เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 60 เมื่อ 08 ก.ค. 11, 17:16
|
|
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์มีพรสวรรค์ในการหยิบเล็กผสมน้อยกับสิ่งรอบตัว มาเขียนได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ใช่การเขียนเรื่อยเปื่อย แต่ข้อเขียนทุกชิ้นมีสาระ และคุณค่าประเทืองทั้งปัญญาและอารมณ์ให้คนอ่าน ความเป็นนักประพันธ์อยู่ที่ว่า ท่านใช้ภาษาได้ทุกลีลา เขียนเฮฮาในเรื่องที่ควรจะเครียดก็ได้ เพื่อบรรเทารสชาติที่ขมเกินไปให้จางลง เขียนให้เศร้าก็ได้ เขียนเหน็บแนมแกมประชดโดยไม่ต้องโจมตี แต่ได้แผลไม่เบาก็ได้ เขียนคัดค้านลบล้างความงมงายโดยไม่เป็นการก้าวร้าวล่วงละเมิดก็ทำได้เช่นกัน
พวกเราหลายคนคงรู้ว่าหัวข้อที่วิพากษ์วิจารณ์กันยากที่สุดมี 2 เรื่อง คือเรื่องการเมืองกับศาสนา เรื่องการเมืองนั้นในสมัยม.ร.วคึกฤทธิ์เป็นนักหนังสือพิมพ์หนุ่มไฟแรง อยู่ในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งจอมพลป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ใครๆก็รู้ว่าการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลเป็นเรื่องทำได้ยาก แม้ว่าท่านนายกฯใจดีเปิดโอกาสให้มีไฮปาร์คที่สนามหลวง แต่นักไฮปาร์คปากกล้าคารมคมก็เคราะห์ร้ายถูกตำรวจจับตา หรืออุ้มลงจากเวทีกันไปแล้วหลายคน แต่ม.ร.ว. คึกฤทธิ์อยู่รอดปลอดภัย เมื่อเขียนหนังสือชื่อ โจโฉ นายกตลอดกาล จะจับให้มั่นคั้นให้ตายว่าท่านว่าใครก็ไม่ได้ เพราะท่านพูดถึงโจโฉ ไม่ได้พูดถึงนายกฯประเทศอื่น อ่านก็สนุก และได้รสชาติเจ็บๆคันๆแถมกลับไปด้วย
ส่วนเรื่องที่สองคือศาสนา ก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาทกันมานักต่อนัก โดยเฉพาะในหมู่ผู้นับถือศาสนาพุทธด้วยกัน วาทะที่ยกมาอ้างกันบ่อยที่สุดคือ "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" แทนที่จะเป็นการเสนอหรือค้านกันด้วยปัญญา ม.ร.ว.คึกฤทธิ์เขียนบทความเกี่ยวกับศาสนาไว้มาก รวมเป็นเล่มได้หลายเล่ม ในที่นี้จะยกมาแค่เรื่องสั้นๆที่ทำให้เห็นฝีมือการประพันธ์ของท่าน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 61 เมื่อ 08 ก.ค. 11, 17:28
|
|
ในพ.ศ. 2508 มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาบุคคลสำคัญทางศาสนาหลายท่าน สามคนในจำนวนนี้คืออธิบดีกรมการศาสนา นายกพุทธสมาคม และอธิบดีศาล ซึ่งเป็นประจักษ์พยาน เห็นกับตาว่ามีภิกษุชรารูปหนึ่งรับการตักบาตรจากเทวดาได้ เหตุการณ์ก็คือ ภิกษุรูปนั้นนำบาตรเปล่ามายื่นให้อธิบดีกรมการศาสนาดู เพื่อให้เห็นชัดๆว่าไม่มีอะไรอยู่ในบาตร จากนั้นท่านก็เดินไปหยุดอยู่กลางแจ้ง ที่นอกชานกุฏิ ห่างจากอธิบดีไม่ถึง 10 เมตร หันหน้าไปแต่ละทิศ เปิดฝาบาตรเหมือนรับบาตรจากคนใส่ พักใหญ่ก็เรียกท่านอธิบดีเข้าไป พบว่าบาตรเปล่าเมื่อครู่หนักอึ้ง มีข้าวสุกร้อนๆอยู่เต็มบาตร ก้นบาตรยังมีประคำทอง เป็นทองแท้อยู่ ๒ เม็ด ทั้งหมดนี้ มีคำอธิบายว่าผู้ใส่บาตรมาคือเทวดา ข้าวสุกในนั้นเป็นข้าวมันปู หุงร้อนๆ และทองเมื่อเอาไปให้ช่างทองดูก็บอกว่าเป็นทองบริสุทธิ์ ไม่ใช่ทองเก๊ นอกจากนี้พระภิกษุรูปเดียวกัน ยังให้อธิบดีกรมศาสนาไปตักน้ำมาใส่บาตรให้เต็ม แล้วหยิบเงินเหรียญสมัยรัชกาลที่ ๔ ซึ่งท่านอธิบดีจับดูแล้วว่าเป็นเหรียญเงินจริงๆ ใส่ลงไป จากนั้นพระท่านก็หยิบเหรียญขึ้นมา กลายเป็นเหรียญอ่อน บี้ไปบี้มาได้ ท่านก็บี้จนกลายเป็นแผ่นเงิน พร้อมกับภาวนาคาถาไปด้วย แผ่นเงินแบบเดียวกันไปปรากฏอยู่ก้นบาตรซึ่งบรรจุแต่น้ำใส พระภิกษุหยิบขึ้นมาเอาคีมคีบใส่ลงในเตา แล้วคีบขึ้นมาใส่บาตรตามเดิม แผ่นเงินก็กลายเป็นทองสุกปลั่ง ท่านก็พับครึ่งส่งให้อธิบดีกรมศาสนาครึ่งหนึ่งและนายกพุทธสมาคมครึ่งหนึ่ง
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์เล่าถึงข่าวนี้ไว้ในบทความของท่าน ขอเวลาสักพักจะกลับมาต่อตอนจบว่าท่านเห็นอย่างไร ข่าวนี้ท่านอธิบดีให้สัมภาษณ์เอง และบอกว่าเป็นการพิสูจน์ถึงสัจธรรมของพุทธศาสนา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 62 เมื่อ 12 ก.ค. 11, 17:36
|
|
อ่านมาถึงตรงนี้ ใจคนอ่านทั่วไปก็คงจะแยกเป็น 2 ทางคือ "เชื่อ"หรือ"ไม่เชื่อ" ถ้าให้เขียนลงไป ใครเชื่อก็คงบอกว่าเชื่อ ก็อ่านแล้วก็มีหลักฐานน่าเชื่อนี่นา ใครไม่เชื่อก็ตอบออกมาว่าไม่เชื่อ เท่านั้นเอง
แต่นักประพันธ์ระดับม.ร.ว.คึกฤทธิ์แล้ว ไม่ได้ตอบง่ายขนาดว่า เชื่อหรือไม่เชื่อ แต่ท่านให้คำตอบในรูปของคำถามย้อนกลับว่า สิ่งมหัศจรรย์ที่พระภิกษุชราผู้นี้แสดงให้เห็น มันทำให้เกิดอะไรดีขึ้นมาบ้าง ท่านอธิบดีกรมการศาสนาบอกว่ามันพิสูจน์หลักธรรมของพุทธศาสนา ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ก็ถามต่อไปว่า การที่พระรับบาตรจากเทวดาได้ พิสูจน์ถึงทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ตามหลักของพุทธศาสนาอย่างไร ตัวท่านเองนั้นนึกไม่ถึง รวมทั้งพระสงฆ์เสกเงินเสกทองออกมาให้เห็น พิสูจน์ถึงทางพ้นทุกข์อันเป็นหัวใจของพุทธศาสนาได้อย่างไรแบบไหนกันแน่
เจอคำถามย้อนเข้าไปแบบนี้ อย่าว่าแต่ท่านอธิบดีอาจจะรู้สึกอึ้ง ชาวพุทธทั้งหลายก็คงต้องย้อนกลับมาถามตัวเองเหมือนกัน
เมื่อถามคำถามแรกให้อึ้งแล้ว ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ก็ยิงต่อด้วยคำถามสองว่า เอาละ เป็นอันเห็นจากเหตุการณ์นี้ว่าเทวดามีจริง มาใส่บาตรพระได้จริง แต่ก็น่าเสียดายว่าท่านอธิบดีไม่ได้ซักต่อว่า ทำอย่างไรจะให้เทวดามาใส่บาตรให้พระสงฆ์อื่นๆได้บ้าง เพราะทุกวันนี้พระสงฆ์ที่ขาดแคลนข้าวปลาอาหารในประเทศก็มีอยู่ไม่น้อย ถ้าพระรู้วิธีบิณฑบาตจากเทวดา ถึงชาวบ้านไม่ใส่บาตรท่าน ท่านก็พอจะหาจากเทวดาได้บ้างถ้ารู้วิธี
ส่วนข้อสังเกตของม.ร.ว.คึกฤทธิ์ต่อไปคือ เทวดาใส่บาตรให้พระรูปนี้ ใส่แต่ข้าวมันปู แต่ไม่ยักมีกับข้าวใส่มาด้วย จะให้ฉันเปล่าๆเพราะข้าวมันปูมันๆเค็มๆดีหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ และยังแถมประคำทองมาให้อีก ๒ เม็ดในบาตร อาจเป็นได้ว่าเทวดาไม่กินกับข้าว เลยไม่ใส่กับข้าว แต่ให้ประคำทองมา เพื่อจะให้พระท่านมอบไวยาวัจกรไปซื้อกับข้าวมาให้กระมัง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 63 เมื่อ 12 ก.ค. 11, 17:37
|
|
ส่วนเรื่องเสกเหรียญเงินให้อ่อนกลายเป็นแผ่นทอง ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ก็บอกว่างงๆ เพราะตอนบวช พระเรียนรับศีลว่าไม่จับเงินจับทองกัน เรียนกันท่าไหนจึงกลายเป็นพระจับเงินบี้ไปบี้ ให้มาเป็นทองได้ วิธีนี้โบราณเรียกว่าเล่นแร่แปรธาตุ มีทั้งฝรั่งทั้งไทย พยายามจะเปลี่ยนโลหะอื่นเป็นทองกันมานักต่อนักแล้ว เป็นเวลาหลายพันปี ไม่เคยมีใครทำสำเร็จ ท่านก็เพิ่งเห็นสำเร็จคราวนี้เอง
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ลงท้ายว่า " ต่อไปก็เห็นจะร่ำรวยกันละ ถ้าหลวงพ่อท่านไม่ถูกคนรบกวนจนกระทั่งเจ็บไข้หรือมรณภาพไปเสียก่อน แต่ผมเชื่อแน่ว่าข่าวอธิบดีกรมการศาสนาคราวนี้ออกมาแล้วละก็ อีกหน่อยเถอะ เมืองพิจิตรเห็นจะมีคนไปทุกวัน วันละหลายๆแสนคน แล้วก็วัดวาอารามของหลวงพ่อก็เห็นจะลำบากละครับคราวนี้ หลวงพ่อท่านก็อายุตั้ง ๑๑๖ ปีแล้ว จะทนอุบาสกอุบาสิกาที่อยากจะไปได้ทองจากท่านไหวหรือไม่ไหวผมก็ไม่กล้าเดา ดูๆไปก็สงสารหลวงพ่อ"
อ่านคารมของม.ร.ว. คึกฤทธิ์ เราคงเดาตอนจบของเรื่องนี้ได้ และคงตีความออกว่าม.ร.ว.คึกฤทธิ์เชื่อหรือไม่เชื่อ เรื่องนี้ มาเฉลยตอนจบคราวหน้า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
siamese
|
ความคิดเห็นที่ 64 เมื่อ 12 ก.ค. 11, 18:07
|
|
ผมจำได้ลาง ๆ ว่า เรือนไทยที่บ้านซอยสวนพลู ซื้อมาจากอยุธยา นำมาก่อสร้างใหม่ เจ้าของเดิมเป็นยายแก่ ๆ เสียชีวิตแล้ว วิญญาณยังคงผูกติดกันมา ท่านมารู้ความได้จากสามล้อถีบ มาให้การว่า มียายแก่จ้างมาลงที่เรือนไทยนี้ ...ฟังแล้วขนลุกพิกล 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ลุงไก่
|
ความคิดเห็นที่ 65 เมื่อ 12 ก.ค. 11, 18:53
|
|
ผมจำได้ลาง ๆ ว่า เรือนไทยที่บ้านซอยสวนพลู ซื้อมาจากอยุธยา นำมาก่อสร้างใหม่ เจ้าของเดิมเป็นยายแก่ ๆ เสียชีวิตแล้ว วิญญาณยังคงผูกติดกันมา ท่านมารู้ความได้จากสามล้อถีบ มาให้การว่า มียายแก่จ้างมาลงที่เรือนไทยนี้ ...ฟังแล้วขนลุกพิกล  ซื้อมาจาก ตรงหลังศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เสาชิงช้า ตะหาก ใกล้ๆ คลองหลอดวัดเทพธิดาราม-วัดบุรณศิริ มีเสาตกน้ำมันติดมาหนึ่งต้น อาจารย์คึกฤทธิ์ ท่านไปคุยกับวิญญาณที่สิงอยู่ในเสาตกน้ำมัน แล้วปิดทองที่เสาให้ด้วย จากนั้นมาก็ไม่เคยพบกันอีก แต่ตอนที่ทหารพรานจากปักธงชัย ลูกพ่อจิ๋ว บุกถล่มบ้านสวนพลู ยายแกไม่ออกมาช่วยเลย ตอนนั้นคงจะไปเกิดใหม่แล้ว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 66 เมื่อ 12 ก.ค. 11, 20:43
|
|
คุณลุงไก่จำแม่นค่ะ
คุณยาย(ม.ร.ว.คึกฤทธิ์เรียกว่าคุณย่า)คงจะเป็นเจ้าของบ้านเก่า เจ้าของบ้านใหม่ท่านรู้จักเพราะมีคนถีบสามล้อมาทวงเงินเอากับท่าน ว่ามาส่งผู้โดยสารที่บ้านซอยสวนพลูนี้ เดินเข้าไปในบ้านแล้วไม่กลับมาจ่ายเงิน ม.ร.ว. คึกฤทธิ์สันนิษฐานว่าเมื่อมีชีวิตอยู่ คุณป้าคงจะชอบนั่งสามล้อไปเที่ยวไหนๆเป็นความบันเทิงใจส่วนตัว ท่านเล่าด้วยว่าครั้งหนึ่ง ตอนดึกมาเข้าห้องน้ำ มองออกไปผ่านบานเกล็ดชั้นล่างของหน้าต่าง เห็นขาใครคนหนึ่งนุ่งโจงกระเบนเดินเล่นอยู่บนนอกชานกลางแสงจันทร์ แต่ท่านไม่ได้ชะโงกออกไปดูหน้าตา คงเป็นเพราะใจไม่ถึงพอ
วันที่ทหารบุกบ้านทุบข้าวของท่านแตกหักเสียหาย รวมทั้งเตียงโบราณสมัยรัชกาลที่ ๒ บานประตู(ไม่ใช่เสา) ตกน้ำมันให้เห็นอีกครั้ง หลังจากเคยตกน้ำมันให้เห็นเมื่อย้ายมาใหม่ๆ ส่วนคุณยายที่ไม่ออกมาช่วย คุณลุงไก่จะให้คุณยายสวมเกราะถือดาบออกมารบกับทหารทั้งกลุ่มหรือไรคะ
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14 ก.ค. 11, 10:51 โดย เทาชมพู »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 67 เมื่อ 14 ก.ค. 11, 11:01
|
|
มาเล่าเรื่องคุณย่าเจ้าของบ้าน แถมอีกนิดหน่อย
ม.ร.ว. คึกฤทธิ์เคยให้สัมภาษณ์ว่า
" พอมาถึงมาปลูกบ้านเสร็จ แกก็ไปนั่งสามล้อเที่ยว ตอนนั้นก็ยังไม่ได้กั้นรั้ว ผมก็อยู่ในบ้านตรงนี้ พอสักสี่ห้าทุ่มสามล้อก็มาเคาะประตูเรียก ผมออกไปถามดูว่ามันเรื่องอะไร สามล้อบอกว่ามีผู้หญิงผู้ใหญ่ๆ แล้วตัดผมสั้นนั่งสามล้อเข้ามา ให้มาส่งที่นี่ แล้วหายขึ้นมาบนเรือนหลังนี้ บ้านของที่บ้านนี้ใช่ไหม ก็ตอบว่าใช่ สามล้อบอกว่าแกไม่ได้ให้สตางค์ ผมก็ให้ไป ตอนนั้นราคาดูเหมือน 1.50 บาท บ้าง 2.00 บาทบ้าง ขึ้นมาจากสาทรบ้าง ปากตรอกบ้าง ผมก็ให้สตางค์ทุกครั้ง สองหนสามหน จนกระทั่งจอมพลสฤษดิ์ท่านเลิกสามล้อถีบ ถึงได้หมดเรื่องไป ต่อมาเพื่อนเขามาเที่ยวที่บ้านนี้ พอเห็นเข้าก็จำได้ บอกว่าบ้านหลังนี้ซื้อมาจากเสาชิงช้าใช่ไหม...ผมก็ตอบว่าใช่...เขาก็บอกว่าโอ้โฮ ซื้อทำไมผีดุจะตาย อ้าวทำไมคุณรู้ว่าผีดุ ผมถาม เขาบอกว่าตอนที่อยู่เสาชิงช้า สามล้อไม่กล้าจอดที่หน้าบ้านนี้ ลือกันไปตลอดถนนเสาชิงช้าถึงแถวป้อมมหากาฬ ว่ามีผู้หญิงชอบนั่งรถสามล้อ พอมาขึ้นบ้านนี้แล้วหายไปเลย"
คุณย่านอกจากชอบนั่งรถสามล้อเที่ยวแล้ว ยังมีนิสัยไม่ชอบหมาอีกด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 68 เมื่อ 14 ก.ค. 11, 12:26
|
|
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์อยู่กับคุณย่ามานานๆ ก็คงคุ้นเคยกันดี ไม่ได้กลัวกันอีก กลายเป็นว่าคุณย่าจะเป็นฝ่ายเกรงใจ ไม่กล้าทำอะไรเจ้าของบ้านคนใหม่เสียด้วยซ้ำ ท่านเล่าว่า
" หมามันนั่งอยู่หน้าประตูแล้วร้องเอ๋งๆ เหมือนถูกคนตีกลางดึก ได้ความว่า(คุณย่า)ไม่ชอบหมา ประตูบ้านก็ปิด หมามานอนอยู่ใต้ชายคาหน้าประตู เสร็จแล้วหมาก็ร้องเอ๋งๆๆ หมาตัวนั้นชื่อไอ้เสือดำ ผมก็ไม่รู้เรื่องอะไร เปิดประตูห้องนอนอีก หลังออกมาดู พอเห็นหมาอยู่หน้าประตูเหมือนกำลังถูกตี แต่ก็ไม่เห็นผู้คน ก็ยืนร้องอยู่อย่างนั้น ผมก็เดินเข้าไป ไล่หมาออกมาแล้วด่าหมาว่า..พุทโธ่ ก็รู้ว่าเขาไม่ชอบแล้วมึงมานอนทำไมตรงนี้ ว่าแล้วก็หันไปพ้อว่า นี่ก็ไม่รู้อะไร ลุกขึ้นตีหมูตีหมากลางดึกกลางดื่น หนวกหูผู้คนเขาจะหลับจะนอน ดุทั้งผีทั้งหมาแล้วก็กลับเข้าไปนอน"
อ่านจากข้อเขียนของท่าน เดาว่าคุณย่าคงอาศัยอยู่ที่บานประตูตกน้ำมันบานนั้นละค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 69 เมื่อ 14 ก.ค. 11, 12:35
|
|
กลับมาเรื่องพระรับบาตรเทวดากับเสกเงินเป็นทอง
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ท่านก็ไม่เชื่อนั่นแหละ แต่ความเป็นนักประพันธ์ทำให้ท่านไม่ตอบสั้นๆ ว่า ไม่เชื่อ ซึ่งจะนำไปสู่การถกเถียงทะเลาะกันอีกนาน เพราะฝ่ายเชื่อก็จะยึดมั่นกับสิ่งที่เชื่อ ฝ่ายไม่เชื่อก็ยึดมั่นกับสิ่งที่ตัวเองไม่เชื่อ ต่างฝ่ายต่างยึดมั่นถือมั่นกับเรื่องเฉพาะหน้า ซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพุทธศาสนา หรือถ้าเกี่ยวก็เป็นกระพี้ ไม่ใช่แก่น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ใช้โวหารอธิบาย ที่ทำให้คนอ่านได้สติขึ้นมาว่า เออ ถ้ามันจริงแล้วคนดูได้อะไร เกี่ยวกับการดับทุกข์ตรงไหน เมื่อได้สติขึ้นมาแล้ว ท่านก็จะชี้แจงต่อไปให้เกิดความสงสัยในพิรุธต่างๆต่อมาได้ เรียกว่าสามารถปลดความไม่รู้ หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของคนอ่านลงไปได้อีกเปลาะหนึ่ง ส่วนคำตอบว่า เรื่องนี้จริงหรือไม่จริงนั้น คำตอบคือไม่จริง ต่อมาท่านอธิบดีกรมการศาสนาก็ออกมายอมรับว่า เรื่องนี้ไม่จริง
ดิฉันยังจำเรื่องนี้ได้เพราะเป็นข่าวใหญ่ลงหนังสือพิมพ์ติดต่อกันนานหลายวัน ต่อมา ท่านอธิบดีออกโทรทัศน์แถลงเรื่องนี้ด้วย เมื่อความจริงถูกแฉออกมาว่าเป็นการเล่นกลเท่านั้นเอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ลุงไก่
|
ความคิดเห็นที่ 70 เมื่อ 14 ก.ค. 11, 12:57
|
|
เพิ่งพบเรื่องที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์กล่าวถึงประตูบานนี้ ท่านเล่าว่า
ในระหว่างนั้น วันหนึ่งผมเกิดร้อนใจอย่างไรไม่ทราบ ก็ได้ขับรถไปถึงที่บ้านนั้นอีกแล้วก็ขึ้นไปดู ปรากฎว่าบานประตูใหญ่สองบานซึ่งเคยติดอยู่เมื่อผมไปตรวจครั้งแรกนั้น บัดนี้ได้หายไปแล้ว ผมก็โวยหาว่าเทศบาลเบี้ยว ทางเทศบาลก็ตกใจบอกว่าหายไปได้อย่างไรไม่รู้ไม่เห็นเลย จึงสอบสวนกันภายในเทศบาลก่อน ก็ปรากฎว่าเจ้าหน้าที่กองช่างของเทศบาลได้มาถอดประตูคู่นั้นไป ด้วยความประสงค์ว่าจะเอาไปทำม้านั่งสาธารณะ ทางเทศบาลก็ไปเรียกคืนมามอบให้ผม ซึ่งตามกฎหมายถือว่าเป็นเจ้าของแล้ว
สำหรับบานประตูคู่นี้ ผมได้หารถบรรทุกไปขนเอามาจากเทศบาลในวันนั้นและเอามามาแช่ไว้ในบ่อน้ำที่บ้านผม เพื่อล้างให้สะอาด บานประตูคู่นั้นทำด้วยไม้สักทองหนาประมาณหนึ่งนิ้วหรือนิ้วครึ่ง มีดาลอยู่ตรงกลางสลักสวยงามมาก ผมเอาบานประตูคู่นั้นแช่ไว้ในบ่อหลายวัน ระหว่างนั้นก็จัดการไปรื้อบ้านนั้นมายังที่ผมที่ซอยพระพินิจ และไปหาช่างบ้านนอกจากตำบลลาดชะโด อำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อันเป็นคนที่คุ้นเคยกับผมมาตั้งแต่บรรพบุรุษเป็นเวลาร่วมสองร้อยปีมาแล้ว ... เมื่อเอาบานประตูใส่เข้าไปและยังมุงหลังคาไม่เสร็จนั้น บานประตูก็ยังขาวสะอาด เป็นไม้สักทองรู้สึกว่ามีค่ามาก
อ้างถึง - "ตำนานเรือนไทยในซอยสวนพลู" จากคอลัมน์ซอยสวนพลู วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๓๔ รวมพิมพ์ในหนังสือสยามรัฐฉบับพิเศษ "คึกฤทธิ์กับความเป็นไทย" ครบรอบ ๘๒ ปี คึกฤทธิ์ ปราโมท (ยังมีต่อ -)
หมายเหตุ - ผมกล่าวไว้ในความเห็นก่อนว่าบ้านหลังนี้อยู่หลังตึก กทม. ติดคลองหลอดวัดราชนัดดา "ผิดครับ" ในบทความนี้บอกว่า บ้านหลังนี้อยู่ใกล้ๆ โบสถ์พราหมณ์ครับ ขออภัย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ลุงไก่
|
ความคิดเห็นที่ 71 เมื่อ 14 ก.ค. 11, 13:04
|
|
กลับมาเรื่องพระรับบาตรเทวดากับเสกเงินเป็นทอง
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ท่านก็ไม่เชื่อนั่นแหละ แต่ความเป็นนักประพันธ์ทำให้ท่านไม่ตอบสั้นๆ ว่า ไม่เชื่อ ซึ่งจะนำไปสู่การถกเถียงทะเลาะกันอีกนาน เพราะฝ่ายเชื่อก็จะยึดมั่นกับสิ่งที่เชื่อ ฝ่ายไม่เชื่อก็ยึดมั่นกับสิ่งที่ตัวเองไม่เชื่อ ต่างฝ่ายต่างยึดมั่นถือมั่นกับเรื่องเฉพาะหน้า ซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพุทธศาสนา หรือถ้าเกี่ยวก็เป็นกระพี้ ไม่ใช่แก่น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ใช้โวหารอธิบาย ที่ทำให้คนอ่านได้สติขึ้นมาว่า เออ ถ้ามันจริงแล้วคนดูได้อะไร เกี่ยวกับการดับทุกข์ตรงไหน เมื่อได้สติขึ้นมาแล้ว ท่านก็จะชี้แจงต่อไปให้เกิดความสงสัยในพิรุธต่างๆต่อมาได้ เรียกว่าสามารถปลดความไม่รู้ หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของคนอ่านลงไปได้อีกเปลาะหนึ่ง ส่วนคำตอบว่า เรื่องนี้จริงหรือไม่จริงนั้น คำตอบคือไม่จริง ต่อมาท่านอธิบดีกรมการศาสนาก็ออกมายอมรับว่า เรื่องนี้ไม่จริง
ดิฉันยังจำเรื่องนี้ได้เพราะเป็นข่าวใหญ่ลงหนังสือพิมพ์ติดต่อกันนานหลายวัน ต่อมา ท่านอธิบดีออกโทรทัศน์แถลงเรื่องนี้ด้วย เมื่อความจริงถูกแฉออกมาว่าเป็นการเล่นกลเท่านั้นเอง
เรื่องของพระรับบาตจากเทวดา ขออ้างบทความเรื่องเล่าของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ลูกศิษย์ของหลงพ่อปานอีกครั้งครับ จากเรื่อง ประวัติหลวงพ่อปาน (พระครูวิหารกิจจานุการ) วัดบางนมโค http://www.luangporruesi.com/77.htmlและ http://www.luangporruesi.com/78.html
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ลุงไก่
|
ความคิดเห็นที่ 72 เมื่อ 15 ก.ค. 11, 08:46
|
|
ต่อจากความเห็นที่ ๗๐
แต่พอมุงหลังคาเสร็จได้สักสองวัน ผมก็ไปดูบ้านของผมอีกในตอนเช้า ปรากฎว่ามีใครเอาน้ำมันเครื่องมาราดที่ประตูเป็นดวงใหญ่ๆ สองดวง ผมก็โมโหฉุนเฉียวอยู่คนเดียว เพราะเสียแรงทำความสะอาดบานประตูทั้งสองนี้อย่างระมัดระวัง แล้วอยู่ๆ ก็มีใครเอาน้ำมันเครื่องมาราดของผมเล่นเฉยๆ จะมีเจตนาอย่างไรก็ไม่ทราบ ผมก็นึกในใจว่า "ใครเอาน้ำมันมาราดประตูของกู?" แล้วก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อไปอีก นอกจากถอดบานประตูทั้งสองนั้นลงบ่ออีก ล้างอีก กัดด้วยโซดาไฟอีก ผึ่งจนแห้งดี แล้วก็เอาขึ้นใส่เข้ากรอบตามเดิม
อยู่มาอีกสามสี่วัน ก็มีใครเอาน้ำมันเครื่องมาราดที่บานประตูผมอีก ผมก็เอาลงล้างอีกแล้วเอาขึ้นใส่ที่อีก ต่อมาอีกสองสามวันก็มีใครเอาน้ำมันเครื่องมาราดที่บานประตูผมอีก
ผมก็ชักจะสงสัยว่าใครหนอจะจงเกลียดจงชังเอาน้ำมันเครื่องของสกปรกมาราดประตูซึ่งทำความสะอาดแล้วด้วยความจงใจเจตนา ซึ่งอาจจะเป็นเจตนาร้ายอย่างไรผมไม่ทราบ ผมก็เลยขี้กียจทำอะไรต่อไป ทิ้งบานประตูนั้นไว้โดยที่ไม่ไปล้างและไม่ขัดเอาน้ำมันออกแต่อย่างใดทั้งสิ้น
ต่อมาผมได้ไปสังเกตดูใกล้ชิด แลเห็นว่าน้ำมันนั้นไม่ใช่น้ำมันที่มีคนเอามาราดมารดหรือมาาจากภายนอก แต่เป็นน้ำมันที่ซึมออกมาจากบานประตูนั้นเอง เมื่อผมเห็นอย่างนั้นผมก็ขนลุก ยกมือไหว้ประตูเอาเฉยๆ โดยไม่ได้เจตนา คล้ายๆ กับว่าเป็นความเคลื่อนไหวตามธรรมชาติซึ่งไม่จำเป็นต้องมีเจตนา
และเมื่อไม่รู้จะทำอะไรอีก ตกบ่ายผมก็ไปหาทองใบหลายแผ่นมาปิดเข้าไปที่บานประตูตรงที่เปื้อนน้ำมันนั้น ทองที่ปิดเข้าไปก็ปิดแนบแน่น ดูเหมือนจะซึมเข้าไปในเนื้อไม้เลย ถึงบัดนี้ทองที่ปิดหนแรกนั้นก็ยังอยู่
....
"อยู่มาอีกสามสี่วัน ก็มีใครเอาน้ำมันเครื่องมาราดที่บานประตูผมอีก ผมก็เอาลงล้างอีกแล้วเอาขึ้นใส่ที่อีก ต่อมาอีกสองสามวันก็มีใครเอาน้ำมันเครื่องมาราดที่บานประตูผมอีก"
สังเกตประโยคนี้ ท่านอาจารย์ฯ ใช้คำว่า "อีก" ถึง ๖ ครั้ง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 73 เมื่อ 19 ก.ค. 11, 09:39
|
|
คุณลุงไก่ไม่มาต่อเรื่องนี้ จึงขอเล่าต่อเอง
บานประตูปิดทองตกน้ำมันอีกครั้ง หลังเกิดเหตุการณ์ตำรวจบุกบ้านม.ร.ว.คึกฤทธิ์ เข้าไปทุบข้าวของเสียหาย ทำร้ายสัตว์เลี้ยงของท่านและเอาปืนยิงห้อง จากนั้นเจ้าของบ้านก็พบว่าบานประตูตกน้ำมัน มีน้ำมันไหลจั้กๆ ออกมาเยิ้มจนทองที่ปิดไว้ละลายหมด ตกน้ำมันทั้งแผ่น ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ท่านบอกว่า...คงตกอกตกใจหรือโกรธมาก ท่านก็เอาดอกไม้ธูปเทียนไปจุด บอกกล่าวว่าไม่มีอะไรแล้ว ขอให้สบายใจได้ ท่านเอาน้ำอบไทยไปประพรม ประแป้ง แขวนพวงมาลัย ผูกผ้าสีชมพู คงจะทำนองรับขวัญ วันรุ่งขึ้น น้ำมันก็แห้งหมด **************************** ความเป็นนักประพันธ์อีกประการหนึ่งของม.ร.ว.คึกฤทธิ์ คือท่านสามารถทำอะไรได้หลายๆอย่างในเวลาเดียวกัน ซึ่งคนทั่วไปทำไม่ได้ เช่นสามารถเขียนต้นฉบับได้ ทั้งๆตอนนั้นมีคนมานั่งห้อมล้อมอยู่เต็มโต๊ะ เช้าๆลงมานั่งอ่านหนังสือพิมพ์ กินกาแฟ สักพักก็เขียนหนังสือไปด้วย แม้เมื่ออายุมาก ก็ยังไม่เว้นการทำงาน ท่านเขียนหนังสือทุกวัน แม้ในช่วงป่วย เดินไม่ได้ หายใจไม่ออก ก็ยังเขียนหนังสืออยู่ จนเข้าไอซียู จึงเลิกเขียน เพราะมือจับปากกาไม่ได้ แต่ก็ยังไม่หยุดทำงาน ยังพูดให้อัดเทป ออกมาเป็นบทความได้
ม.ล. รองฤทธิ์ ปราโมช บุตรชายของท่านให้สัมภาษณ์ว่า
" ความสามารถในการเขียนบทความบนโต๊ะ ที่คนห้อมล้อมมากมาย แต่ท่านกลับทำได้ ด้วยสติ ด้วยสมาธิ และความเป็นผู้มีปัญญาเลิศ คือสิ่งที่ไม่มีใครสามารถเลียนแบบได้ และเป็นความสามารถที่พิเศษเอามากๆ ด้วยใจที่รักในงานเขียนของท่าน ก็ไม่ผิดแปลกอะไร ที่ท่านจะได้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ เขียนไม่ได้ก็อัดเทปเอา น้อยคนนักที่จะคิดหรือทำแบบท่าน"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ลุงไก่
|
ความคิดเห็นที่ 74 เมื่อ 19 ก.ค. 11, 10:01
|
|
ขอ "แปะ" เรื่องนี้ไว้ก่อนครับ คือว่าไปติดใจกับคำว่า "ครูแจ้งถนนอาจารย์" เลยต้องไปค้นดูว่า "ถนนอาจารย์" นี่มีแถววัดรฆัง-วังหลังด้วยหรือ "หม่อมเป็ดสวรรค์" ทำให้ลุงไก่งงหลายระลอก ต้องมาหาเป็ดพะโล้กับเป็ดย่างไฟแดงเจ้าอร่อยที่พระประแดง ถนนเจริญนคร (สายใน) ด้านซ้ายมือ หน้าอู่ซ่อมรถ ก่อนถึงวัดไพชยนต์ฯ เดินในซอยวังหลังทะลุวัดระฆังนี้ตั้งแต่ยังไม่ถึงสิบขวบ พบแต่ "ตรอกศาลาต้นจันทร์" ข้ามเรือท่า "คุณโกย" ไปท่ามหาราช แค่ ๒๐ สตางค์ ท่าเรือ "สุภัทรา" เก็บ หนึ่งสลึง แต่ก็ยังโชคดีที่ได้เห็นโรงหล่อพระในซอยวัดระฆังนี้ (ปัจจุบันจะยังมีอยู่อีกหรือไม่?) ต้องเดินเข้าตรอกเล็กๆ แยกจากซอยไปทางคลองวัดระฆัง ด้านที่ติดกับกรมอู่ทหารเรือ อยู่หลังตลาดบ้านขมิ้น กับได้เคยดูหนังที่โรงหนังบ้านขมิ้น ทีนั่งไม่ได้เป็นเบาะนุ่มสบายติดแอร์เหมือนโรงหนังสมัยนี้หรอกครับ เป็นไม้กระดานหน้ากว้างสักแปดนิ้ว หนาสักนิ้วหนึ่ง วางพาดไปตลอดความกว้างของโรงหนัง ค่าตั๋วก็แถวหน้าหนึ่งบาท แถวกลางสามบาท แถวหลังก็ห้าบาท
เดินข้ามถนนอรุณอัมรินทร์เข้าไปทางถนนตัดใหม่ข้างโรงพยาบาลธนบุรีตัดกับซอยบ้านช่างหล่อเดิม ไปหามะตูมเชื่อมอร่อยๆ ที่ตรอกมะตูมได้นะครับ
เมื่อสักห้าสิบปีก่อน ในซอยวัดระฆัง มีช่างทำซอคนหนึ่งชื่อ ลุงผึ่ง มีฝีมือดีมากในการทำซอ ทั้งซออู้ ซอด้วง ลูกค้าขาประจำก็มาจากทางท่าช้างวังหน้าบ้าง ท่าช้างวังหลวงบ้าง
หาหนังสืออยู่เล่มหนึ่งไม่พบ เรื่องย่อว่า ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ รู้สึกรำคาญที่ช่างเรียงพิมพ์หญิงในโรงพิมพ์สยามรัฐท้องไม่มีพ่อบ่อยๆ ไม่รู้จะจัดการอย่างไร วันหนึ่งท่านก็ "ปิ๊ง" กับการแก้ปัญหาเรื่องนี้ ท่านจึงจัดการเขียนป้ายติดไว้ซะเลยว่า "ห้ามเฮ็ดช่างเรียง" ปรากฎว่าวิธีนี้ได้ผลชะงัดจริงๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|