ขอแถมให้ค่ะ
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=557872 แพนงเชิง – พนัญเชิง – ไก่พะแนง
ชื่อวัดพนัญเชิง ที่อยุธยานั้น เสียงเลือนมาจากคำว่า “แพนงเชิง” ที่แปลว่า “การนั่งขัดสมาธิ”
ส่วนอาหารที่ทุกวันนี้เรียกว่า “แกงพะแนง” นั้น แปรเปลี่ยนมาจาก “ไก่พะแนง” ซึ่งไม่ใช่แกง แต่เป็นการย่าง
ทั้งหมดนี้ พลตรี ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช เขียนไว้ใน “สยามรัฐหน้า ๕” ฉบับวันที่ 1 กันยายน 2515
เนื้อความส่วนหนึ่งมีดังนี้
“ผมได้อ่านบทความเรื่องวัดเจ้าจอมมะยง โดยคุณประพิน วงษ์หงส์ ในหนังสือชาวกรุง ฉบับประจำเดือนกันยายนนี้ เล่าถึงเรื่องประวัติวัดพระนมมะยง ซึ่งบัดนี้เรียกกันว่าวัดพนมยง น่าอ่านน่ารู้มาก แต่ไปสะดุดใจอยู่ในข้อเขียนตอนหนึ่งว่า
“ส่วนวัดพระนมมะยงนั้น กาลเวลาและการเรียกขานกันอย่างสะดวกปาก ทำให้สำเนียงเพี้ยนไปเป็นวัดพนมยง
เช่นเดียวกับวัดทุ่งวัวลำพอง เป็นหัวลำโพง
วัดพระนางเช็งหรือวัดพระนางเชิง กลายเป็นวัดพนัญเชิง”
ผมไปสะดุดใจเอาที่ชื่อวัดหลังนี้ ฟังดูคล้าย ๆ กับว่าชื่อวัดนี้มาจากชื่อเรียกว่าวัดพระนางเช็ง
พระนางเช็งนั้น ชื่อออกจะเป็นจีนอยู่ ผมไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด แต่คงจะเป็นคน ๆ เดียวกับนางสร้อยดอกหมาก ลูกสาวพระเจ้ากรุงจีนซึ่งมีตำนานเล่ากันว่ามาเรือล่มที่หน้าวัดหรืออะไรทำนองนั้น
รู้สึกว่าจะเป็นนิยายปรัมปราเต็มที
พระเจ้ากรุงจีนในสมัยต้นกรุงศรีอยุธยานั้น เป็นผู้มีอำนาจวาสนาเหลือล้น ใคร ๆ ก็เกรงขาม เหมือนกับประธานเมาเซตุงในสมัยนี้ คงจะไม่ปล่อยให้ลูกสาวลงเรือสำเภามาเมืองไทยง่าย ๆ
หรือถึงจะมา คนที่มาด้วยก็คงไม่ปล่อยให้สำเภาที่มีลูกสาวพระเจ้ากรุงจีนโดยสารมานั้นล่มลงง่าย ๆ
ผมเข้าใจว่าชื่อวัดนั้น คงจะมาจากนามของพระพุทธรูปองค์ใหญ่ซึ่งประดิษฐานอยู่ในวัด
พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาบอกไว้ชัดว่า พระพุทธรูปองค์นี้มีนามว่า “พระเจ้าแพนงเชิง” สร้างขึ้นเมื่อก่อนสร้างกรุงศรีอยุธยา เป็นพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยองค์หนึ่ง และยังบริบูรณ์งดงามดีอยู่จนถึงทุกวันนี้
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ 2493 ให้ความหมายของศัพท์ “แพนงเชิง” ไว้ว่า การนั่งขัดสมาธิ
ผมออกจะเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งและเชื่อถือตามนั้น
ทำไมจึงเรียกพระพุทธรูปองค์ใหญ่นั้นว่าพระเจ้าแพนงเชิง ?
ที่เรียกเช่นนั้นก็เพราะเหตุว่า พระเจ้าแพนงเชิงเป็นพระพุทธรูปใหญ่องค์แรกในท่าขัดสมาธิ
คนโบราณสมัยนั้นซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าเป็นใคร ได้สร้างพระพุทธรูปใหญ่ ๆ ไว้มาก เช่น พระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่วัดป่าเลไลยก์ จังหวัดสุพรรณบุรี และพระพุทธรูปศิลาอีกหลายองค์ที่เมืองนครปฐม
โปรดสังเกตว่าพระพุทธรูปที่กล่าวถึงนี้ เป็นพระนั่งห้อยพระบาททั้งสิ้น
นอกจากนั้นการสร้างพระพุทธรูปใหญ่ก็มักจะนิยมสร้างเป็นพระพุทธรูปนอน เช่นพระนอนจักรสีห์ พระนอนป่าโมกข์ ลงมาจนถึงพระนอนที่วัดพระเชตุพนในกรุงเทพ
จะเป็นเพราะสะดวกกว่าในการก่อสร้าง และเมื่อสร้างแล้วก็มั่นคงกว่าหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ
แต่พระเจ้าแพนงเชิงนั้นเป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ในท่านั่งขัดสมาธิองค์แรก เก่ากว่าองค์อื่น ๆ ทั้งหมด
เมื่อเป็นองค์แรกเช่นนี้ ก็ย่อมจะต้องตื่นเต้นขนานพระนามเอาไว้ว่าเจ้าแพนงเชิง หรือพระเจ้านั่งขัดสมาธิ
คำว่าแพนงเชิงนั้น ถ้าจะแปลให้ชัดก็ต้องแยกศัพท์ออกเป็นสองคำ คือพะแนง คำหนึ่ง และเชิงอีกคำหนึ่ง
พะแนงแปลว่าขัด
ส่วนเชิงแปลว่าเท้า
แพนงเชิงจึงแปลว่าขัดเท้าเข้าด้วยกัน คือนั่งสมาธินั่นเอง
ไหน ๆ ก็พูดเรื่องคำนี้กันแล้ว ก็จะต้องขอพูดต่อไปถึงไก่พะแนง
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน บอกไว้ว่าอย่างนี้
พะแนง น. แกงคั่วเป็ด หรือไก่ เป็นต้น มีเนื้อชิ้นโต ๆ น้ำแกงข้น
ซึ่งผมไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
ใครก็ตามที่เขียนคำอธิบายศัพท์นี้แล้วไปประวิสรรชนีย์ท้ายตัว พ. ทำให้เกิดเป็นคำขึ้นอีกคำหนึ่งนั้น ไม่เคยกินไก่พะแนงแบบดั้งเดิม
คนไทยโบราณนั้นใช้ไก่ทั้งตัวทำเป็นไก่พะแนง เอาน้ำพริกแกงซึ่งไม่ใช่แกงคั่ว เพราะมีถั่วลิสงตำละเอียดปนอยู่ด้วย ผสมกับหัวกะทิ ทาไก่ทั้งในและนอกแล้วเอาขึ้นย่างไฟ ระหว่างที่ย่างนั้นก็ใช้น้ำพริกผสมหัวกะทิคอยประพรมและทาไปจนกว่าไก่จะสุก
ไก่ทั้งตัวนี้พับท่อนขาซึ่งอาจจะรวมทั้งเท้าไก่ด้วยเข้าไปไว้ในท้อง แบบเดียวกับที่ฝรั่งย่างไก่
คำว่าพะแนงในที่นี้จึงตรงกับคำว่าพะแนงในแพนงเชิงนั้นเอง
แปลว่าพับขาหรือเอาขาขัดเข้าไว้ในท้อง
ต่อมาการทำไก่พะแนงแบบนั้นอาจไม่สะดวกด้วยประการทั้งปวงเพราะต้องกินเวลานานมาก จึงได้ยักย้ายเปลี่ยนมาเป็นเป็ดหรือไก่สับชิ้นโต ๆ เอาลงผัดกับเครื่องแกงและกะทิในกระทะหรือหม้อ กลายเป็นไก่พะแนงหรือเป็ดพะแนงอย่างที่รู้จักกันอยู่ในปัจจุบัน
พะแนงเนื้อก็มีกินในทุกวันนี้ และเนื้อนั้นก็หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ เช่นเดียวกับแกงเผ็ด ผิดกันแต่เครื่องน้ำพริกเท่านั้น”