เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 2 [3] 4 5 6
  พิมพ์  
อ่าน: 48044 ความเป็นนักประพันธ์ของพลตรี ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 30  เมื่อ 02 มิ.ย. 11, 20:16

มีอีก ๒ ตอนในหนังสือเล่มเดียวกัน ที่คุณลุงไก่อาจจะชอบ

"ความรักหมานั้น พอได้ยินวาจาของกันก็เข้าใจกันรู้กันได้ และความรักหมานั้นเป็นสากลโดยแท้ ไม่ขีดขั้นด้วยชนชั้นหรือลัทธิ"

"ผมเองที่เขียนเรื่องหมามาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ก็ด้วยคติเดียวกับนายเปสสะ บุตรนายควาญช้างที่ทูลพระพุทธเจ้าว่า "อัต.ตานo เหตo ภน.เต ยทิทo ปสโว" สัตว์เดรัจฉานประเภทสัตว์เลี้ยงนั้น ตรงไปตรงมาเข้าใจง่ายกว่ามนุษย์ การศึกษาของที่เข้าใจง่ายย่อมสะดวกกว่าศึกษาของที่เข้าใจยาก แต่ของที่เข้าใจง่ายเช่นจิตใจของหมานั้นเอง บางครั้งบางคราวก็เป็นเสมือนหน้าต่างที่เปิดไว้ เป็นช่องทางที่เราจะชะโงกเข้าไปดูจิตใจของมนุษย์ ได้เป็นครั้งคราว ถึงจะเห็นไม่ได้ตลอดละเอียดถี่ถ้วนก็ยังดีกว่าไม่เห็นเลย"

ส่วนที่พิมพ์ด้วยตัวแดง  เดาว่าบาลีที่ถูกต้องคือ อตฺตานํ  เหตํ ภนฺเต ยทิทํ  ปสโว
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 31  เมื่อ 02 มิ.ย. 11, 20:19

มีเรื่องสั้นอีกเรื่องหนึ่ง ที่ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ให้หมาเป็นตัวนำในเรื่อง แต่เป็นเรื่องเสียดสีการเมืองอย่างเจ็บแสบ   มาอ่านในยุคนี้ก็ยังไม่ล้าสมัย
เรื่องนี้ชื่อ "หมาตำรวจ"

เมื่อเช้าวันที่ ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๐ มีศพชายหนึ่งนอนอยู่หน้าศาลากลางจังหวัดพิบูลบุรี ชายคนนั้นมิใช่คนแปลกหน้ามาจากไหนเป็นคนที่อยู่อำเภอเมือง จังหวัดพิบูลบุรี มาแต่อ้อนแต่ออก ใครๆ ก็รู้จักใครที่แลดูศพนั้นปราดเดียวก็ต้องรู้ว่า ชายคนนั้นตายเพราะอดอาหารเพราะศพนั้นมีแต่หนังหุ้มกระดูก ท้องป่อง ตานั้นลืมและลึกกลวง เหล่านี้เป็นอาการของผู้ที่อดข้าวตาย

แต่เพราะเหตุที่จังหวัดพิบูลบุรีตั้งอยู่ในประเทศไทยอันเป็นเมืองที่มีชื่อว่าเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ มีข้าวเหลือกินเหลือใช้ทุกปี ไม่มีใครอดตาย ใครอดตายก็ขัดคำสั่งรัฐบาล จึงไม่มีใครยอมรับว่าชายคนนั้นอดข้าวตาย เหตุที่ชายคนนั้นถึงแก่ความตาย จึงเป็นเหตุลึกลับ ร้อนถึงต้องส่งหมาตำรวจมาจากกรุงเทพฯเพราะตำรวจภูธรจังหวัดพิบูลบุรีไม่สามารถสืบหาสาเหตุได้

เมื่อนายสิบตำรวจหนุ่มๆ คนหนึ่ง จูงหมาตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุนั้น ปรากฏว่ามีคนมายืนดูศพนั้นอยู่แน่น นายอำเภอเมืองจังหวัดพิบูลบุรีเป็นคนหนึ่งที่มาอยู่ในที่นั้น พอหมาตำรวจมาถึงก็มีเสียงฮือขึ้นในกลุ่มคนด้วยความสนใจเพราะใครก็เคยได้ยินว่า...หมาตำรวจนั้น แน่นัก ลงได้ดมกลิ่นคนร้ายแล้วก็จะต้องสูดกลิ่นไปจนถึงตัว จับคนร้ายได้ทุกทีไป ไม่มีพลาด

พอหมาตำรวจแลเห็นศพนอนอยู่ ก็เห่าขึ้นด้วยความตื่นเต้นแล้วก็ดึงสายจูง ลากเอานายสิบตำรวจหนุ่มคนนั้นแหวกคนเข้าไปถึงศพ พอถึงศพแล้ว หมาตำรวจก็ดมศพนั้นจนทั่ว แล้วก็หอนขึ้นทีหนึ่ง

ครั้นแล้ว หมาตำรวจจึงสูดกลิ่นที่พื้นดิน และออกเดินสูดกลิ่นเรื่อยไปตามบรรดาคนที่มายืนอยู่ หมาเดินผ่านคนไปหลายคน และตาทุกคู่ก็จ้องจับอยู่ที่หมาตำรวจด้วยความสนใจ

พอหมาตำรวจมาถึงตรงหน้าพ่อค้าคนหนึ่ง ชื่อ นายฮวด หมาตำรวจก็ดมกลิ่นเข้าไปถึงเท้านายฮวด แล้วก็เห่าทีหนึ่ง และลงนั่งแลบลิ้นหอบแฮ่กๆ แหงนหน้าขึ้นจ้องมองนายฮวด พลางกระดิกหางอย่างดีใจ

นายฮวดหน้าซีดเผือด กลืนน้ำลายอย่างพะอืดพะอม ตัวเนื้อเริ่มสั่นขาอ่อน ทรุดตัวลงนั่ง แล้วพูดกับนายสิบตำรวจหนุ่มนั้นว่า
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 32  เมื่อ 02 มิ.ย. 11, 20:21

“ผมขอสารภาพ ผมเองเป็นผู้ร้ายฆ่าคนๆ นี้ให้ตาย ผมเป็นพ่อค้าตั้งร้านขายของชำอยู่ในตลาด คนๆ นี้เป็นลูกค้าผมมาเก่าแก่ เคยซื้อข้าวสารน้ำปลา น้ำตาล พริก กะปิ หอม กระเทียม จากร้านของผมมาตั้งแต่ผมตั้งร้านช่วยอุดหนุนซื้อของผม จนผมมั่งมีตั้งตัวได้

แต่ผมสังเกตว่าในระยะปีสองปีนี้ คนๆ นี้ซื้อของน้อยลงไปทุกทีจนในที่สุดเมื่อเร็วๆ นี้เอง เขาแต่งตัวขะมุกขะมอม เสื้อผ้าขาดวิ่น เข้ามาในร้านของผม แล้วขอซื้อเชื่อข้าวสารผมไปกิน ถ้าคนๆ นี้มีฐานะดีเหมือนเมื่อก่อนผมก็คงไม่ขัดข้อง แต่เพราะผมได้เห็นว่าเขาจนลงกว่าแต่ก่อนมาก และเมื่อวันเขามาขอซื้อเชื่อข้าวสาร เขากลายเป็นคนสิ้นคิด ผมจึงไม่ยอมให้เขาซื้อเชื่อข้าวสารไปกิน และไล่เขาออกจากร้านไป...

ผมเองครับเป็นคนใจร้ายฆ่าเพื่อนมนุษย์... ผมเองที่เป็นคนอกตัญญู ไม่รู้คุณคน ทำร้ายผู้มีคุณแก่ผมจนถึงตาย... ผมขอสารภาพรับความผิดของผม...”

พอนายฮวดพูดจบ หมาตำรวจก็เลียหน้านายฮวดทีหนึ่ง แล้วก็ออกเดินสูดกลิ่นต่อไปในหมู่คน   ในที่สุด หมาตำรวจก็มาหยุดนั่งกระดิกหาง จ้องหน้าคหบดีคนหนึ่งชื่อ นายเกิด แล้วก็เห่าขึ้นสองที

นายเกิดหน้าสลด คอตกลงในทันใด ยื่นมือทั้งสองไปที่นายสิบตำรวจหนุ่มผู้จูงหมาตำรวจ แล้วกล่าวว่า

“ผมเองเป็นผู้ผิด ผมนี่แหละครับเป็นผู้ร้ายฆ่าคนตาย คนๆ นี้ตายเพราะน้ำมือของผมแท้ๆ   คนตายนี้แต่ก่อนเป็นผู้มีหลักฐานดีมีเรือกสวนไร่นา เป็นผู้ขยันขันแข็ง ทำประโยชน์ให้เกิดแก่ชุมชนอยู่เป็นนิจ      ต่อมาผมเองเป็นผู้ริเริ่มเป็นเจ้ามือสลากกินรวบ ผมก็ไปชักชวนคนๆ นี้ให้แทงสลากกินรวบกับผม ตอนแรกเขาแทงทีละน้อย แต่เขาก็เสียทุกครั้งไป สมัยเมื่อสลากกินแบ่งรัฐบาลยังออกแต่น้อยครั้ง เดือนละหนสองหนเขาก็แทง แต่น้อยครั้งไม่สู้กระไรนัก แต่พอสลากกินแบ่งรัฐบาลออกเดือนละเจ็ดครั้ง เขาก็ติดเป็นนิสัย เลิกไม่ได้ และจำนวนที่แทงก็มากขึ้น ยิ่งเสียมากเขาก็ยิ่งแทงมาขึ้นไปอีก
ชีวิตของเขาทั้งหมดมารวมอยู่สลากกินรวบ เลิกทำมาหากินเมื่อยิ่งแทงก็ยิ่งเสีย เขาก็ตั้งหน้าคิดแต่จะแทงให้ถูก วันหนึ่งๆ เขาก็ได้แต่ไปเที่ยวหาอาจารย์ใบ้หวย เขานอนฝันถึงอะไร รุ่งขึ้นเขาก็เอาฝันนั้นมาคิดออกเป็นเลขสามตัว แล้วก็มาแทงกินรวบ เงินทองที่เขาเก็บไว้ได้ก็หมดสิ้นไป เรือกสวนไร่นาเขาก็เอาจำนำหรือขายมาแทงกินรวบจนหมด แม้แต่เครื่องใช้ในบ้าน จนในที่สุดตัวบ้านที่เขาอาศัยอยู่เอง เขาก็ขายเอามาแทงกินรวบ เขาหมดตัว ไม่มีอะไรเหลือ เงินทองทรัพย์สินของเขาทั้งหมดตกมาเป็นของผมผู้เป็น เจ้ามือสลากกินรวบ... ผมเป็นผู้สูบชีวิตของเขาเอามาเป็นของผม เขาจึงถึงแก่ความตาย...
ผมเองเป็นผู้ร้ายฆ่าคน ตำรวจจงจับผมไปเถิด..ผมขอสารภาพ”
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 33  เมื่อ 02 มิ.ย. 11, 20:24

พอนายเกิดพูดจบ หมาตำรวจกระดิกหางดีใจยิ่งขึ้นลุกขึ้นยืนสองขาหลัง เอาสองขาหน้าพาดที่ไหล่นายเกิดแล้วก็เลียหน้านายเกิดหลายที

เสร็จแล้วหมาตำรวจก็ผละจากนายเกิด ออกเดินสูดกลิ่นต่อไปรอบๆ จนมาถึงตรงหน้านายอำเภอเมือง หมาตำรวจก็หยุดลง นั่งมองหน้านายอำเภอเมือง  แล้วกระดิกหางดีใจจนฝุ่นตลบและเห่าขึ้นสามครั้ง

นายอำเภอเมืองควักผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อที่หน้าผาก กลืนน้ำลายสองที แล้วพูดขึ้นว่า

“ผมเองคือตัวการในฆาตกรรมรายนี้..."
" ผมเป็นนายอำเภอเมืองเข้ามารับหน้าที่นี้ด้วยความสมัครใจ   ไม่มีใครบังคับ เมื่อผมเข้ามารับหน้าที่นายอำเภอ ผมก็รู้หน้าที่นั้นดีว่า หมายถึงการระงับทุกข์บำรุงสุขของราษฎร  ผมมีหน้าที่ส่งเสริมช่วยเหลือราษฎรทุกคน ให้ทำมาหากินเป็นหลักฐานด้วยความสุขและความสะดวกทุกประการ ผมมีหน้าที่แนะนำและดูแลให้ราษฎรปฏิบัติงานที่ชอบ อันจักเป็นประโยชน์มากที่สุดแก่ราษฎรเอง หากราษฎรมีกินมีใช้ อิ่มหมีพีมัน ผมก็นับว่าได้ทำหน้าที่ของผมลุล่วงไปด้วยดี ทั้งหมดนี้ผมรู้แต่...”

นายอำเภอเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับเหงื่ออีกครั้งหนึ่ง   แล้วก็พูดต่อไปว่า

“แต่ผมไม่ได้ทำหน้าที่ของผมเลย ผมละทิ้งราษฎรผู้ซึ่งเป็นภาระและหน้าที่ของผมโดยตรง ไปทำงานอื่นเสียหมด ถึงตัวผมจะอยู่ที่อำเภอเมืองพิบูลบุรีนี้ แต่ผมก็เท่ากับนั่งทำงานอยู่ที่กระทรวงมหาดไทยที่กรุงเทพฯ   เพราะผมทำงานเพื่อตาแก่สองสามคนที่นั่งทำงานอยู่ที่นั่น และตาแก่พวกนั้นไม่เคยมาที่จังหวัดพิบูลบุรีนี้เลย

ผมเพียงแต่ทำตามคำสั่งตาแก่ที่กระทรวง    มิได้เหลียวแลราษฎรเพราะนึกเสียว่าตาแก่พวกนั้นต่างหากที่แกเลื่อนตำแหน่งขึ้นเงินเดือนให้ผมได้ทางกรุงเทพฯ สั่งให้ผมทำอะไรผมก็ทำตาม มิได้เหลียวแลว่า สิ่งที่ผมทำนั้นจะกระทบกระเทือนถึงราษฎรอย่างไรบ้าง
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 34  เมื่อ 02 มิ.ย. 11, 20:25

นอกจากนั้นทางกรุงเทพฯ ฝากงานอะไรให้ผมทำเป็นต้นว่างานเกษตร งานชลประทาน งานกรมการข้าว งานสถิติ งานวัฒนธรรม ตลอดจนขายหนังสือพิมพ์ให้รัฐบาล ผมก็เที่ยวรับเอางานนั้นมาหมด ทั้งที่รู้ว่าผมไม่สามารถทำได้ทั่วถึง ผมมัวทำราชการเสียจนลืมราษฎร

คนตายคนนี้ผมเพิ่งทราบว่าเขาอยู่ที่อำเภอนี้มาตั้งแต่เกิดจนตาย   แต่ผมก็เพิ่งเห็นหน้าเขาวันนี้เอง    เมื่อเขาเป็นศพไปแล้ว ถ้าหากผมเคยเห็นหน้าเขามาก่อนก็แปลว่า ผมรู้จักกับราษฎรอำเภอนี้ และถ้าเป็นดังนั้น เขาก็คงไม่ตาย แต่ผมไม่รู้จักเขาเลย เขาจึงต้องมานอนตายเพราะอดอาหาร

ครับ...ผมยอมรับสารภาพ...ผมเองเป็นตัวการฆ่าคนๆ นี้ให้ตายอย่างจงใจเจตนา เพราะผมละเลยหน้าที่ของผมทั้งที่รู้หน้าที่อยู่แล้ว”

พอนายอำเภอเมืองพูดจบ หมาตำรวจก็ออกเดินสูดกลิ่น ออกจากกลุ่มคนที่มาชุมนุมกันอยู่ และดึงนายสิบตำรวจผู้ถือสายจูง ลากถูลู่ถูกังตรงไปยังโรงพักตำรวจภูธร จังหวัดพิบูลบุรี

พอถึงที่นั่น หมาก็เดินตรงไปยังที่กองกำกับการตำรวจ ดมกลิ่นไปถึงผู้กำกับการตำรวจผู้ซึ่งนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะ แล้วหมาตำรวจก็นั่งลงจ้องหน้าผู้กำกับฯ กระดิกหางเร็วและแรง เคาะกระดานดังโปกๆ ด้วยความดีใจ แล้วก็เห่าขึ้นสี่ครั้ง

ผู้กำกับฯ ฟุบหน้าลงกับโต๊ะสักครู่หนึ่ง แล้วจึงลุกขึ้นยืนเอามือปัดงานที่วางอยู่บนโต๊ะร่วงลงกับพื้น พลางกล่าวกับนายสิบตำรวจสุนัขผู้ยืนระวังตรงอยู่ต่อหน้านั้นว่า...
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 35  เมื่อ 02 มิ.ย. 11, 20:26

“ถูกของหมามันแล้ว! อั๊วเองคือผู้ร้ายฆ่าคนตายที่ศพนอนอยู่ศาลากลาง

อั๊วไม่มีสิทธิที่จะนั่งโต๊ะนี้ทำงานในห้องนี้อีกต่อไป อั๊วจะเขียนใบลาออกวันนี้ และที่ที่อั๊วควรจะอยู่คือกรงขังผู้ต้องหาบนโรงพัก

อั๊วเป็นผู้กำกับฯ มีหน้าที่ปราบปรามโจรผู้ร้ายและรักษาความสงบของราษฎรจังหวัดนี้ โดยตรง แต่อั๊วมันเที่ยวจับแต่ของที่มีรางวัลงามๆ เสียหมดเป็นต้นว่า ฝิ่นเถื่อนเหล้าเถื่อน และของหนีภาษี จับทีไรอั๊วก็ได้เงินเข้ากระเป๋าบานไป เพราะพวกค้าของเถื่อนนั้นมันค้าแข่งกับรัฐบาล ใครจับได้จึงให้รางวัลอย่างงาม

ส่วนพวกโจรผู้ร้ายที่จะปล้นอาชีพ ปล้นทรัพย์ ปล้นชีวิตจิตใจราษฎรอยู่ทั้งกลางวันกลางคืนนั้น ถึงจะจับได้ก็ไม่มีใครตกรางวัลให้ ตรงกันข้ามถ้าหากอั๊วไม่จับเสียอีก อั๊วกลับได้สตางค์ใช้ฟรีๆ จนเดี๋ยวนี้อั๊วมีรถเก๋งขี่ มีตึกสี่ชั้นปลูกอยู่ในตลาด ลูกเมียอั๊วก็ทองแดงทั้งตัวไปเพราะอั๊วเห็นแก่เงินทองทรัพย์สิน อั๊วจึงไม่จับผู้ร้ายที่ควรจะจับ จับแต่ผู้ร้ายที่ทำให้อั๊วร่ำรวยขึ้น หรือมิฉะนั้นก็ควงปืนดวลกับผู้ร้ายที่มันจะทำให้อั๊วได้มีชื่อเสียง มีรูปลงหนังสือพิมพ์   เผื่อว่ายังไงอั๊วจะได้มีแหวนอัศวินใส่กับเขาบ้าง

ผลของการกระทำทั้งหมดนี้ทำให้ราษฎรถูกปล้นอยู่ทุกนาที ทั้งกลางวันกลางคืน ใครทนไม่ไหวก็ตายไปก่อน

อั๊วเองเป็นคนร้าย อั๊วยอมรับสารภาพ หมาตำรวจมันชี้คนร้ายถูกของมันแล้ว”

พอผู้กำกับฯ พูดจบ หมาตำรวจก็ออกดมกลิ่นจากห้องผู้กำกับฯ  และดึงนายสิบตำรวจสุนัขตรงแน่วไปที่ศาลากลาง ผู้กำกับฯก็ออกวิ่งตามมาด้วยตอนนั้นเป็นเวลาเย็นใกล้ค่ำ ศาลากลางปิดเสียแล้ว หมาตำรวจก็บ่ายหน้าดมกลิ่นไปยังจวนผู้ว่าราชการฯ พอถึงจวน หมาตำรวจก็วิ่งขึ้นไปชั้นบน และเข้าไปในห้องนั่งเล่นของผู้ว่าราชการจังหวัดพิบูลบุรี เห็นผู้ว่าราชการนั่งอยู่   หมาตำรวจก็เข้าไปนั่งจ้องหน้ากระดิกหางดีใจอย่างมากมาย แล้วก็เห่าขึ้นห้าครั้ง

ผู้ว่าราชการฯ ตกตะลึงจ้องหน้าหมาอยู่นาน ครั้นแล้วก็ยกมือขึ้นปิดหน้า ร้องไห้สะอึกสะอื้น พูดว่า
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 36  เมื่อ 02 มิ.ย. 11, 20:27

“จับผมไปโรงพักเถิดท่านผู้กำกับฯ ผมเองเป็นคนร้าย ผมเองเป็นคนฆ่าคนตายที่หน้าศาลากลางในจังหวัดของผม ผมเป็นผู้รับผิดชอบในทรัพย์สินและความเป็นอยู่ของราษฎรทั้งจังหวัด แต่ผมกลับไม่ถือว่าความรับผิดชอบนั้นเป็นของสำคัญ เอาตัวเองซึ่งเป็นถึงผู้ว่าราชการจังหวัดไปรับผิดชอบต่อนักการเมืองขี้ปะติ๋วสองสามคน

ผมปกครองจังหวัดนี้โดยไม่คำนึงถึงทุกข์สุข หรือความอดอยากของราษฎร คำนึงถึงแต่ว่า...ทำอย่างไรจะทำให้พรรคนักการเมืองที่เป็นนายผมเลือกตั้งได้ทุกครั้งไป

เวลาส่วนใหญ่ของผมต้องใช้ไปในการเดินทางระหว่างกรุงเทพฯกับพิบูลบุรี เพื่อไปรับคำสั่งจากนักการเมืองบ่อยๆ และสิ่งที่ผมตั้งใจทำก็คือทำนุบำรุงสมาคมหญิงที่เมียผมเป็นนายก เพราะสมาคมนั้นเป็นสะพานที่จะให้เมียผมเข้าถึงเมียนักการเมืองที่มีอำนาจเพื่อหาดีให้ตัวผมต่อไป...

จะพูดกันไปทำไม มีผมเป็นเจ้าเมือง แล้วมีคนอดข้าวมานอนตายอยู่หน้าศาลากลาง ใครจะเป็นผู้ร้ายฆ่าคนตายได้นอกจากผม ขอเวลาผมเขียนใบลาออกสักเล็กน้อยเถิดท่านผู้กำกับฯ และขอให้ผมได้สั่งลูกสั่งเมียหน่อย แล้วผมจะไปมอบตัวให้แก่ท่านผู้กำกับฯ ที่โรงพัก ไม่หนีไปไหน”

ผู้ว่าราชการฯพูดจบแล้ว ก็ซบหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้นต่อไป ผู้กำกับฯก็พาหมาตำรวจและนายสิบตำรวจสุนัขกลับมาโรงพัก แล้วหาที่ให้นอนค้างเพราะดึกแล้ว  จะส่งกลับมากรุงเทพฯก็ไม่ทัน

ผู้กำกับนอนไม่หลับทั้งคืน พอเช้าตรู่ก็รีบไปโรงพักเห็นนายสิบตำรวจหนุ่มนั่งร้องไห้อยู่ ผู้กำกับก็ตรงเข้าไปถามว่า

“หมู่เป็นอะไรไป โดนหมากัดเข้าอีกคนรึ!”
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 37  เมื่อ 02 มิ.ย. 11, 20:30

นายสิบลุกขึ้นยืนชิดเท้า แล้วตอบว่า

“เปล่า...เปล่าครับ...แต่หมา...หมาผมหลุดหนีไปเมื่อตอนดึกนี้ครับผมวิทยุถามรถกองปราบเขาดู เขาว่าเห็นมันวิ่งเข้ากรุงเทพฯ ตอนเช้ามืดตามกลิ่นเข้าไปครับ”

“ตายหะ...!” ผู้กำกับออกอุทาน “ป่านนี้มันมิดมกลิ่นเข้าไปถึงทำเนียบแล้วหรือวะ!”

“ก็นั่นนะซิครับ!” นายสิบตำรวจพูดแล้วก็ร้องไห้น้ำตาไหลอีกพรูใหญ่

ผู้กำกับยกมือขึ้นเกาหัว และมองดูนายสิบตำรวจอย่างงงๆ แล้วถามว่า “ร้องไห้ทำไมนะหมู่ กลัวท่านสารภาพแล้วลาออกรึ?”

“เปล่า... เปล่าครับ” นายสิบตำรวจตอบระหว่างเสียงสะอื้น“หมาตัวนี้ผมเลี้ยงมาตั้งแต่มันเป็นลูกหมาครับ มันเป็นหมาตำรวจที่ดีที่สุด

แต่...แต่หมาตำรวจนั้น ถ้าลงดมกลิ่นไปจนถึงตัวผู้ร้ายแล้ว ปรากฏว่าผิดตัว มันก็จะหมดความเชื่อถือตัวของมันเอง ใช้ดมไม่ได้อีกต่อไป...”

“เอ...แล้วยังไง อั๊วไม่เข้าใจเลยว่ะ?” ผู้กำกับพูดขึ้น

“ผมกลัวมันจะเข้าไปในทำเนียบครับ!”

“ก็นั่นน่ะซี อั๊วถึงได้ถามว่าลื้อกลัวท่านลาออกรึ!”

“เปล่าครับ” นายสิบตำรวจตอบ

“ถึงยังไงท่านก็ไม่ลาออก และไม่ยอมสารภาพรับผิด แล้วหมาผมมันก็จะเสียหมาไปเลย ผมเสียดายหมาครับ”

                                                     *******************
หมายเหตุ  เรื่องนี้รวมอยู่ในหนังสือชุดรวมเรื่องสั้น "เพื่อนนอน" เมื่อกว่า 50 ปีก่อน   แต่เนื้อหาของมัน อ่านในพ.ศ. 2554  ก็ยังสนุกและแสบๆคันๆอยู่ดี 
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 38  เมื่อ 07 มิ.ย. 11, 12:50

นอกจากเรื่องสั้น  ม.ร.ว. คึกฤทธิ์เขียนถึงสารคดีไว้หลายเล่ม    โดยทั่วๆไป สารคดีมักเป็นเรื่องที่อ่านเอาสาระ  ไม่ได้เอาสนุก  ถือกันว่าเป็นเรื่องเคร่งเครียดเอาจริงเอาจัง    ยิ่งเป็นเรื่องหัวข้อหนักๆ อย่างประวัติศาสตร์ หรือศาสนา ด้วยแล้ว   ยังไม่ทันเปิดอ่าน หลายคนก็เตรียมตัวง่วงได้เลย
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์เป็นนักเขียนน้อยคน ที่สามารถทำให้สารคดีกลายเป็นเรื่องชวนสนุก กระฉับกระเฉง มีชีวิตชีวาไม่น่าเบื่อ      แม้เป็นเรื่องที่เกิดมาหลายพันปีแล้วอย่างเรื่องศาสนาในอินเดีย   ท่านก็เขียนได้สนุก   เรื่องที่ตายไปแล้วร่วมสองร้อยปีอย่างเรื่องการสิ้นสุดของราชวงศ์พม่า ท่านก็เขียนได้มีชีวิตชีวา ราวกับบุคคลในประวัติศาสตร์นั้นจะฟื้นขึ้นมา แล้วหายใจให้เห็นอยู่ตรงหน้า  ถ่ายทอดอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง  ออกมาให้เข้าใจถึงวิถีชีวิตของพวกเขา
งานของม.ร.ว. คึกฤทธิ์มีลักษณะเฉพาะตัวอย่างหนึ่ง คือเวลาเขียน ท่านมีน้ำเสียงให้รู้ว่าไม่ได้บังคับให้เชื่อ    คำเหล่านี้ไม่ได้บอกไว้ตรงๆ  แต่แฝงไว้ในข้อสันนิษฐานบ้าง   ในความเห็นส่วนตัวบ้าง     เหมือนส่งสารให้รู้ว่า...ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร  อ่านเป็นความรู้  แล้วไปคิดต่อเอาเองก็แล้วกัน
ข้อนี้ เป็นฝีมือที่อ่านแล้วเหมือนเขียนได้ง่ายๆ  แต่เอาเข้าจริง  ยากที่จะเลียนแบบ     เพราะนักเขียนหลายคนที่ีรู้ว่าตัวเองกำลังเขียนเรื่องจริง เป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงในอดีต  เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคนจริงๆ  มักจะน้ำเสียงขึงขังโดยไม่รู้ตัว   เหมือนกำชับอยู่ในทีว่า  นี่..กำลังพูดเรื่องจริงนะ  ไม่เชื่อไม่ได้นะ   ถ้าไม่เชื่อแปลว่าโง่  เข้าไม่ถึงเรื่อง     คนไทยที่ส่วนใหญ่ไม่ชอบถูกบังคับก็เลยไม่ต่อล้อต่อเถียงด้วย  แต่ปิดหนังสือไม่อ่านอีกต่อไป

ตอนนี้กำลังอ่านหนังสือของม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ๒ เรื่องพร้อมกันคือ พม่าเสียเมือง กับ ธรรมแห่งอริยะ    เรื่องหลังนี้เป็นเรื่องศาสนาในอินเดียสมัยพุทธกาล อ่านสนุกด้วยฝีมือการประพันธ์ของท่าน   แต่ยาวและย่อยออกมาได้ยาก     เลยคิดว่าจะเอาเรื่องแรกมาเล่าให้ฟังก่อนดีกว่า คือพม่าเสียเมือง  เป็นเรื่องของพระเจ้าแผ่นดินองค์สุดท้ายของพม่า พระนามว่าพระเจ้าสีป่อ   เคยอ่านที่คนอื่นเขียนไว้ เรียกว่าพระเจ้าธีบอ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 39  เมื่อ 07 มิ.ย. 11, 16:08

ขอนำพระรูปพระเจ้าสีป่อ หรือพระเจ้าธีบอ มาประเดิมไว้ก่อนค่ะ


บันทึกการเข้า
:D :D
นิลพัท
*******
ตอบ: 2333


ความคิดเห็นที่ 40  เมื่อ 07 มิ.ย. 11, 16:14

ส่งภาพมาร่วมยั่วน้ำลายคนอ่าน อีกภาพค่ะ.... ยิงฟันยิ้ม
พระเจ้าสีป่อกับพระนางศุภยลัต


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 41  เมื่อ 07 มิ.ย. 11, 16:20

ตามมาด้วยพระรูปพระเจ้าสีป่อ กับพระมเหสีทั้ง 2 พระองค์ คือพระนางศุภยลัต หรือศุภยาลัต   ผู้เป็นสาเหตุสำคัญอีกอย่างหนึ่งของการสิ้นราชวงศ์    (ประทับตรงกลาง) ส่วนซ้ายสุดคือพระนางศุภยาคยี

ถ้าสังเกตจะเห็นว่าพระราชอาสน์สร้างขึ้น ไม่ยาวมากนัก   มีเนื้อที่พอดีสำหรับผู้นั่ง  2 คน มีที่พอวางเท้าขณะนั่งพับเพียบได้สบายๆ  หันเท้าออกไปคนละข้าง   เพื่อจะไม่เอาเท้ามายันสะโพกอีกฝ่าย  แต่ถ้า ๓ คนก็เบียดกันแน่นพระราชอาสน์     คนกลางต้องนั่งพับขาราบจึงจะมีเนื้อที่พอนั่งได้ หรือไม่ก็นั่งพับเพียบหักแข้งขาให้ไปอยู่ข้างหลัง
อีกอย่างคือ ถ้านั่งกัน  3 องค์  ก็สมควรที่พระเจ้าสีป่อจะนั่งกลาง และมีพระมเหสีอยู่คนละข้าง  ถ่ายรูปออกมาจึงจะสมดุลย์ ไม่ใช่พระเจ้าแผ่นดินนั่งริมขวา  และพระมเหสีองค์หนึ่งกลับมานั่งอยู่ตรงกลาง  มีพระเจ้าแผ่นดินนั่งขนาบข้าง เช่นเดียวกับพระมเหสีทางซ้ายสุด  ดูประดักประเดิดชอบกล

แค่เห็นก็รู้แล้วว่ามีเบื้องหลัง ยิงฟันยิ้ม


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 42  เมื่อ 07 มิ.ย. 11, 17:55

ก่อนจะเข้าเรื่องพม่าเสียเมือง เพื่อให้เห็นฝีมือการประพันธ์ของม.ร.ว. คึกฤทธิ์    ขอปูพื้นพงศาวดารพม่านำทางก่อนสักเล็กน้อย

ราชวงศ์สุดท้ายของพม่า มีชื่อว่าราชวงศ์อลองพญา หรือราชวงศ์คองบอง    ปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์ทรงพระนามว่าพระเจ้าอลองพญา  ชื่อนี้น่าจะเคยผ่านหูคนที่เรียนประวัติศาสตร์ไทย  เพราะพระองค์เป็นทัพพม่าทัพแรก ที่ยกมาตีกรุงศรีอยุธยาในสมัยปลายอยุธยา   หลังจากอยุธยาว่างเว้นจากศึกพม่ามานานนับร้อยปี     
พระเจ้าอลองพญาตีเมืองไม่สำเร็จ กลับถูกปืนจากฝ่ายไทย จนสิ้นพระชนม์ระหว่างถอยทัพกลับนั่นเอง      แต่มังระพระราชโอรสก็สานต่อสงครามที่พระบิดาทำค้างไว้   ด้วยการส่งทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาอีกครั้ง   คราวนี้สำเร็จ  กรุงศรีอยุธยาแตกเมื่อพ.ศ. 2310 หลังจากพม่าล้อมอยู่ 3 ปี

ราชวงศ์อลองพญาครองราชย์สืบต่อกันมาถึงพระเจ้าปดุง  กษัตริย์องค์สุดท้ายที่ทำสงครามกับไทยในสมัยรัชกาลที่ 1   คือศึก 9 ทัพ  ใครอยู่กาญจนบุรีคงจำสมรภูมิรบที่ลาดหญ้าได้   ส่วนทางใต้ก็เกิดวีรกรรมของวีรสตรีเมืองถลาง  ท้าวเทพกระษัตรีกับท้าวศรีสุนทร   หลังจากพระเจ้าปดุงตีสยามไม่สำเร็จ     ทางฝ่ายพม่าก็ไม่ได้ทำศึกกับไทยอีก  เพราะมีข้าศึกที่ใหญ่กว่าเข้ามาให้พะวักพะวนกว่า ได้แก่อังกฤษเจ้าอาณานิคม ซึ่งกุมอำนาจเหนืออินเดียไว้ได้แล้ว

ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ เริ่มเรื่องที่พระเจ้าแผ่นดินพม่า พระองค์รองสุดท้าย ได้แก่พระเจ้ามินดง   มาถึงยุคนี้ พม่าทำสงครามแพ้อังกฤษไป 2 ครั้งแล้ว  อาณาจักรส่วนหนึ่งถูกเฉือนไปอยู่ใต้อำนาจของอังกฤษ   แต่พระเจ้ามินดงก็ยังถือพระองค์ว่าเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ผู้มีอำนาจสูงสุดในราชอาณาจักรอยู่ดี   
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 43  เมื่อ 08 มิ.ย. 11, 20:00

เรื่องพม่าเสียเมือง  ม.ร.ว. คึกฤทธิ์เขียนขึ้นจากบันทึกและเอกสารของฝรั่ง   ท่านไม่ได้บอกว่าเป็นหนังสือของใคร    ดังนั้นมุมมองพม่าในเรื่องนี้จึงเป็นการมองจากสายตาฝรั่งอังกฤษ  และถ่ายทอดมาด้วยฝีมือคนไทยคือตัวท่านอีกทีหนึ่ง

ท่านเริ่มเข้าสู่เรื่องหลังจากปูพื้นมาพักหนึ่งแล้ว    ก็จะขอคัดสำนวนโวหารของท่านผู้เขียนมาให้เห็นว่า นี่ละคือฝีมือนักประพันธ์  ไม่ใช่นักเล่าเรื่องพงศาวดาร

หตุการณ์ตอนนี้เกิดขึ้นเมื่อพ.ศง 2395    พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นเถลิงถว้ลย์ราชสมบัติ ณ กรุงเทพพระมหานครได้หนึ่งปี
วัดสุทัศน์สร้างเสร็จแล้ว     พระปรางค์วัดอรุณสร้างเสร็จแล้ว   ภูเขาทองซึ่งตั้งใจจะสร้างให้เป็นพระเจดีย์ใหญ่พังลงมาในขณะที่กำลังสร้าง    สุนทรภู่กำลังเขียนเรื่องพระอภัยมณี   คนในสกุลบุนนาคเป็นเสนาบดีกันชุกชุม    อังกฤษกับไทยมีทางพระราชไมตรีต่อกันเป็นอันดี   ทูตอังกฤษเป็นการะฝัด  ซีจัมปลุ๊ค และหันแตรบารนีเข้าเฝ้าฯ ถวายพระราชสาส์นไปแล้วตั้งแต่แผ่นดินก่อนๆ



กระทู้นี้เขียนถึงความเป็นนักประพันธ์ของม.ร.ว.คึกฤทธิ์  ไม่ได้เขียนถึงพงศาวดารพม่า  จึงจะขอแทรกเป็นระยะ ให้เห็นว่าลีลาของท่านเป็นอย่างไรแบบไหน     ข้างบนที่พิมพ์ด้วยตัวสีน้ำเงินก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง ที่เราจะเห็นว่า ท่านเขียนอย่างนักประพันธ์ ไม่ใช่นักวิชาการ 
ข้อนี้ก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของพม่าเสียเมือง  ให้รสชาติที่คนอ่านติดอกติดใจ    ถ้าใครอยากเขียนหนังสือให้คนติดใจก็พัฒนาฝีมือการประพันธ์ของตัวเองให้ได้บ้าง 
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 44  เมื่อ 10 มิ.ย. 11, 11:59

พระเจ้ามินดุง ( Mindon)  ขึ้นครองราชย์ด้วยวิธีรัฐประหารพระเจ้าพะคันหมิ่น (Pagan) ผู้เป็นพระเชษฐา    เจ้าชายมินดงกับพระอนุชาอีกองค์หนึ่ง ร่วมมือกันล่มบัลลังก์ได้สำเร็จ      หนังสือพม่าเสียเมืองมิได้มีน้ำเสียงสงสารพระเจ้าพะคันหมิ่น   เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าแผ่นดินที่โหดร้าย สั่งฆ่าคนไปมากมายเพื่อริบทรัพย์มาเข้าท้องพระคลัง     
เมื่อพระเจ้ามินดุงยึดอำนาจมาได้  ก็มิได้ประหารพระเชษฐา แต่เชิญเสด็จไปไว้ในวังแห่งหนึ่ง  เปิดโอกาสให้เสด็จออกว่าราชการกับข้าราชบริพารเก่าๆแก่ๆ ไปตามเรื่อง เพื่อแก้เหงา   แต่ไม่ได้มีโอกาสมาเกี่ยวข้องกับราชการงานเมืองอีก

ในรัชกาลพระเจ้ามินดุง  พม่าทำสงครามกับอังกฤษไปแล้ว 2 ครั้ง  อาณาเขตทางใต้ถูกเฉือนไปอยู่ในความครอบครองของอังกฤษ  แต่พระเจ้ามินดุงก็ปกครองดินแดนที่เหลืออย่างไม่รู้ไม่ชี้ว่า ถูกลิดรอนอำนาจจากเจ้าอาณานิคมไปครึ่งหนึ่งแล้ว   ยังคงถือว่าพม่ามีอำนาจและเกียรติศักดิ์เหมือนเมื่อหลายร้อยปีก่อน อย่างไรก็อย่างนั้น  ขนบธรรมเนียมประเพณีและความคิดอ่านต่างๆก็ยังยึดถือตามแบบโบราณ ไม่เปลี่ยนแปลง

ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ก็ชี้ประเด็นนี้  ด้วยสำนวนโวหารคมคายอย่างนักประพันธ์ว่า

ใครจะตาบอดมืดมิดเท่ากับคนที่ไม่อยากรู้นั้น  เห็นจะไม่มีอีกแล้ว

บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 [3] 4 5 6
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.051 วินาที กับ 19 คำสั่ง