เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 23
  พิมพ์  
อ่าน: 164865 ภาพพระราชพงศาวดาร สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 30  เมื่อ 16 เม.ย. 11, 09:29

เมื่อก่อนเป็นคนบ้าปืน เดี๋ยวนี้แม้จะเลิกบ้าแล้วแต่ผมพอจะมีความจำอยู่ ขอตอบคุณหนุ่มสยามก็แล้วกัน

อ้างถึง
ปืนลักษณะแบบนี้ มีการเล็งระยะอย่างไร ใช้ศูนย์หน้า ตรงศูนย์หลัง หรือไม่
ศูนย์หน้าอาจจะมี แต่ศูนย์หลังคงไม่มีหรอกครับ ปืนลูกซองสมัยนี้ยังไม่มีแม้กระทั่งศูนย์หน้า ถ้ามีก็มีเป็นตุ่มเล็กๆพอสังเกตุแนวยิง

อ้างถึง
ความแม่นของปืน ขึ้นกับอะไรบ้าง ด้วยเคยยิงปืนมาบ้าง ทำให้รู้ว่า "เป้า" นั้นยิ่งไกล ยิ่งยิงยาก เนื่องจากเป้านั้นจะเล็กลงไปเรื่อยๆ โอกาสพลาดได้มาก
นอกจากฝีมือและประสพการณ์ของผู้ยิงแล้ว เป้าหากไกลมากก็ต้องเพิ่มดินปืนตามสัดส่วน แต่ก็ต้องรู้ต้องชำนาญมาก สุ่มสี่สุ่มห้าพอยิงแล้วลำกล้องแตก คนยิงก็จะเป็นผู้ตายเสียเอง
อย่างที่ท่านมุ้ยว่า ระยะยิงกับความกว้างของแม่น้ำสะโตงไม่ใช่ปัญหา คือกระสุนนั้นถึงแน่ แต่ต้องเสียระดับตามแรงดึงดูดของโลก ผู้ยิงจะต้องแก้วิถีกระสุนโดยต้องเล็งเป็นวิถีโค้ง (แม้ปืนสมัยนี้ก็ต้องทำดังว่าเช่นกัน) เมื่อไม่มีศูนย์หลัง ก็ขึ้นกับความเก่งของคนยิงครึ่งนึก โชคชะตาอีกครึ่งนึง

อ้างถึง
ปืนรุ่นนี้มีการถีบสะท้อนสูงหรือไม่
สูงแน่นอนครับ
ปืนสมัยใหม่มีกลไกระบายแก๊สเพื่อลดแรงสะท้อนถอยหลังลงไป แต่ปืนสมัยโบราณไม่มี กระบอกยิ่งยาวยิ่งถีบอร่อย คนไม่ชำนาญแล้วไปนั่งหลังช้างยิงมีหวังถูกปืนถีบตกลงมาได้เหมือนกัน
บันทึกการเข้า
siamese
หนุมาน
********
ตอบ: 7165


หนุ่มรัตนะกับภูเขาทอง


ความคิดเห็นที่ 31  เมื่อ 16 เม.ย. 11, 09:46

^
ขอบคุณครับ ปีนมีแรงสะท้อนมาก  ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม แต่อัตราการบรรจุดินปืนก็อันตรายไม่น้อยนะครับ อ่านดูแล้วต้องใช้ทักษะกับการใช้ปืนมาก ๆ เลย

๑. ปืนคาบศิลาน่าจะมีสัก ๒ กระบอกไว้ยิงเสร็จแล้ว ส่งให้เจ้าพนักงานบรรจุดินดำ บรรจุกระสุนสำรองไว้ มากกว่าจะมีอยู่กระบอกเดียวนะครับ

๒. เคยทราบมาว่า กระสุนเหล็กนั้น จะมีลักษระการควงสว่าน ซึ่งเป็นหลักธรรมชาติของกระสุน จะมีการหมุนเกลียวแบบควงสว่านเพื่อแหวกอากาศ ทำให้กระสุนที่มีระยะไกลๆขึ้น เกิดการควงสว่านมากขึ้น ทำให้ระยะเป้าผิดพลาดได้ง่าย ดังนั้นปืนคาบศิลาที่มีอานุภาพสูง จึงต้องทำให้ปากกระบอกปืนยาวๆ ไว้ เพื่อบังคับให้กระสุนที่ออกจากปากกระบอกปืนมีความนิ่ง ไม่ควงสว่าน จริงไหมครับ  ฮืม
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 32  เมื่อ 16 เม.ย. 11, 09:56

อ้างถึง
ปืนคาบศิลาน่าจะมีสัก ๒ กระบอกไว้ยิงเสร็จแล้ว ส่งให้เจ้าพนักงานบรรจุดินดำ บรรจุกระสุนสำรองไว้ มากกว่าจะมีอยู่กระบอกเดียวนะครับ

ผมน่ะคิดอย่างเดียวกันเลย พระนเรศวรคงต้องมีคนคอยบรรจุกระสุนถวาย ส่งให้พระองค์ยิงอย่างเดียว

อ้างถึง
เคยทราบมาว่า กระสุนเหล็กนั้น จะมีลักษณะการควงสว่าน ซึ่งเป็นหลักธรรมชาติของกระสุน จะมีการหมุนเกลียวแบบควงสว่านเพื่อแหวกอากาศ ทำให้กระสุนที่มีระยะไกลๆขึ้น เกิดการควงสว่านมากขึ้น ทำให้ระยะเป้าผิดพลาดได้ง่าย ดังนั้นปืนคาบศิลาที่มีอานุภาพสูง จึงต้องทำให้ปากกระบอกปืนยาวๆ ไว้ เพื่อบังคับให้กระสุนที่ออกจากปากกระบอกปืนมีความนิ่ง ไม่ควงสว่าน จริงไหมครับ
ไม่ใช่อานุภาพสูงด้วยการแรงขึ้นอย่างเดียวนะครับ แต่ให้แม่นขึ้น โดยธรรมชาติปืนกระบอกยาวจะถีบ กระบอกสั้นจะสะบัด ปืนดีต้องมีอัตราส่วนความยาวของกระบอก กับความแรง(ดินขับ)ของกระสุนสมดุลย์กันครับ
บันทึกการเข้า
siamese
หนุมาน
********
ตอบ: 7165


หนุ่มรัตนะกับภูเขาทอง


ความคิดเห็นที่ 33  เมื่อ 16 เม.ย. 11, 10:18

ขออนุญาตสงสัยต่อ  ฮืม

๑. เมื่อเรามีเครื่องอาวุธแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ ดินดำ ชุดไฟ เชือกไฟ กระสุน

๑.๑ ดินดำ คนโบราณรู้จักการทำดินประสิวนานแล้ว ด้วยทำจาก มูลค้างคาว ผสม ดินประสิวและถ่าน ผสมกันตามอัตราส่วนบรรจุใส่ถุงหนังไว้เพื่อบรรจุ

๑.๒ ชุดไฟ คงหมายถึง อุปกรณ์ในการทำให้เกิดไฟ คงเป็นหินเหล็กไฟ ที่ขบกระแทกเพื่อให้เกิดเปลวไฟ

๑.๓ เชื่อกไฟ อาจจะเป็น ด้ายฝ้ายหรือไหม ชุบน้ำมันเป็นเชื้อไฟ

๑.๔ กระสุน สงสัยเรื่องการทำเม็ดกระสุน ต้องแน่นอนทำมาจากโลหะ ไม่ทราบว่าพอจะมีวิธีการสร้างกระสุนหรือไม่ครับ เท่าที่ผมทราบมาอย่างโบราณได้แค่การสร้างเม็ดกริ่งสำหรับบรรจุในพระกริ่ง คือ การเทน้ำโลหะผสม (โลหะประเภทนวโลหะ) เทใส่กะบะทราย ทำให้น้ำโลหะแตกเป็นเม็ดๆ กลมๆ ขนาดต่างๆกัน เมื่อเย็นตัวจะเป็นเม็ดกลมเล็กๆ ไม่รู้ว่าการผลิตกระสุนจะใช้วิธีแบบนี้หรือไม่  ฮืม
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 34  เมื่อ 16 เม.ย. 11, 11:26

ข้อสงสัยของของคุณหนุ่มก็ดูเหมือนจะมีคำตอบในตัวอยู่แล้ว มาดูนี่ดีกว่าครับ

เมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงประกาศอิสรภาพ เมื่อวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 6 ปีวอก หรือวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ.2127 นั้น ตรงกับค.ศ. 1584 ในยุโรปเองยังไม่ได้ใช้ปืนไฟเป็นอาวุธหลักเลย ทหารยังฟาดฟันกันด้วยหอกดาบ ปืนไฟดังที่ใช้ในภาพเป็นสงครามของพวกไอริสในต้นคตวรรษที่๑๖ หลังเหตุการณ์ที่ทรงยิงแม่ทัพพม่าตายนับสิบๆปีด้วยซ้ำ ปืนไฟก็ยังดูโบราณกว่าพระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง ไม่ว่าจะเป็นองค์ที่สร้างขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่๑ หรือในจินตนาการของท่านมุ้ยที่ปรากฏในภาพยนต์



บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 35  เมื่อ 16 เม.ย. 11, 11:31

แต่พระนเรศวรทรงเกราะเหล็กเหมือนนายทหารม้าไอริสด้วยนะเออ เดี๋ยวหมดเรื่องปืนแล้วคงต้องขอสัมนากันหน่อย
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 36  เมื่อ 16 เม.ย. 11, 11:40

ปืนที่พงศาวดารไทยเรียกรวมกันว่าปืนไฟนี้ ฝรั่งเรียก Arquebus (อาร์คีบัส) รากศัพท์มีความหมายว่าตะขอ เพราะปืนมีด้ามงอๆ บรรจุดินปืนยิงลูกกระสุนกลมๆได้วิถีที่ไกลกว่าลูกธนูหรือหน้าไม้ แต่ความแม่นยำสู้อาวุธสั้งสองอย่างนั้นไม่ได้ โดยเฉพาะถ้าดวลกันระหว่างผู้ชำนาญกับผู้ชำนาญด้วยกัน


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 37  เมื่อ 16 เม.ย. 11, 11:59

เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า จีนเป็นชาติแรกในโลกที่ทำดินปืนได้ และได้พัฒนาเป็นอาวุธมหาประลัยได้ก่อนยุโรป ปืนไฟได้มีบทบาทในสงครามภายในของจีนมาช้านานตั้งแต่ศตวรรษที่13 ครั้นเมื่อปลายราชวงศ์หมิงราวศตวรรษที่ 14 กองทัพจีนได้ใช้กลยุทธ์ขจัดข้อด้อยของปืนไฟในเรื่องความล่าช้าในการบรรจุกระสุนใหม่ และความไม่แม่นยำ ด้วยการเพิ่มปริมาณการยิง โดยจัดทัพแบบหน้ากระดานสามแถว ใช้ทหารปืนไฟสลับกันระดมยิงใส่ทัพช้าง ในสงครามกับพม่าที่ชายแดนจนยับเยินไปทั้งสัตว์ทั้งคน(น่าเอน็จอนาถมาก) และได้ชัยชนะอย่างง่ายดาย


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 38  เมื่อ 16 เม.ย. 11, 12:39

ตามพงศาวดารนั้น ชาติที่นำปืนไฟมาขายให้ไทยคือพวกฝรั่งพุทธเกศ หรือปอร์ตุเกต คนไทยจ้างฝรั่งแม่นปืนพวกนี้ไว้หลายคน หน้าที่หลักยามปลอดสงครามคือเป็นทหารรักษาพระองค์ สมัยที่ไว้ใจใครไม่ค่อยจะได้ ใช้คนต่างชาติในหน้าที่นี้จะดีกว่าใช้คนไทยด้วยกัน บางทีดูหน้าไม่รู้ใจ

ทหารไทยที่จะได้รับการวางพระทัยจากพระเจ้าแผ่นดินให้มีอาวุธร้ายแรงได้ คงจำนวนจำกัดมาก จะมีเป็นกองทัพนั้น สมัยกรุงศรีอยุธยาที่เผลอเมื่อไรเป็นเกิดกบฏ คงยากที่จะให้มีได้

ช่วงแผ่นดินพระเจ้าจักรพรรดิ์ ในปีพ.ศ.2086 พ่อค้าชาวปอร์ตุเกศได้ขายปืนอาร์คีบัสให้ญี่ปุ่นไปจำนวนหนึ่ง ซึ่งไม่นานญี่ปุ่นก็ลอกแบบปืนดังกล่าวนี้ออกมาเป็นปริมาณนับพันๆกระบอก และแพร่หลายไปในแคว้นต่างๆทั่วเกาะญี่ปุ่น สุดท้ายก็เกิดสงครามใหญ่ที่คนชาติเดียวฆ่ากันเองจนได้ การยุทธ์ที่มีชื่อว่าthe Battle of Nagashinoนั้น ปืนไฟมีบทบาทเสียจนบรรดาซามูไรถึงกับหลั่งน้ำตา ต่อจากนี้ศิลปะวิทยายุทธที่คนจะฆ่ากันอย่างเด็ดเดี่ยวกล้าหาญจะค่อยๆสูญสิ้น สยบให้แก่อำนาจการยิงของปืน

ผมเอาคลิปที่ญี่ปุ่นยิงปืนไฟโบราณด้ามขอมาให้ชมครับ  ปืนที่โปรตุเกตนำมาขายให้ไทยในสมัยพระนเรศวรส่วนหนึ่งคงเป็นแบบนี้ แต่ที่ทรงยิงข้ามแม่น้ำสะโตงคงจะเป็นอย่างล่าง


บันทึกการเข้า
katathorn
อสุรผัด
*
ตอบ: 11


"ไปกับอนาคตได้ต้องไม่ลืมอดีต"


ความคิดเห็นที่ 39  เมื่อ 16 เม.ย. 11, 18:19

ข้อสงสัยของของคุณหนุ่มก็ดูเหมือนจะมีคำตอบในตัวอยู่แล้ว มาดูนี่ดีกว่าครับ

เมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงประกาศอิสรภาพ เมื่อวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 6 ปีวอก หรือวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ.2127 นั้น ตรงกับค.ศ. 1584 ในยุโรปเองยังไม่ได้ใช้ปืนไฟเป็นอาวุธหลักเลย ทหารยังฟาดฟันกันด้วยหอกดาบ ปืนไฟดังที่ใช้ในภาพเป็นสงครามของพวกไอริสในต้นคตวรรษที่๑๖ หลังเหตุการณ์ที่ทรงยิงแม่ทัพพม่าตายนับสิบๆปีด้วยซ้ำ ปืนไฟก็ยังดูโบราณกว่าพระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง ไม่ว่าจะเป็นองค์ที่สร้างขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลที่๑ หรือในจินตนาการของท่านมุ้ยที่ปรากฏในภาพยนต์


ผมว่ามันดูออกจะคล้ายๆอุปกรณ์ดนตรีชิ้นนี้เสียมากกว่าอาวุธปืนนะครับ ตกใจ
บันทึกการเข้า

ภริยา ปรมา สขา
ภริยาเป็นเพื่อนสนิท, ภรรยาเป็นสหายอย่างยิ่ง
katathorn
อสุรผัด
*
ตอบ: 11


"ไปกับอนาคตได้ต้องไม่ลืมอดีต"


ความคิดเห็นที่ 40  เมื่อ 16 เม.ย. 11, 18:37

1 Spanish swordsman c.1520-50
2 Spanish arquebusier c.1520-40
3 Spanish pikeman c.1540

บันทึกการเข้า

ภริยา ปรมา สขา
ภริยาเป็นเพื่อนสนิท, ภรรยาเป็นสหายอย่างยิ่ง
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 41  เมื่อ 16 เม.ย. 11, 19:01

อ้างถึง
ผมว่ามันดูออกจะคล้ายๆอุปกรณ์ดนตรีชิ้นนี้เสียมากกว่าอาวุธปืนนะครับ
อ่ะ มาช่วยกันดูใหม่ครับ



บันทึกการเข้า
art47
องคต
*****
ตอบ: 739


ความคิดเห็นที่ 42  เมื่อ 16 เม.ย. 11, 19:39

อ้างถึง
ผมว่ามันดูออกจะคล้ายๆอุปกรณ์ดนตรีชิ้นนี้เสียมากกว่าอาวุธปืนนะครับ
อ่ะ มาช่วยกันดูใหม่ครับ


รูปแรกผมว่ามันเป็นดาบนะครับ ห้อยติดอยู่กับสีข้าง

ส่วนรูปที่สองนั้นที่ น่าจะเป็นปี่มากกว่า คนเป่ายังมีปี่อมอยู่ในปากเลยนะครับ
มีถุงลม มีอะไรพร้อม ไม่น่าจะเป็นปืนไฟไปได้



บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 43  เมื่อ 16 เม.ย. 11, 19:55

ถูกของคุณครับ ผมตาไม่ดีเอง
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 44  เมื่อ 16 เม.ย. 11, 20:10

เอารูปมาแก้ตัวใหม่ เป็นกองทหารอังกฤษ(บน)และทหารไอริสเหมือนกัน(ล่าง) แต่อยู่ในช่วงปลายศตวรรษที่16 หลังรัชสมัยพระนเรศวรแล้ว สังเกตุปืนไฟได้ชัด ดูเหมือนจะยังเป็นแบบอาร์คีบัสอยู่เลย



บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 23
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.045 วินาที กับ 20 คำสั่ง