เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 4 5 [6]
  พิมพ์  
อ่าน: 44625 ชาติภพใช่เพียงฝัน - การระลึกชาติในประวัติศาสตร์ไทย
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 75  เมื่อ 20 ส.ค. 11, 14:18

ได้ข้อมูลเกี่ยวกับการระลึกชาติของพ.ต.อ.ชติ มาแค่นี้ค่ะ
ไปเจอในเว็บไซต์ เป็นงานค้นคว้าเรื่องระลึกชาติ  ยาวมาก  เลยยกมาให้อ่านกันเอง สำหรับผู้สนใจ

๑๖ กรณีศึกษา ผู้จำอดีตชาติได้ จากหมู่บ้านตะคร้อ ต.ตะคร้อ อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค์

หมายเหตุ  งานค้นคว้าข้างบนนี้ ไม่ได้มีการตีพิมพ์   โปรดพิจารณาด้วยวิจารณญาณ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 76  เมื่อ 20 ส.ค. 11, 15:08

ในเรื่องเดียวกันนี้ ผู้รวบรวมได้ข้อสังเกตจากเรื่องระลึกชาติมาลงด้วย   ใครสนใจอ่านได้ที่นี่ค่ะ

ลักษณะที่น่าสนใจของผู้จำอดีตชาติได้

ขอสรุปบางตอนมาให้อ่านกัน

-  จากผู้ที่จำอดีตชาติได้ทั้ง ๑๖ ราย  ผู้ป่วยเสียชีวิตหรือเสียชีวิตตามปกติธรรมชาติ(Natural Death)จำอดีตชาติได้เพียง ๓ ราย   แต่ผู้เสียชีวิตแบบผิดปกติธรรมชาติ  คือเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุหรือเสียชีวิตเพราะถูกฆาตกรรม หรือที่เรียกกันตามภาษาชาวบ้านว่า ตายโหง(Violent Death)จำอดีตชาติได้มากถึง ๑๓ ราย      
    สอดคล้องกับข้อมูลกรณีศึกษาผู้ที่จำอดีตชาติได้ในต่างประเทศ ที่พบว่ามีจำนวนของผู้เสียชีวิตแบบผิดปกติธรรมชาติ จำอดีตชาติได้มากกว่าผู้ที่ในอดีตชาติป่วยเสียชีวิตหรือเสียชีวิตตามปกติธรรมชาติ
-  ผู้ค้นคว้าให้เหตุผลว่า  ผู้ประสบกับเหตุการณ์ที่รุนแรงน่ากลัว เกิดขึ้นกะทันหันไม่ทันตั้งตัว เกิดอุบัติเหตุ หรือถูกฆาตกรรม ในทางพุทธศาสนาเรียกอารมณ์ที่มีผลกระทบรุนแรงทางกาย ว่า "อติมหันตารมณ์" และเรียกอารมณ์ผลกระทบทางใจว่า "วิภูตารมณ์" ซึ่งอาจทำให้จำได้ฝังใจ  เพราะประกอบด้วยความคั่งแค้น  ความเป็นห่วงหรือเสียดาย ในสิ่งที่ยังไม่ได้ทำหรือสิ่งที่ตั้งใจไว้  ทำให้เกิดความระลึกถึงอยู่เสมอ
    อารมณ์นี้ทำให้ความทรงจำถูกยกขึ้นมาอยู่ในระดับจิตสำนึกปกติ (Consciousness) เมื่อสืบชาติมาเกิดใหม่จึงมีโอกาสที่จะจำอดีตชาติได้มากกว่าผู้ที่เสียชีวิตด้วยสาเหตุธรรมชาติ เช่น เสียชีวิตเนื่องจากโรคภัยไข้เจ็บ  เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่มีเวลาทำใจให้พร้อมรับกับความตายที่กำลังจะมาถึง อีกทั้งการเจ็บป่วยเป็นเหตุการณ์ตามธรรมชาติ  ไม่มีใครทำให้เกิด จึงไม่เป็นเหตุให้เกิดความฝังใจ แค้นใจ ความทรงจำนั้นๆจึงไม่ค่อยจะหนักแน่นหรือไม่ถูกระลึกอยู่เสมอ    จึงถูกเก็บไว้ในระดับของภวังคจิตหรือจิตใต้สำนึก(Subconsciousness)ที่ลึกลงไป  ทำให้โอกาสที่จะจำอดีตชาติได้ด้วยความทรงจำปกติ จึงมีน้อยกว่าผู้ที่เสียชีวิตด้วยสาเหตุที่ผิดธรรมชาติ  
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 77  เมื่อ 22 ส.ค. 11, 16:56

คำบอกเล่าของหลวงปู่ชอบ ฐานสโม  วัดป่าสัมมานุสรณ์ บ้านโคกมน ตำบลผาน้อย อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ศิษย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
ท่านระลึกชาติได้ว่า เคยเป็นพ่อค้าขายผ้าชาติลาว ออกเดินทางมากับ พ่อเชียงหมุน(อุปัฏฐากคนหนึ่งในชาตินี้) ข้ามแม่น้ำโขงมาฝั่งไทย มาทานผ้าขาวหนึ่งวาและเงิน 50 สตางค์ บูชาถวายพระธาตุพนมพร้อมทั้งอธิษฐานขอให้ได้บวชได้พ้นทุกข์ ท่านเล่าว่าท่านเคยมาช่วยสร้างพระธาตุพนมด้วยสมัยพระมหากัสสปะเถระเจ้า พระธาตุพนมนี้สร้างก่อนพระปฐมเจดีย์
ท่านเคยเป็นคนยางอยู่ในป่า เคยเกิดเป็นทหารพม่ามารบกับไทย แต่ยังไม่ทันฆ่าคนไทย ก็ตายเสียก่อน เคยเกิดอยู่เมืองปัน พม่า ชาตินี้ท่านก็ได้กลับไปดูบ้านเกิดในชาติก่อนที่เมืองปันด้วย
เคยเป็นทหารไปหลบภัยที่ถ้ำกระ เชียงใหม่ และได้ตายเพราะอดข้าวที่นั่น
หลวงปู่ เคยเป็นพระภิกษุ รักษาศิลอยู่กับพระอนุรุทธ เคยเป็นสามเณรน้อย ลูกศิษย์พระมหากัสสปะ
สำหรับการเกิดเป็นสัตว์ นั้น หลวงปู่เล่าว่า ท่านผ่านพ้นมาอย่างทุกข์ยากแสนเข็ญ เช่นเคยเกิดเป็นผีเสื้อแล้วถูกค้างคาวไล่จับเอาไปกินที่ถ้ำผาดิน เคยเกิดเป็นฟาน หรือเก้ง ไปแอบกินมะกอก กินยังไม่ทันอิ่มสมอยาก ก็ถูกมนุษย์ไล่ยิง เขายิงที่โคกมนถูกที่ขา วิ่งหนีกระเซอะกระเซิงไปตายที่บ้านม่วง
เมื่อครั้งเกิดเป็นหมีไปกินแตงช้าง (แตงร้าน) ของชาวบ้านถูกเจ้าของเขาเอามีดไล่ฟันถูกหัวถูกหู เคราะห์ดีไม่ถึงตาย แต่ก็บาดเจ็บมาก ต้องทนทุกข์ไปจนกระทั่งหายไปเอง
เคยเกิดเป็นไก่ มีความรักผูกพันรักชอบนางแม่ไก่สาว จึงอธิษฐานให้ได้พบกันอีก ทำให้กลับมาเกิดเป็นไก่ซ้ำถึง 7 ชาติ
เคยเกิดเป็นปลา ซึ่งอยู่ในสระ (ปัจจุบันอยู่ที่สวนหลังบ้านของ พล.อ.อ.พโยม เย็นสุดใจ)
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 78  เมื่อ 22 ส.ค. 11, 16:58

ท่านเล่าถึงชีวิตของการเป็นสัตว์ว่าแสนลำเค็ญ อดอยากปากแห้ง มีความรู้สึกร้อน หนาว หิวกระหายเหมือนมนุษย์ แต่ก็บอกไม่ได้ พูดไม่ได้ ต้องเที่ยวซอกซอนไปอยู่ตามป่า ตามเขาตามประสาสัตว์ ฝนตกก็เปียกหนาวสั่น แดดออกก็ร้อนไหม้เกรียม อาศัยถ้ำ อาศัยร่มไม้ไปตามเพลง บางทีมาอยู่ใกล้หมู่บ้านหิวกระหาย เห้นพืชผลที่ควรกินเป็นอาหารได้ พอจะจับใส่ปากใส่ท้องได้บ้าง ก็กลับกลายเป็นของที่เขาหวงห้าม มีเจ้าของต้องถูกเขาขับไสไล่ทำร้าย

ชีวิตที่เวียนว่ายวนอยู่ในกองทุกข์ตามอำนาจกรรมที่กระทำมานี้ แต่บางทีภพชาตินั้นก็ยืดยาวต่อไปด้วยอำนาจกิเลสตัณหา    ยกตัวอย่างเช่น ตอนท่านเกิดเป็นไก่ ใจนึกปฏิพันธ์รักใคร่นางแม่ไก่ ชื่นชอบภพชาติที่เป็นไก่ของตน ปรารถนาขอให้พบนางไก่อีก ก็ต้องวนเวียนกลับมาเกิดเป็นไก่อยู่เช่นนั้น

หลวงปู่เล่าว่า แม้ท่านพระอาจารย์มั่นเอง เมื่อท่านระลึกชาติได้ เห็นภพชาติที่เวียนวนกลับไปเกิดเป็นสุนัขถึงหมื่นชาติ ท่านยังเกิดความสลดสังเวช ถึงกับขออธิษฐานเลิกปรารถนาพุทธภูมิ เพราะการบำเพ็ญบารมีเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในอนาคตนั้น ท่านจะต้องบำเพ็ญต่อไปอีกเป็นแสนกัปแสนกัลป์ฯ
เคราะห์ดีที่ท่านเกิดสลดสังเวชคิดได้ ท่านพระอาจารย์มั่นจึงสามารถดำเนินความเพียรเร่งรัดตัดตรงเข้าสู่พระนิพพานเป็นผลสำเร็จได้

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 79  เมื่อ 22 ส.ค. 11, 16:58

วันหนึ่งระหว่างหลวงปู่กำลังวิเวกอยู่ที่เชียงใหม่ ตกกลางคืนท่านก็เข้าที่ภาวนาตามปกติ ปรากฏภาพนิมิต มีแม่ไก่ตัวหนึ่งมาหาท่าน กิริยาอาการนั้นนอบน้อมอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง   มาถึงก็ใช้ปีกจับต้องกายท่าน จูบท่าน ท่านประหลาดใจที่สัตว์ ตัวเมียแสดงกิริยาอันไม่สมควรต่อพระเช่นนั้น จึงได้ดุว่าเอา
แต่แม่ไก่ตัวนั้นก็อ้างว่า เคยเกิดเป็นภรรยาของท่านมาถึง 7 ชาติแล้ว ความผูกพันยังมีอยู่ไม่อาจจะลืมเลือนได้ แม้จะรู้ว่าพระคุณเจ้าเป็นภิกษุสงฆ์ไม่บังควรจะแสดงความอาวรณ์ผูกพันเช่นนี้ ตนมีกรรมต้องมาบังเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ต่ำต้อยน้อยวาสนา ก็ได้แต่นึกสมเพชตัวเองอยู่มาก อย่างไรก็ดี เมื่อพระคุณเจ้าผู้เคยเป็นคู่ชีวิตมาอยู่ในถิ่นที่ใกล้ตัวเช่นนี้ ตนอดใจมิได้จึงมากราบขอส่วนบุญบารมี

ในนิมิตนั้นปรากฏว่าหลวงปู่ได้เอ็ดอึงเอาว่าเราเป็นคนเจ้าเป็นสัตว์ จะมาเคยเป็นสามีภรรยากันได้อย่างไร เราไม่เชื่อเจ้า
แม่ไก่ก็เถียงว่า ถ้าเช่นนั้นคอยดู พรุ่งนี้เช้าตอนท่านไปบิณฑบาต ข้าน้อยจะไปจิกจีวรท่านให้ดู
ตอนเช้าหลวงปู่ครองผ้าออกไปบิณฑบาตตามปกติท่านเล่าว่า ท่านไม่ได้นึกอะไรมาก ด้วยคิดว่าเป็นนิมิตเหลวไหลไร้สาระ แต่เมื่อท่านเดินบิณฑบาตเข้าไปในหมู่บ้านยางที่ชื่อบ้านป่าพัวะ อำเภอจอมทอง ก็มีแม่ไก่ตัวเมียตัวหนึ่งตรงรี่เข้ามาจิกจีวรท่านข้างหลัง!
หมู่เพื่อนที่ไปด้วยก็ตกใจ เพราะเป็นสัตว์ตัวเมีย เกรงท่านจะอาบัติ จึงช่วยกันไล่ แต่แม่ไก่ตัวนั้นก็ยังพยายามวิ่งเข้ามาอีก
คืนนั้นหลวงปู่เข้าที่พิจารณาซ้ำ ก็รู้ว่าแม่ไก่ตัวนั้นเคยเกิดเป็นภรรยาของท่านมา 7 ชาติแล้วจริงๆ เป็นที่น่าเวทนาสงสารอย่างยิ่งที่นางกระทำไม่ดีไว้ ไม่มีศิล จึงต้องตกไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเช่นนี้
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 80  เมื่อ 28 ส.ค. 11, 10:11

พระสงฆ์อีกรูปหนึ่งที่ระลึกชาติได้ คือเจ้าคุณพระเทพสุทธาจารย์ (โชติ คุณสัมปันโน) อดีตเจ้าอาวาสวัดวชิราลงกรณ์ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
ท่านจำได้ว่า ท่านเป็นพี่ชายของแม่ท่าน   ท่านถึงแก่กรรมขณะที่แม่ท่านคลอดลูก คือ เมื่อท่านตายนั้นญาติมาแจ้งข่าวที่บ้าน ว่าน้องสาวท่านคลอดบุตรแล้ว ท่านก็เลยอยากไปดูน้องสาวและหลานที่เกิดใหม่  พอคิด ก็ไปถึงห้องน้องสาว  น้องสาวเห็นตัวท่านด้วย  ร้องบอกให้ท่านไปที่ชอบที่ชอบเพราะรู้ว่าท่านตายแล้ว   พอท่านจะกลับออกมา ก็รู้สึกเวียนหัว รู้สึกตัวอีกครั้งก็ไปอยู่ในตัวทารกเกิดใหม่  คือตัวท่านในปัจจุบัน
พอจำความได้ก็เรียกแม่ในชาติปัจจุบัน อย่างที่เคยเรียกสมัยเมื่อเป็นน้องสาวท่าน   ญาติพี่น้องก็จะพากันลงโทษ หนักเข้าท่านก็แกล้งทำเป็นลืม   แต่ยังจำเรื่องราวสมัยเมื่อท่านเป็นพี่ชายแม่ได้แม่นยำ จนต่อมาท่านได้มาบวชอยู่กับหลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์

เรื่องนี้นับว่าแปลก  เพราะทารกที่อยู่มาตลอด ๙ เดือนในท้องแม่จนคลอดออกมา  ย่อมจะมีขันธ์ทั้ง ๕ คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ครบแล้ว  แต่เหตุใดลุงจึงเข้าไปแทนที่ได้เมื่อคลอดแล้ว     ยังไม่เข้าใจเหมือนกัน
บันทึกการเข้า
Ruamrudee
องคต
*****
ตอบ: 627



ความคิดเห็นที่ 81  เมื่อ 28 ส.ค. 11, 22:02

หายหน้าไปจัดการปลงศพญาติผู้ใหญ่หลายวันจนไม่มีเวลาตามอ่านกระทู้เลยค่ะ
 
ขอข้ามมาอ่าน ค.ค.ห.สุดท้าย และ คำถามทิ้งท้ายของ อ.เทาชมพูค่ะ

อ้างถึง
เรื่องนี้นับว่าแปลก  เพราะทารกที่อยู่มาตลอด ๙ เดือนในท้องแม่จนคลอดออกมา  ย่อมจะมีขันธ์ทั้ง ๕ คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ครบแล้ว  แต่เหตุใดลุงจึงเข้าไปแทนที่ได้เมื่อคลอดแล้ว     ยังไม่เข้าใจเหมือนกัน

อาจารย์เข้าใจถูกต้องแล้วค่ะ

การจุติและปฏิสนธิของสัตว์นั้น จะเกิดต่อเนื่องกันทันทีไม่มีระหว่างคั่น

แปลว่า....ตาย(จุติ)ปุป.... เกิดใหม่(ปฏิสนธิ)ปั๊ป

การปฏิสนธิ

ทางวิทยาศาสตร์ ถือเอา รูปธรรมเป็นหลัก คือ ทันทีที่มีการผสมกันระหว่างไข่และsperm

ทางพุทธศาสนา ก็ถือว่า จะต้องมี ปฏิสนธิจิต หรือ วิญญานของสัตว์ที่จะมาเกิดเข้ามาครอบครอง หรือ สิง ไข่และ Sperm ที่ผสมกันแล้วนั้น ทันที

แปลว่า วิญญานของสัตว์ที่จะมาเกิด เป็นเจ้าของร่างกายที่เริ่มแบ่งเซลล์เป็น ปัญจสาขา(2แขน+2ขา+1หัว)ทันที

ส่วนทารกนั้นจะได้เกิด และ อยู่รอดจนได้คลอดมาเป็นปกติหรือไม่ ขึ้นอยู่กับ อุปฆาตกรรม(กรรมที่จะมาตัดรอนชีวิต)
หากมีกรรมนี้แรงมาก ก็อาจจะแท้ง หรือ ตายเมื่อถึงเวลาคลอด นี่เป็นเพราะผลกรรมที่เคยตัดชีวิตผู้อื่นไว้

ดังนั้น การกลับชาติมาเกิด ต้องเป็นขณะปฏิสนธิ ไม่ใช่ขณะใกล้คลอด เพราะร่างทารกนั้น มีเจ้าของแล้ว

....ต่อไปนี้เป็นความเห็นส่วนตัว ด้วยความเคารพค่ะ....

กรณีที่เจ้าคุณพระเทพสุทธาจารย์เล่ามานี้ ฟังดูคล้ายกับการเข้าดลใจเด็กให้คิดและเชื่อว่าเป็นใครกลับมาเกิดมากกว่า เพราะจิตผูกพันกันมาก

ไม่ใช่การสิง ไม่ใช่เกิดใหม่ แต่ "น่าจะ" เป็นการดลใจเด็กให้เชื่อตามวิญญานของผู้ตายต้องการ

และผู้ที่ตายไปแล้ว ก็เกิด(อุบัติขึ้นทันที=โอปะปาติกะกำเนิด)แล้ว ในภพที่เป็นเปรต หรือ ผี(นั่นเอง)

หากจิตผูกพันกันมาก ก็ติดตามเด็กนั้นไปจนโต หรือจนวิญญานนั้นไปเกิดใหม่ เด็กก็จะลืมว่าเคยจำอะไรได้มาก่อน

น่าสังเกตุว่า กรณีระลึกชาติได้ ส่วนใหญ่ จะลืมเมื่อโตขึ้น



บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 82  เมื่อ 29 ส.ค. 11, 16:57

นำกรณีระลึกชาติมาให้อ่านกัน อีกเรื่องหนึ่ง   เรื่องนี้ผู้ให้สัมภาษณ์ระบุชื่อนามสกุล และอาชีพการงานไว้ชัดเจน   
ท่านชื่อผศ.วิวัฒน์ชัย กุลมาตย์ อาจารย์ประจำคณะศึกษาศาสตร์  มหาวิทยาลัยรามคำแหง ให้สัมภาษณ์ไว้ในนิตยสาร "หญิงไทย" ว่า
"ผมเกิดที่กรุงเทพฯ ตรงวัดตรีทศเทพ เมื่อเด็กๆพอเล่าเรื่องนี้ทีไรแม่จะตีเรื่อย ผมก็เล่าอยู่ไม่รู้กี่ครั้งจนแม่สั่งห้าม คือผมมีความรู้สึกว่าผมเคยเห็นแม่ผมกับเพื่อนเขา 3-4 คนเนี่ยไปเดินอยู่ในวัดซึ่งตอนหลังผมมารู้ว่าที่นั่นคือวัดตรีทศเทพ เขากำลังเผาศพผมอยู่และสมัยนั้นวัดที่ผมตายไม่มีเตาเผาศพ เขาเอาไม้ฟืนมากองเป็นชั้นๆ   ผมจำได้ว่ามีพระนุ่งผ้าสบง   ใช้เหล็กเขี่ยศพผมพลิกกลับไปกลับมา   ผมก็ยืนดูอยู่เสร็จแล้ว   ก็เห็นแม่กับเพื่อนเขาหาทางออกไม่ได้ เพราะที่วัดตรีทศเทพมันจะมีนายป้าช้าคนหนึ่งเป็นหัวหน้าใหญ่ เขาปิดทางไม่ให้ออก   แม่แกก็เดินวนไปวนมา ตอนหลังจึงไปถามพระว่าทางออกอยู่ตรงไหน  พระท่านก็ว่า " โอ๊ย...ไอ้ผีพวกนี้คอยปิดทางอีกแล้วหรือ " แล้วตอนหลังแกก็ออกไปได้"

"พอหลังจากนั้นผมไม่รู้ว่ามันเป็นเวลานานเท่าไหร่ ก็มีเสียงบอกว่า "เอ้า...ถึงเวลาไปเกิดกันแล้ว" เขาก็เรียกไปเข้าแถว ผมอยู่แถวสุดท้ายที่มีชัก 5-6 คนได้มั้ง แล้วเขาก็ให้ดินเม็ดกลมๆเขาบอกว่าก่อนจะเกิด  ให้กินเม็ดลืมชาติก่อน     มันเป็นเม็ดกลมๆแต่ผมกินไม่หมด กินแค่ครึ่งเม็ดแล้วทิ้ง เพราะไม่อยากกิน อยากจะจำได้ พอกินเข้าไปรู้สึกชานะ แบบหมุนวิ้วๆๆเหมือนดิ่งไปไหนก็ไม่รู้ ซักพักหนึ่งไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ จู่ๆก็ลืมตาเห็นแสงสว่าง จะพูดก็พูดไม่ได้ จะทำอะไรก็ทำไม่ได้ อึดอัดมาก ผมร้องอย่างเดียว แว๊ดๆๆคือตอนนั้นมาเกิดแล้ว"

ถ้าอ่านไม่ผิด อ.วิวัฒน์ชัยนอกจากระลึกชาติตัวเองได้แล้ว ยังระลึกชาติของคุณแม่ได้อีกด้วย
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 83  เมื่อ 29 ส.ค. 11, 16:59

"ผมแน่ใจว่าก่อนจะตายในชาติที่แล้วผมเป็นผู้หญิงแก่ แต่ก็ไม่รู้ว่าผมเป็นใครเพราะผมกินเม็ดลืมชาติน่ะ แต่ยังจำหน้าตาตัวเองในชาติที่แล้วได้  ว่าไว้ผมทรงดอกกระทุ่มตายราวๆอายุ 70 กว่า และช่วงก่อนตายผมนอนอยู่บนเตียงไม้ธรรมดาๆแล้วมีคนมานั่งเฝ้ากันเยอะเลย เขาบอกว่าผมทำบุญไว้เยอะคงจะได้สมความปรารถนา ซึ่งผมก็อธิษฐานว่าเกิดชาติหน้าผมอยากจะเป็นผู้ชาย เพราะชาตินี้เป็นผู้หญิงไม่ได้บวช ชาติหน้าขอเป็นผู้ชายขอให้ได้บวช อีกอันหนึ่งที่ผมจำได้แม่นคือ มีคนกระซิบข้างหูก่อนที่จะตาย บอกให้สวดพุทโธๆผมก็สวดไปเรื่อยๆ   พอถึงจุดๆนึ่งก่อนจะหมดลม   ความรู้สึกมันจะค่อยๆเย็นยะเยือกจากเท้าขึ้นมาเรื่อยๆ   ถึงตรงหน้าขาก็ไม่อยากสวดอีก ผมเลยหลับตา ได้ยินเสียงพระองค์หนึ่งพูดว่าปัฐธาตุจะหมดแล้ว ตอนนั้นมันหลุดไปเลย ดิ่งลงลิบไปเลย จิตวิญญาณหลุดไปแล้ว"

"ขณะที่วิญญาณผมออกจากร่าง ผมเห็นร่างตัวเองลอยขึ้นๆเป็นร่างเราที่ไม่โปร่งแสง ตอนนั้นไม่กลัวเพราะผมรู้ว่าคนเราต้องตาย แล้วพอมารู้ตัวอีกทีผมก็อยู่ที่วัดๆหนึ่ง   เห็นตัวเองนอนอยู่ในโลง   ก็รู้ว่าผมตายแล้วแน่นอน เห็นเพื่อนฝูงมามากมาย ยังจำได้เลยว่าสมัยก่อนงานศพเขาจะนุ่งโจงกระเบนสีดำ เสื้อสีขาว รองเท้าไม่ใส่ แล้วพอเข้าไปทักใครก็ไม่มีใครพูดด้วย โลงศพเขาก็ตั้งไว้ธรรมดา   มีสายสิญจน์ผูกแล้วก็มีถ้วยเครื่องเซ่น แต่ระหว่างที่อยู่ในโลงนั้นผมกินอะไรไม่ได้เลย รู้ว่าเขาเคาะโลงให้กินแต่ผมกินไม่ได้ เคาะไปก็ไม่มีผลอะไรแต่ผมเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง ที่ๆผมอยู่มีวิญญาณซัก 10 ตนนะ แต่มีคนหนึ่งเรียกว่า "นายป่าช้า" หน้าตาก็เหมือนเรานี่แหละ   แต่เป็นคนคอยควบคุมวิญญาณด้วยกัน"
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 84  เมื่อ 29 ส.ค. 11, 17:01

"ผมเชื่อเรื่องนี้มากเพราะมีจริง อีกเหตุการณ์หนึ่งตอนที่แม่ผมท้องอยู่ อาเขามาขอพระ ผมก็ดูอยู่เห็นแม่เขาให้พระอาไป   เป็นพระวัดพลับ พิมพ์เสมาวันทา พอผมถามแม่ แม่ก็ว่าทำไมแกรู้ล่ะ แกยังอยู่ในท้องยังไม่เกิดเลย ผมก็งงไม่รู้ว่าอยู่ในท้องทำไมเรามองเห็นหรือวิญญาณเราจะอยู่ข้างนอก ไม่ได้อยู่ในท้องด้วย วิญญาณคงตามตัวเราตลอด แล้วแม่ผมเขาสันนิษฐานว่าผมเนี่ยคือคุณยายเจิมที่อยู่แถวๆวัดตรีทศเทพ    แกเป็นคนชอบทำบุญสุนทาน สร้างวัดเยอะและไม่มีครอบครัว    แม่เขาสนิทกับคุณยายคนนี้แต่เขาไม่ได้เป็นญาติอะไรกับทางแม่ผมนะ   แม่เขาเล่าว่าคุณยายเจิมเนี่ยเวลาตายแกท่อง "พุทโธ" คนแถวบ้านมาเล่าให้แม่ฟัง ตอนตายแม่ไม่ได้ไปด้วย แม่ไม่เห็น ผมก็เคยไปสืบหาบ้านคุณยายเจิมนะ   แต่เขารื้อไปหมดแล้ว แกไม่มีลูกมีหลาน ทรัพย์สมบัติแกยกให้วัดหมด และคิดว่าระยะเวลาที่ผมตายกับช่วงเวลาที่มาเกิดใหม่น่าจะห่างกันประมาณ 8 ปี"

" ประสบการณ์อย่างนี้ทำให้ผมเชื่อในเรื่องเวียนว่ายตายเกิด ผมถึงไม่กลัวตาย   ผมรู้ว่าเวลาตายไปแล้วเนี่ย   เราจะได้มีโอกาสเกิดใหม่ แต่สิ่งที่ยังไม่รู้ก็คือผมยังไม่เห็นผลของกฎแห่งกรรม เพราะผมว่าผมยังไม่ได้ไปลงนรกหรือขึ้นสวรรค์ แต่ผมก็มีความเชื่ออย่างนึงว่าถ้าคนกลัวการทำบาปและทำความดี ทำบุญไว้มากๆจิตจะสงบ เมื่อจิตเรานิ่งมันจะทำให้เรามั่นคง ปัญญาก็จะเกิด   แล้วทุกอย่างก็จะดีเอง"
บันทึกการเข้า
han_bing
นิลพัท
*******
ตอบ: 1622



ความคิดเห็นที่ 85  เมื่อ 30 ส.ค. 11, 13:54

เรื่องกลับชาติมาเกิดใหม่ในหมู่พระภิกษุที่มีชื่อเสียง ก็มีหลายรูป อาทิ หลวงพ่อลี วัดอโศการาม มีคนลือๆว่าท่านเป็นพระเจ้าอโศกกลับชาติมาเกิด แต่ข้าพเจ้าไม่ยักพบหลักฐานใดที่ท่านบอกว่าที่กลับชาติมาเกิด

ส่วนพระภิกษุอีกท่านที่ข้าพเจ้าได้ยินข่าวลือว่า เป็นพระยาพิชัยดาบหัก กลับชาติมาเกิดคือ หลวงปู่ฟัก สันติธรรมโม แห่งวัดเขาน้อยสามผาน จังหวัดจันทรบุรี ข้าพเจ้าเคยเข้าไปปฏิบัติธรรมและรับใช้ท่านในช่วงปฏิบัติธรรม

ท่านก็ไม่ยักเคยเล่าอะไรว่าท่านระลึกชาติได้ ใครว่าท่านระลึกชาติได้ และท่านเคยเป็นใครท่านจะทำตาโตและยิ้มๆพร้อมพูดว่า "หรือ ปู่พึ่งรู้นะนี้"

อย่างไรก็ตามในช่วงที่ผู้เขียนป่วยไข้ขนาดหนัก ท่านว่านอกจากจะให้ทำสมาธิให้จิตใจสงบจะได้ไม่ทรุดไปมากกว่าเดิม ท่านยังบอกว่าให้ลองแผ่เมตตาแก่เจ้ากรรมนายเวรดู

แล้วท่านก็เล่าเรื่องให้ฟังว่า ช่วงหนึ่งท่านมีอาการอัมพฤต และมีปัญญหาพูดไม่ได้ลิ้นคับปาก ภายหลังมีคนมาบอกท่านว่าท่านนั้นแต่เดิมเป็นนายทหารครั้งกรุงเก่า (หรือกรุงธนบุรีข้าพเจ้าเองก็จำไม่ค่อยได้) เคยรบกับพม่า และเป็นนักรบที่เหี้ยมหาญมาก ชนิดว่าครั้งหนึ่งเคยเอาดาบไปกระซวกเข้าที่ปากพม่า แทงทะลุ ในยามรบ

เขาผูกใจเจ็บอยู่ คล้ายๆเขาก็จะแพ้อยู่แล้ว ทำร้ายเขาขนาดนั้นทำไม

ภายหลังท่านเล่าต่อว่าเลยมีคนแนะนำให้ท่านไปที่ๆเคยเป็นสมรภูมิ (ข้าพเจ้าก็โคมลอยไม่ค่อยฟังว่าที่ไหน) แล้วก็ไปจุดๆหนึ่ง ทำนองว่าคนๆนั้นตายตรงนี้

แล้วท่านก็นั่งสมาธิแผ่ส่วนบุญให้ ท่านว่าอาการท่านก็ค่อยๆดีขึ้น ท่านก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงหรือไม่ บังเอิญหรือเปล่า แต่ท่านก็ว่าให้ข้าพเจ้าลองๆดู เพราะการปฎิบัติดีตามศีลนี้ไม่เคยเป็นผลเสีย และการแผ่ส่วนกุศลไม่ว่าจะมีผู้มารับจริงหรือไม่ก็ไม่ได้เสียหายและไม่ได้ทำร้ายใคร

ข้าพเจ้าก็ทำตาม

แต่ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้คือมีคนลือๆเรื่องชาติก่อนของท่าน แต่ท่านไม่เคยยืนยัน ไม่เคยสนับสนุน มีแต่เล่าว่าท่านฟังมาดังข้างต้น จริงไม่จริงไม่รู้ แต่ปฏิบัติธรรมดูไม่เสียหาย

อันนี้เลยไม่กล้าถามว่า หลวงปู่ จริงๆหลวงปู่เห็นของหลวงปู่เองใช่ไหม แต่หลวงปู่ไม่เล่า เพราะหลวงปู่กลัวลูกศิษย์งมงาย แต่ก็ไม่กล้าถาม เพราะถามไปท่านก็คงไม่บอก และบอกคงแค่ว่า การเข้ามาในร่มพระศาสนาคือการปฏิบัติตนดีตามหลักของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่มาลองอิทฤทธิ์ใดๆ

สุดท้าย ไหนๆก็ไหนๆ ข้าพเจ้าอยากรู้จริงทำไมคนบางคนชอบอ้างว่าเห็นอดีตชาติของคนอื่นนัก มีญาณเช่นนี้ด้วยหรือไร

ขอบพระคุณ
บันทึกการเข้า
Ruamrudee
องคต
*****
ตอบ: 627



ความคิดเห็นที่ 86  เมื่อ 30 ส.ค. 11, 17:10

อ้างถึง
สุดท้าย ไหนๆก็ไหนๆ ข้าพเจ้าอยากรู้จริงทำไมคนบางคนชอบอ้างว่าเห็นอดีตชาติของคนอื่นนัก มีญาณเช่นนี้ด้วยหรือไร

คุณหาญคะ ญานนั้นมีจริงค่ะ แต่จะมีกับผู้ปฏิบัติสมาธิขั้นสูง และ ต้องมีศีลบริสุทธิ์รักษาได้ไม่เสื่อมจนถึงขณะที่ระลึกอดีตนั้น

หากศีลด่างพร้อย ญาน(ปัญญาวิเศษระลึกชาติได้) อัน เกิดจาก อำนาจ ฌาน(สมาธิขั้นแนบแน่น) จะเลื่อมทันที

หากยังระลึกได้บ้าง ก็ไม่มีอะไรแน่นอนแล้วว่า สิ่งที่ระลึกได้นั้น เป็นของจริง หรือ ของที่จิตสร้างขึ้นมาเอง หรือ เกิดจากความจำที่สะสมกันมา และ ปะปนกัน จนไม่รู้ว่า อะไรเป็นอะไรกันแน่

ผู้ที่ระลึกโดยที่ฌานเสื่อม ศีลเสื่อม หรือ เกิดจากการฝังใจเชื่อ จิตผูกพันมากนั้น จะต้องอาศัยการ "อนุมาน" หรือ เดา ช่วยปะติดปะต่อเรื่องขึ้น

ฌาน หรือ สมาธิ เปรียบเหมือนการกวนน้ำขุ่นให้ตกตะกอนจนใส ภาพจึงชัดเจนไม่ขุ่นมัว

พวกที่ไม่ได้ฌาน ภาพก็ไม่ชัด แต่ อดตื่นเต้นกับอะไร วับ ๆ แวม ๆในน้ำที่ยังขุ่น ๆ ไม่ได้ เลยสนใจติดตาม และ คิดเอาเองว่า นั่นคืออะไร

ถูกบ้าง ผิดบ้าง แต่เจ้าตัวมักจะมั่นใจว่า ถูกแน่ ๆ ก็เลย เที่ยวได้ทายทักคนอื่น ๆ จะด้วยหวังดี หรือ ด้วย อัตตา(อยากอวด)อักเสบขึ้นมา เราไม่มีทางรู้ได้เลย

ด้วยเหตุนี้ จึงละไว้ เป็น อาจินไตยปัญหา

มีจิตแพทย์เล่าให้ฟังว่า มีคนระลึกชาติได้ หรือ สื่อกับพวกกายทิพย์กายใสได้ ทำนายทายทักเป็นคุ้งเป็นแคว
แต่พอให้กินยา Anti Psychotic เข้าไป พวก "ภาพหลอน" และ "เสียงแว่ว" ที่ตนเข้าใจว่า เป็น ระลึกชาติได้ หรือ ได้ยินเสียงกายทิพย์มาพูดด้วย ก็หายไปหมด

แปลกไหมคะ คนไข้พวกนี้ของหมอ มักจะไม่ยอมกินยา เพราะทนเหงาไม่ไหว

ดิฉันขอทนเหงา และ ไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับอะไรที่ไม่แน่นอนดีกว่า
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 87  เมื่อ 30 ส.ค. 11, 23:38

อ้างถึง
สุดท้าย ไหนๆก็ไหนๆ ข้าพเจ้าอยากรู้จริงทำไมคนบางคนชอบอ้างว่าเห็นอดีตชาติของคนอื่นนัก มีญาณเช่นนี้ด้วยหรือไร
มีค่ะ  เรียกว่าอภิญญา   เป็นการฝึกฌานที่ทำให้บรรลุถึงญาณวิเศษ  จนสามารถกระทำได้ต่างๆ ๕ อย่างข้างล่างนี้ เรียกว่าโลกียอภิญญา
มีมาก่อนพุทธกาล  พวกฤๅษีชีไพรก็บรรลุกันได้    ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าจะทำให้คนนั้นเป็นคนกิเลสเบาบางลง    เพราะพระเทวทัตเองก็บรรลุอภิญญาขั้นอิทธิวิธี
คือ
๑. อิทธิวิธิ  หรือปุถุชนฤทธิ์    คือแสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้
๒. ทิพพโสต    มีหูทิพย์
๓. เจโตปริยญาณ  ญาณที่ให้ล่วงรู้ใจคนอื่นได้
๔. ปุพเพนิวาสานุสติญาณ   ญาณที่ทำให้ระลึกชาติได้
๕. ทิพพจักขุ     มีตาทิพย์

แต่ญาณทั้ง ๕ นี้ ไม่ถึงขั้นทำให้กิเลสดับสิ้นลงได้      ในพุทธศาสนา  พระพุทธเจ้าทรงบรรลุญาณอย่างที่ ๖ คืออาสวักขยญาณ ได้แก่ญาณที่ทำให้อาสวะกิเลสสิ้นไป   เป็นระดับโลกุตตรญาณ  เรียกว่าอภิญญา ๖
นอกจากพระพุทธเจ้า ก็มีพระอรหันต์ที่บรรลุถึงอภิญญา ๖     มีแต่ในพุทธศาสนา  ในศาสนาหรือลัทธิอื่นไม่มี
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12599



ความคิดเห็นที่ 88  เมื่อ 23 มี.ค. 15, 20:04

การระลึกชาติ ตอนที่ ๒  ยิงฟันยิ้ม

บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 4 5 [6]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.089 วินาที กับ 19 คำสั่ง