เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
เมื่อพ.ศ. ๒๒๒๘ พระเจ้าชาร์สุไลมานแห่งเปอร์เชียส่งคณะราชทูตมาเจริญพระราชไมตรีกับสมเด็จพระนาราณ์ มีหลักฐานเป็นบันทึกของเลขาทูตชื่ออิบน์ มูฮัมเหม็ด อิมราฮิม เล่าถึงชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอยุธยา เท่าที่เขาเห็น รวมเรื่องอาหารการกินไว้ว่า " ชาวสยามจำกัดอาหารอยู่กับข้าวเปล่าเท่านั้น ไม่คลุกเกลือ เนื้อหรือเครื่องเทศลงในข้าว กินข้าว น้ำต้มและหัวปลา ชนทุกชั้นไม่ว่าสูงหรือต่ำจะกินแบบนี้ ถ้าหากว่าเขาพบสัตว์ตายไม่ว่าอะไร แม้แต่ซากอีกาแก่ เขาจะกินอย่างไม่ลังเล แต่จะไม่ฆ่าสัตว์เอามาบริโภคเพราะถือว่าเป็นบาป ที่ว่าไม่ฆ่านี้คงหมายถึงวัว หรือหมูค่ะ ไม่รวมปลา บางครั้งชาวเมืองจะกินแย้หรือตะกวด( lizard)และงู ซึ่งวางขายตามตลาด อาหารอย่างอื่นคือตะพาบน้ำหรือเต่า( tortoise) บางเผ่าก็กินเนื้อช้างหรือหมาป่า"
เก็บมาเล่าสู่กันฟังค่ะ เผื่อใครอยากจะคุยเรื่องอาหารสมัยอยุธยาบ้าง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
PINK RIBBON
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อ 22 มี.ค. 01, 20:36
|
|
ดีใจที่เกิดไม่ทันยุคนั้นค่ะ เพราะไม่อยากกินซากอีกาแก่ค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 2 เมื่อ 22 มี.ค. 01, 20:58
|
|
นึกว่าเป็นนกพิราบก็แล้วกันค่ะ
จำได้ว่าในเพชรพระอุมา รพินทร์เคยเล่าให้ดารินฟังว่า น้ำมันหมูที่บรรจุปี๊บขายตามตลาดในตอนนั้น เป็นน้ำมันช้างไม่ใช่หมู เพชรพระอุมาแต่งประมาณ ๔๐ ปีมาแล้ว ถ้ามาจากประสบการณ์ของคุณพนมเทียน ก็แปลว่าเรายังกินช้างกันอยู่ในรุ่นคุณพ่อคุณแม่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
มิ้นท์
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อ 23 มี.ค. 01, 09:48
|
|
กินข้าวเปล่าๆ หรือคะ ถ้ามีอีกาหรือแร้งตายถึงจะมีเนื้อสัตว์กิน บรื๊อๆ ไม่หวา..ย แห้งแล้งจัง มิน่าคนสมัยก่อนตายเร็ว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อ 23 มี.ค. 01, 10:49
|
|
คนอยุธยาค่อนข้างจะขาดโปรตีน เพราะไม่ชอบกินเนื้อสัตว์ อย่างมากก็กินปลาเป็นหลัก แต่ก็มักจะทำเป็นปลาแห้ง ปลาร้า ปลาเค็มไว้กิน มากกว่าปลาสด หมูเป็นอาหารของคนจีน ชาวอยุธยาไม่นิยมการฆ่าสัตว์ไว้กินเนื้อ หนังสือภูมิสถานกรุงศรีอยุธยาบอกว่าภายในเมืองมีตลาดขายหมูอยู่แห่งเดียว ที่ย่านในไก่ซึ่งเป็นชุมชนคนจีนในเมือง ถึงแม้ว่าเลี้ยงวัวควาย แต่ก็เพื่อใช้งาน ชาวอยุธยาไม่กินนมวัวค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ปะกากะออม
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อ 23 มี.ค. 01, 11:14
|
|
ไม่ใช่สมัยอยุธยา แต่มีตำรากับข้าวสมัยต้นรัตนโกสินทร์มาฝากค่ะ ลอกมาจากเสภาขุนข้างขุนแผนฉบับยังไม่ได้ชำระ
แนะหม่อมพี่ศรีมาลาบรรดาทำ ไม่เอิบอารมณ์เหมือนต้มยำดอกขาพี่ ซื้อปลาช่อนตัวใหญ่ ๆ ที่ไข่มี น้ำใส่อ่างล้างสีให้สิ้นคาว ต้มน้ำเสียก่อนให้ร้อนฉ่า แล้วเอาปลาใส่เคี่ยวให้น้ำขาว ทุบตะไคร้ม้วนใส่ทั้งท่อนยาว ข้าวสารซาวใส่ด้วยช่วยหนุนปลา น้ำพริกต้มยำทำให้ถึงที่ น้ำปลาญี่ปุ่นกะปิพี่เสาะหา เมื่อตักนั้นสันศีรษะกะพุงมา ช้อนเอาไข่ใส่หน้าให้ชูใจ กระเทียมสุกบดใส่สักสามกลีบ มะนาวบีบลงให้ดีผักชีใส่ น้ำพริกเจือน้ำปลาล่อให้จุใจ เอาช้อนโบกเข้าโฮกไรแล้วได้แรง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อ 23 มี.ค. 01, 11:58
|
|
เสน่ห์ปลายจวักคงสืบทอดกันทุกยุค ในขุนช้างขุนแผน ก็เลยแฝงตำรากับข้าวเอาไว้หลายแห่ง อย่างบทนี้
เป็นต้นต้มตีนหมูให้ชูรส ไข่ไก่สดปลามต้มยำทำขยัน ตับเหล็กสันในแลไข่ดัน หั่นให้ชิ้นเล็กเล็กเหมือนเจ๊กทำ
ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ คงมีการกินหมูกันแพร่หลายเพราะกรุงเทพมีคนจีนมาตั้งถิ่นฐานทำมาค้าขายกันมาก รสนิยมการกินก็แพร่หลายมาถึงคนไทยทั่วไป กลอนที่ดิฉันยกมา ถือว่าเป็นอาหารจานเด็ด บำรุงกำลังค่ะ ดูๆแล้วก็แคลอรี่สูงมาก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
จ้อ
|
ความคิดเห็นที่ 7 เมื่อ 24 มี.ค. 01, 10:22
|
|
ผมว่าเขาน่าจะเลี้ยงไก่ หรือเป็ดบ้างล่ะครับ ถึงจะไม่กินสัตว์ใหญ่อย่างวัว ควาย หรือ หมู เป็นถึงเมืองหลวงของอณาจักรไม่น่าเชื่อว่าจะกินกันแต่ปลานะครับ แถวๆ เลี้ยงไก่เลี้ยงเป็ดไม่น่าจะลำบากนัก เอาไว้ตีกันได้อีกต่างหาก
คิดว่าอาหารอย่างแกงเขียวหวาน น่าจะมีตั้งแต่อยุธยานะครับ แสดงว่าน่าจะมีแกงเขียวหวานไก่? (พูดแล้วหิว)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อ 24 มี.ค. 01, 11:19
|
|
ไก่ชนกับไก่เนื้อเป็นคนละแบบกันค่ะคุณ Jor
ย่านขายเป็ดไก่ในอยุธยาตอนกลางลงมาถึงตอนปลาย มีจำกัดเพียงย่านเดียว คือย่านป่าทุ่งวัดกระบือวัดวัว ต่อมาในตอนปลายอยุธยา พระเจ้าแผ่นดิน(เข้าใจว่าเป็นพระเจ้าบรมโกศ) ออกกฎหมายว่า "ทรงพระกรุณาแก่สัตว์ โปรดให้เลิกตลาดซึ่งฆ่าเป็ดไก่เสีย" คือหมายความว่าห้ามจำหน่าย ในเมื่อไม่มีตลาด ชาวบ้านจะฆ่าเป็นไก่มาขายก็ทำไม่ได้ ก็เท่ากับต้องเลิกเลี้ยงไปโดยปริยาย เพราะพระเจ้าแผ่นดินสงสารเป็ดไก่ที่ถูกฆ่า แต่ไม่รวมไก่ชนซึ่งไม่ได้มีไว้ฆ่านะคะ ชาวบ้านเลี้ยงไก่ชนกันทั่วไป บาทหลวงแชแวสในสมัยพระนารายณ์บันทึกว่า เป็นการพนันที่คนอยุธยาชอบมากที่สุด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
รินคำ
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 9 เมื่อ 25 มี.ค. 01, 09:37
|
|
ทานปลาเป็นหลัก ทานผักยืนพื้น ไม่ทานเนื้อแดง คนสมัยอยุธยาคงไม่ค่อยเป็นมะเร็งลำไส้กันนะคะ
ถ้าจะมีมะเร็งก็อาจหนักไปทางมะเร็งปอดจากยาสูบ กับมะเร็งตับจากน้ำเมา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
จ้อ
|
ความคิดเห็นที่ 10 เมื่อ 25 มี.ค. 01, 22:12
|
|
เดาว่าแกงส้มน่าจะเป็นอาหารจานหลัก แกงส้มพุงปลาช่อนผักกระเฉดไงครับ พูดแล้วน้ำลายไหล...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
แจ้ง ใบตอง
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 11 เมื่อ 25 มี.ค. 01, 22:36
|
|
แกงส้มผักบุ้งก็อร่อยครับ แต่ถ้าจะให้อร่อยยิ่งขึ้นต้องแกงแล้วทิ้งไว้คืนหนึ่ง ไม่ทราบว่าเพราะอะไรเหมือนกัน ผมไม่ได้กินมาหลายปีแล้ว...
พระเจ้าแผ่นดินสมัยอยุธยาพระองค์หนึ่งชอบเสวยปลาตะเพียนมาก ผมไม่แน่ใจว่าจะใช่พระเจ้าบรมโกศหรือเปล่า พระองค์โปรดปลาตะเพียนมาก ถึงกับออกกฎหมายห้ามราษฎรกินปลาชนิดนี้ เพราะจะเก็บไว้เสวยเอง องค์เดียว ราษฎรจึงเรียกพระองค์ว่าพระเจ้าทรงปลา คุณเทาชมพูพอจะมี ข้อมูลเพิ่มเติมตรงนี้มั้ยครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 12 เมื่อ 25 มี.ค. 01, 22:57
|
|
พระเจ้าท้ายสระค่ะ เป็นรัชกาลก่อนพระเจ้าบรมโกศ เรียกกันว่าขุนหลวงทรงปลา ขนาดมีพระที่นั่งชื่อบรรยงรัตนาสน์ เอาไว้ตกปลาโดยเฉพาะ พระราชพงศาวดารบอกว่า " พระองค์พอพระทัยเสวยปลาตะเพียน ครั้งนั้นตั้งพระราชกำหนดห้ามมิให้คนทั้งปวงรับพระราชทานปลาตะเพียนเป็นอันขาด ถ้าผู้ใดเอาปลาตะเพียนมาบริโภค ก็ให้มีสินไหมแก่ผู้นั้นห้าตำลึง ส่วนพระเจ้าบรมโกศออกกฎหมายห้ามจับสัตว์น้ำในวันพระค่ะ เอาผิดขั้นปรับและลงโทษแก่ผู้ฝ่าฝืน องค์นี้รู้สึกว่าจะสงสารสัตว์ แต่ไม่ยักสงสารพระโอรส ให้โบยเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์จนตายคาหลักหวาย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 13 เมื่อ 25 มี.ค. 01, 23:01
|
|
ปลาตะเพียนมีก้างทั่วตัว กินลำบากแต่เนื้ออร่อยมาก
ในตำหนักพระวิมาดาฯ เก่งเรื่องทำปลาตะเพียน ด้วยการเอาปลาตะเพียนมาทอดให้พอสุกแต่ไม่ต้องเหลืองมาก แล้วคีบออกมาวางบนกระดาษขาว ใช้ข้าหลวงคุ้ยก้างออกให้หมดทั้งตัว ปลาที่คุ้ยก้างออก เนื้อจะฟูขาว แล้วค่อยๆยกไปทอดอีกครั้งให้เหลืองกรอบร่วน ทานได้อร่อยไม่เหลือก้างอีก แล้วจึงส่งไปถวายตามตำหนักต่างๆค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
แจ้ง ใบตอง
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 14 เมื่อ 25 มี.ค. 01, 23:27
|
|
ขอบคุณคุณเทาชมพูครับ พูดถึงปลาตะเพียนขอต่อนิดหนึ่ง ปลาตะเพียนมีสองชนิดครับ ตะเพียนเงิน กับตะเพียนทอง แต่เราจะเห็นตะเพียนเงินมากกว่า ปลาตะเพียนนี่ทำอาหารอร่อยๆ ได้หลายอย่าง ทอดก็อร่อย ต้มเค็มหวานก็ดี (ส่วนมากจะต้มกันทั้งเกล็ด) เพราะเนื้อแน่น หรือทอดให้กรอบแล้วทำน้ำแกงขิง กินตอนน้ำร้อนๆ อร่อยดีครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|