มีบางคนสงสัยว่า ก็ในสมัยธนบุรี พระยาราชาเศรษฐีคนหนึ่งก็ตั้งบ้านเรือน
เป็นหัวหน้าในชุมชนชาวจีน ตรงบริเวณที่ที่ตั้งพระบรมมหาราชวังในปัจจุบัน
(ในสมัยรัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายชุมชนชาวจีนไปตั้งที่สำเพ็ง)
แล้วทำไมจึงได้มีพระยาราชาเศรษฐีไปเป็นเจ้าเมืองพุทไธมาศที่เมืองเขมรได้
หรือจะมีพระยาราชาเศรษฐีสองคน
พระยาราชาเศรษฐีที่อยู่กรุงเทพฯ ฝั่งพระนครนั้น
เป็นขุนนางที่พระเจ้าแผ่นดินไทยโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง
ส่วนพระยาราชาเศรษฐีที่เป็นเจ้าเมืองพุทไธมาศ
เป็นขุนนางที่พระเจ้ากรุงกัมพูชาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง
ถึงแม้ว่าในช่วงนั้น เขมรจะอยู่ในฐานะประเทศราชของสยาม
แต่ก็มีอำนาจในการบริหารราชการบ้านเมืองดุจอาณาจักรอิสระ
คือ สามารถแต่งตั้งข้าราชการของตนให้มีบรรดาศักดิ์ได้
สามารถเก็บภาษีในแผ่นดินของตนได้ ออกกฎหมายต่างๆ
เพื่อใช้บังคับคนในแผ่นดินตนได้
และถ้าสังเกตให้ดี บรรดาศักดิ์ข้าราชการเขมร
มีหลายบรรดาศักดิ์ที่ตรงกับบรรดาศักดิ์ข้าราชการไทย
ฉะนั้นบางทีอ่านเอกสารเก่าแล้สวอาจจะงงว่า
ข้าราชการบรรดาศักดิ์เดียวกันทำไมเดี๋ยวอยู่เมืองไทย
เดี๋ยวไปอยู่เมืองเขมร ก็ขอให้เข้าใจว่า
ข้าราชการสยามกับเขมรมีบรรดาศักดิ์เหมือนกันนั่นเอง
เมื่อผมรวบรวมข้อมูลใส่กระทู้พระเจ้าญาลอง
อ่านตอนนี้ผ่านไปโดยไม่ทันได้คิดว่าทำไมกรุงศรีอยุธยา
ต้องแต่งศุภอักษรไปถึงเมืองพุทไธมาศด้วย
เมืองพุทไธมาศมีสถานะเช่นใดกันแน่?
อย่างที่ว่าไปแล้วว่า ช่วงนั้น เขมรเป็นประเทศราชสยาม
แต่มีอิสระในการปกครองในดินแดนตนเองอย่างรัฐปกติ
การติดต่อระหว่างกับเจ้าเมืองเขมรจึงต้องติดต่อในฐานะ
ผู้ปกครองประเทศราช จึงต้องใช้ว่า ศุภอักษร
เช่นเดียวกับเจ้าเชียงใหม่ เจ้าลำปาง เจ้าน่าน เจ้าเวียงจันทน์
เจ้าจำปาศักดิ์ เจ้าหลวงพระบาง เมื่อสยามจะติดต่อราชการอะไร
จะต้องแต่งศุภอักษรไปถึง และเขาจะแต่งศุภอักษรส่งมา
ถ้าเป็นหัวเมืองในปกครองสยามเอง หนังสือที่มีไปมาถึงเจ้าเมือง
เรียกว่าใบบอก ถ้าเป็นหนังสือที่มีไปมาถึงเจ้าที่เป็นรัฐอิสระเหมือนกัน
เรียกว่า พระราชสาส์น