง ๒ พระองค์
๑. เหตุการณ์ที่มีการปกครองของผู้นำประเทศ ๒ ตำแหน่งไม่เป็นที่แปลกแต่อย่างใด หากแต่แปลกในการเรียกชื่อ เช่น ในสหรัฐอเมริกา มีตำแหน่งประธานาธิบดี และรองประธานาธิบดี ได้ครองตำแหน่ง ๔ ปี และ ๘ ปี ดังนั้นความรู้เรื่องราวของชาวยุโรป ก็คงผ่านสายพระเนตรของล้นเกล้ารัชกาลที่ ๔ ระหว่างที่ทรงผนวช โดยผ่านทางบรรดาเหล่ามิชชันนารี
พระราชสาส์นถึงประธานาธิบดีอเมริกา พ.ศ. ๒๔๐๓
"....แลซึ่งในแผ่นดินยุไนติศเตศอเมริกามีขนมธรรมเนียมตั้งไว้และสืบมาแต่ครั้งปริไสเดนย์ยอดว์อชิงทัน ให้ราษฎรทั้งแผ่นดินพร้อมใจกันเลือนสันบุคคลี่ควรจัดไส้เป็นชั้นแล้วตั้งให้เป็นปริไสเดนต์ใหญ่ และ ปริไสเดนต์รอง ครองแผ่นดินชี้ขาดว่าราชการบ้านเมืองเป็นวาระเป็นคราวกำหนดเพียง ๔ ปีและ ๘ ปี แลให้ธรรมเนียมนี้ยั่งยืนอยู่ได้ไม่มีการขัดขวางแก่งแย่งกันด้วย ผู้นั้น ๆ จะช่วงชิงอิศริยยศกันเป็นใหญ่ในแผ่นดินดังเมืองอื่น ๆ ซึ่งเป็นอยู่เนือง ๆ นันได้ ก็เห็นว่าเป็นการอัศจรรย์ยิ่งนัก เป็นขนบธรรมเนียมที่ควรจะสรรเสริญอยู่แล้ว..."
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
siamese
|
ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อ 23 ก.ค. 11, 10:24
|
|
๒. เรื่องการเมือง เหนือกว่า เรื่องโหราศาตร์ แต่ใช้เรื่องโหราศาสตร์ มาตอบโจทย์เรื่องการเมือง
หากจะดูในด้านความสามารถของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ นั้นโดนเด่นกว่ามาก จึงต้องแต่งตั้งให้ได้รับตำแหน่งสูงสุด โดยคงที่จะให้มีการบวรราชาภิเกษให้มีพระอิสสริยยศเทียบเท่าพระมหากษัตริย์องค์หนึ่งเลย และยังเป็นการที่จะตัดปัญหาเรื่องการแย่งชิงราชสมบัติได้อีกทางหนึ่ง เนื่องจากรัชกาลที่ ๔ ทรงอยู่ในร่มกาสาวภักตร์นานถึง ๒๗ ปี มีความรู้ด้านการภาษา ก็มาอยู่ หากแต่ด้านการทหารคงไม่เท่ากับพระอนุชา
อีกทั้งพระอิสสริยยศ เป็นพระอนุชาร่วมพระราชมารดาเดียวกัน มีความสนิทกว่าเจ้านายอื่น ๆ ด้วยกัน และในขณะที่มีพระราชพิธีบวรราชาภิเษก รัชกาลที่ ๔ ยังไม่มีพระราชโอรสองค์ใหญ่ คือ พระบาทสมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่การตั้งครั้งดังกล่าวเป็นสิทธิอันชอบแล้วที่จะยกประเด็นเรื่องโหราศาตร์ มาตอบโจทย์ให้เป็นการอ้างอย่างแยบยลกว่าการอ้างเรื่องความสามารถอันโดดเด่นด้านการทหารเนื่องจากเรื่องการทหาร การปกครองอาจจะมีการโต้แย้งถึงเรื่องต่าง ๆ ได้
หากหยิบยกเรื่องพระชะตาต้องเสริมต่อกันนั้น คงยากจะมีผู้ใดโต้แย้งได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
siamese
|
ความคิดเห็นที่ 7 เมื่อ 23 ก.ค. 11, 11:00
|
|
๓. "พี่เณรจะเอาสมบัตติหรือไม่เอา ถ้าเอาก็รีบสึกไปเถอะ ถ้าไม่เอาหม่อมฉันจะได้เอา"
อ้างถึงเจ้าฟ้าจุฑามณี สำนักพิมพ์แพร่พิทยา ๒๔๑๓
ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจะเสด็จสวรรคต เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ได้เสด็จไปเฝ้าพระเชษฐาที่วัดบวรนิเวศ แล้วกราบทูลว่า "พี่เณรจะเอาสมบัติหรือไม่เอา ถ้าเอาก็รีบสึกไปเถอะ ถ้าไม่เอาหม่อมฉันจะได้เอา" อันทำให้รัชกาลที่ ๔ (พระวชิรญาณ) ทรงตอบรับการขึ้นครองราชย์กับสมเด็จเจ้าพระยาฯ ให้ทูลเชิญเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติทั้ง ๒ พระองค์
- ถ้าจะมองเรื่องการถ่วงดุลย์อำนาจในราชสำนักด้วยกันเอง ก็เป็นไปได้ว่า ฝ่ายการทหาร (โดยพระปิ่นเกล้าฯ) มีกำลังเข้มแข็งกว่ามาก สามารถถ่วงอำนานกับเหล่าข้าราชการที่รายรอบได้ (แต่ในความเป็นจริงแล้ว ตลอดรัชสมัยรัชกาลที่ ๔ พระปิ่นเกล้าฯ ทรงใช้ฐานะกษัตริย์พระองค์ที่ ๒ น้อยมาก ส่วนมากจะทรงมีพระราชดำริร่วมกันในการปกครองบ้านเมือง)
- ถ้าจะมองเรื่อง "เป็นใหญ่ได้อีก" ก็มีโอกาสได้ เนื่องจากในขณะนั้นรัชกาลที่ ๔ ยังไม่มีพระราชโอรส ที่ประสุติจากอัครมเหสี ทำให้ตำแหน่งวังหน้าได้สืบทอดราชสมบัติต่อไปหากหมดรัชสมัยของพระองค์ก็เป็นไปได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
potto
อสุรผัด

ตอบ: 2
|
ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อ 23 ก.ค. 11, 14:44
|
|
โอ้โห ผมขอบคุณคุณsiameseมากนะครับที่ให้ความกระจ่างมากมายขนาดนี้ ผมเข้ามาเวปนี้เป็นครั้งแรก และได้ตั้งแระทู้เป็นครั้งแรกด้วย ได้รับคำตอบอย่างละเอียดละออ ขอขอบคุณมากจริงๆครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 9 เมื่อ 23 ก.ค. 11, 16:34
|
|
เข้ามาขอบคุณอีกคนนึงครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33479
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 10 เมื่อ 25 ก.ค. 11, 13:05
|
|
เข้ามาถูตะเกียง เพราะมีปุจฉากับท่านหนุ่มสยามนิดหน่อยค่ะ
๑) คำว่า พี่เณร ดิฉันสงสัยว่าจะพิมพ์ผิด น่าจะเป็น พี่เถร เพราะเจ้าฟ้ามงกุฎไม่เคยเป็นเณร หรือถ้าจะเป็นก็ย้อนไปสมัยรัชกาลที่ ๒ โน่น ตลอดรัชกาลที่ ๓ ทรงเป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่แล้ว ถ้าพระราชอนุชาจะเรียกอย่างคะนองถึงขนาดนั้นก็คงเป็นเถรมากกว่าเณร แต่เรื่องนี้เป็นเกร็ดเล็กน้อย อาจไม่ได้ทรงเรียกทั้ง ๒ อย่างก็ได้
๒) น่าสังเกตว่า สมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ท่านทรงมองสมเด็จพระปิ่นเกล้าแตกต่างจากสมเด็จพระจอมเกล้าฯ มองอยู่มาก เมื่อใกล้สิ้นรัชกาลที่ ๓ เกิดปัญหาว่าเรื่องรัชทายาท ในพระราชพงศาวดารของเจ้าพระยาทิพากรวงศ บรรยายว่า
"ครั้นณวันอังคารเดือน ๓ ขึ้น๑๐ ค่ำเพลาบ่าย ๕ โมง มีรับสั่งให้หาพระยาศรีสุริยวงศ์จางวางมหาดเล็กเข้าไปเฝ้าในที่ มีพระราชโองการถามว่า พระยาพิพัฒน์ ฯ ได้เอาจดหมายที่ทรงอนุญาตนั้นออกไปปรึกษาหารือเสนาบดีแล้วหรือ เขาว่ากะไรบ้าง พระยาศรีสุริยวงศ์กราบทูล ว่า ได้ทราบเกล้าทราบกระหม่อม ทุกคนพากันเศร้าโศกและเห็นว่าโปรด ฯ ดังนี้พระเดชพระคุณเป็นที่สุด ปรึกษากันว่าพระโรคนั้นยังไม่ถึงตัดรอน แพทย์หมอยังพอฉลองพระเดชพระคุณได้อยู่ ซึ่งจะยกพระวงศานุวงศ์พระองค์ใดพระองค์หนึ่งขึ้นก็ยังไม่สมควร จะช่วยกันฉลองพระเดชพระคุณว่าราชการแผ่นดิน มิให้มีเหตุการณ์ภัยอันตรายขึ้นได้ จึงตรัสสั่งให้ท่านพระยาศรีสุริยวงศ์ขยับเข้าไปให้ชิดพระองค์ ให้ลูบดูพระสรีรกาย แล้วดำรัสว่าร่างกายทรุดโทรมถึงเพียงนี้แล้ว หมอเขาว่ายังจะหายอยู่ ไม่เห็นด้วยเลย การแผ่นดินไปข้างหน้าไม่เห็นผู้ใดที่จะรักษาแผ่นดินได้ กรมขุนเดชเล่าท่านก็เป็นคนพระกรรณเบา ใครจะพูดอะไรท่านก็เชื่อง่าย ๆ จะเป็นใหญ่โตไปไม่ได้ กรมขุนพิพิธเล่าก็ไม่รู้จักการงาน ปัญญาก็ไม่สอดส่องไปได้ ท่านฟ้าน้อยเล่าก็มีสติปัญญารู้วิชาการช่างและการทหารต่าง ๆ อยู่ แต่ไม่พอใจทำราชการ เกียจคร้านรักแต่การเล่นสนุกเท่านั้น ที่สติปัญญาพอจะรักษาแผ่นดินได้อยู่เห็นแต่ท่านฟ้าใหญ่คนเดียว แต่รังเกียจอยู่ว่าท่านฟ้าใหญ่ถืออย่างมอญ ถ้าเป็นเจ้าแผ่นดินขึ้น ก็จะให้พระสงฆ์ห่มผ้าอย่างมอญเสียหมดทั้งแผ่นดินดอกกระมัง กลัวเจ้านายข้าราชการเขาจะไม่ชอบใจ จึงได้อนุญาตให้ตามใจคนทั้งปวงสุดแท้แต่จะเห็นพร้อมเพรียงกัน"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33479
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 11 เมื่อ 25 ก.ค. 11, 13:11
|
|
ข้อความตอนนี้แสดงว่าสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ มิได้ทรงเห็นว่าสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ เหมาะสมเท่าใดนักในสายพระเนตร "ท่านฟ้าน้อย" ดูไม่ค่อยจะทรงเอาไหน พอๆกับเจ้านายอีก ๒ พระองค์ในลำดับก่อนหน้า แสดงว่าไม่ได้ทรงรู้สึกกว่า "ท่านฟ้าน้อย" มีอำนาจราชศักดิ์หรือมีกำลังทหารจนเป็นที่น่าเกรงพระทัย ผิดกับสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ที่ทรงยกย่องพระราชอนุชาอย่างสูง ถึงขั้นยกให้สูงกว่าวังหน้าในรัชกาลก่อนๆ ดิฉันจึงคิดว่า คำวิจารณ์ของสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ชี้ให้เห็นว่าสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ มิได้ทรงมีกำลังทหารหนุนหลังเป็นแบ๊คอย่างดี พอจะกลายมาเป็นเหตุผลทางการเมืองในต้นรัชกาลที่ ๔ แต่เป็นเพราะสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ท่านทรงรักพระราชอนุชาพระองค์นี้มาก ส่วนอีกข้อคือเรื่องโหราศาสตร์ ก็เชื่อว่าจริง ไม่มีเหตุผลอะไรที่บุคคลที่อยู่ในผ้าเหลืองรักษาศีล ๒๒๗ ข้อเคร่งครัดไม่ด่างพร้อยมาตั้ง ๒๗ ปี และโปรดวิชาโหราศาสตร์อย่างจริงจัง จะต้องมาพูดเท็จ ออกอุบายอ้างนั่นอ้างนี่ เพื่อผลทางการเมือง มองจากสภาพแวดล้อม ขุนนางในสกุลบุนนาคในต้นรัชกาลนับว่าสำคัญก็จริง แต่อำนาจยังไม่ล้นฟ้าเท่ากับปลายรัชกาลและต่อมาในต้นรัชกาลที่ ๕ ในเมื่อพวกเขาพร้อมใจกันอัญเชิญพระองค์ขึ้นครองราชย์ ก็แปลได้อีกอย่างว่าอำนาจขุนนางในสมัยนั้นยังไม่ล้นเหลือ พอจะยกตัวเองเป็นใหญ่เสียเอง ขุนนางใหญ่น้อยยังยึดมั่นในลำดับการสืบสันตติวงศ์ในพระราชวงศ์จักรีอยู่อย่างเคร่งครัด
ดิฉันที่เห็นอีกอย่างหนึ่งคือ ตำแหน่งพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ ๒ พิสูจน์ในตัวว่า สมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงถือสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯเป็นรัชทายาท ในตอนขึ้นครองราชย์ หากว่าทรงปุบปับเป็นอะไรไปโดยยังไม่ทันจะมีเจ้าฟ้า เจ้านายขุนนางใหญ่น้อยก็ไม่ต้องมาหากันให้วุ่นวาย ว่าใครควรจะขึ้นครองราชย์ต่อไป เพราะทรงสถาปนาคนนั่งอยู่บนบัลลังก์เอาไว้แล้วเรียบร้อย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
kui045
มัจฉานุ
 
ตอบ: 94
|
ความคิดเห็นที่ 12 เมื่อ 25 ก.ค. 11, 13:35
|
|
ขอบพระคุณผู้ทรงภูมิ ที่ทำให้ผมได้รับรู้ข้อมูลใหม่เพิ่มเติม 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
siamese
|
ความคิดเห็นที่ 13 เมื่อ 25 ก.ค. 11, 13:58
|
|
เข้ามาถูตะเกียง เพราะมีปุจฉากับท่านหนุ่มสยามนิดหน่อยค่ะ
๑) คำว่า พี่เณร ดิฉันสงสัยว่าจะพิมพ์ผิด น่าจะเป็น พี่เถร เพราะเจ้าฟ้ามงกุฎไม่เคยเป็นเณร หรือถ้าจะเป็นก็ย้อนไปสมัยรัชกาลที่ ๒ โน่น ตลอดรัชกาลที่ ๓ ทรงเป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่แล้ว ถ้าพระราชอนุชาจะเรียกอย่างคะนองถึงขนาดนั้นก็คงเป็นเถรมากกว่าเณร แต่เรื่องนี้เป็นเกร็ดเล็กน้อย อาจไม่ได้ทรงเรียกทั้ง ๒ อย่างก็ได้
สายตาฟางครับ พี่เถร ดังคำ อ.เทาชมพูกล่าวไว้ ถูกต้องแล้ว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
siamese
|
ความคิดเห็นที่ 14 เมื่อ 25 ก.ค. 11, 14:24
|
|
เหตุการณ์ช่วงปลายรัชสมัยรัชกาลที่ ๓ ต่อช่วงรัชกาลที่ ๔ เป็นเหตุการณ์ที่น่าศึกษาไม่น้อยครับ
ผมมีความคิดเห็นว่าการที่จะทรงเลือกผู้ใดเป็นรัชทายาท นั้นเป็นสิทธิอันชอบธรรมของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๓ จากพระราชพงศาวดารของเจ้าพระยาทิพากรวงศ ที่ยกมาเป็นพระราชกระแสจากล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๓ ยามเมื่อพระองค์จวนสวรรคต และท้ายสุดพระองค์ก็ได้มอบอำนาจการตัดสินใจให้กับเหล่าเสนาบดีผู้ใหญ่ ให้ประชุมกันเลือกกษัตริย์ใหม่องค์ต่อไป
ทั้งนี้ในบทความความสำคัญของรัชกาลที่ ๓ ต่อพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า อาจจะมองได้ว่า ทรงรักสนุกจนเกินไป
เรื่ององค์รัชทายาทที่จะสืบสันตติวงศ์ในสมัยรัชกาลที่ ๓ นั้นมีเกร็ดเล็กน้อยจะยกมาเพื่อขยายความออกไป ซึ่งอ้างถึง The Accession of King Monkut, J.S.S. Vol 57, Pt.1, 150, 151 ของหมดบรัดเลย์ เคยพิมพ์ไว้ว่า
"...ดูเหมือนว่า พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชประสงค์ที่จะสลุราชบัลลังก์ให้พระราชโอรสสองพระองค์ ทรงพระนามว่า พระองค์เจ้าโกเมน และพระองค์เจ้าอรรณพ เพื่อให้ทั้งสองพระองค์ทรงครองราชสมบัติร่วมกัน โดยพระนั่งเกล้าฯ จะเสด็จออกผนวช แต่เมื่อพระองค์ทรงนำพระราชดำรินี้ไปตรัสปรึกษาขุนางระดับสูงผู้หนึ่ง ขุนนางผู้นี้ก็กราบทูลว่า ถ้าพระองค์ทรงสละราชบัลลังก์แล้ว ก็ยังมีพระบรมวงศานุวงศ์องค์อื่นที่สมควรจะได้ขึ้นครองราชย์มากกว่าพระราชโอรสสองพระองค์ที่ทรงกล่าวพระนาม...และพระองค์ก็มิทรงตัดสินใจ เกรงว่าจะเกิดความผิดพลาดจนเป็นสงครามกลางเมือง"
ดังที่หมอบรัดเลย์ตีพิมพ์นี้จะเห็นว่า มีกระแสแนวคิดที่จะมีกษัตริย์ปกครองร่วมกันมาก่อนหน้านี้แล้ว และยังมีกลุ่มขุนนางที่สนับสนุนกลุ่มเจ้าฟ้าใหญ่ในเวลาเดียวกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|