จะสังเกตได้ว่า เครื่องดนตรีเขมรกับไทยช่างมีชื่อและรูปร่างคล้ายหรืออาจจะเรียกได้ว่าเหมือนกันทีเดียว
ทำไมจึงเป็นเช่นนี้น
เรื่องนี้
คุณสุจิตต์ วงษ์เทศ เขียนอธิบายไว้ในคำนำหนังสือ เครื่องดนตรีกัมพูชาโบราณ ของ ยน เคียน, แกว ฎูรีวรรณ, อี ลีณา, เมา เฬณา มหาวิทยาลัยภูมินทรวิจิตรศิลปะ กัมพูชา แปลจากต้นฉบับภาษาเขมรโดย สกลสุภา ทองน้อย จัดพิมพ์โดย วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล

ขออนุญาตสรุปความจากคำนำมาให้อ่านกันดังนี้
วัฒนธรรมดนตรีกัมพูชาและไทย มีร่วมกันมาเก่าแก่อย่างน้อยราว ๕,๐๐๐ ปีมาแล้ว นับตั้งแต่ “วัฒนธรรมไม้ไผ่” คนสุวรรณภูมิรวมถึงบรรพชนกัมพูชาและไทยรู้จักทำเครื่องดนตรีจากไม้ไผ่ เพื่อพิธีกรรมสื่อสารวิงวอนร้องขอต่ออำนาจเหนือธรรมชาติ แล้วยกย่องเป็นเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์มี “ผี” สิงอยู่ในเครื่องมือ
จนราว ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว คนสุวรรณภูมิ รวมทั้งบรรพชนกัมพูชาและไทย รู้จักถลุงโลหะด้วยความร้อน แล้วเอามาทุบตีและหล่อหลอมให้ได้รูปตามต้องการ
เครื่องดนตรีทำด้วยโลหะชุดแรกจัดอยู่ใน “วัฒนธรรมฆ้อง” เป็นโลหะผสมเรียกสัมฤทธิ์ ประกอบด้วยทองแดง + ดีบุก หรือตะกั่ว ทำเลียนแบบเครื่องดนตรีวัฒนธรรมไม้ไผ่ที่มีมาก่อน แล้วมีแบบอื่นๆด้วย เช่น ลูกกระพรวน, โปง, ฯลฯ ที่สำคัญคือ ลิ้นแคน
เสียงกังวานโลหะ เมื่อราว ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว ต้องนับเป็นเสียงใหม่, ใหญ่ยิ่ง, สิ่งศักดิ์สิทธิ์, และมหัศจรรย์ที่สุดของยุคนั้น เครื่องดนตรีโลหะจึงมีฐานะสูงมากตราบถึงทุกวันนี้ เช่น ฆ้องวง ถือเป็น “ครูใหญ” ของวงปี่พาทย์ เป็นต้น
“วัฒนธรรมฆ้อง” เก่าสุดอายุราว 3,000 ปีมาแล้ว พบในยูนนาน, กวางสี (มณฑลทางใต้ของจีน) และดงเซิน (ในเวียดนาม) มีชื่อเรียกหลายอย่าง เช่น กลองทอง (ไทย-ลาว), ฆ้องบั้ง (ลาว), กลองกบ (กะเหรี่ยง), ฆ้องกบ, มโหระทึก (ไทย), ฯลฯ
มโหระทึก หมายถึง กลองสัมฤทธิ์ มีเอวคอดคล้ายลูกน้ำเต้า
ฆ้อง เป็นสัญลักษณ์ของความศักดิ์สิทธิ์และความเป็นใหญ่ หมายถึง เครื่องตีทำด้วยสัมฤทธิ์ มีรากเหง้าจากมโหระทึกหรือกลองทอง
“วัฒนธรรมฆ้อง” เป็นสัญลักษณ์ร่วมกัน หรือเครือญาติชาติพันธุ์เฉพาะภูมิภาคอุษาคเนย์ มีแหล่งกำเนิดบนผืนแผ่นดินใหญ่ เช่น จีน (ยูนนาน, กวางสี), เวียดนาม แล้วแพร่กระจายลงไปหมู่เกาะทะเลใต้ มีใช้ในกลุ่มชาติพันธุ์สืบเนื่องถึงทุกวันนี้
วัฒนธรรมดนตรีของกัมพูชาและไทย จึงมีพื้นเพดั้งเดิมร่วมกัน แยกไม่ได้อย่างเด็ดขาดว่าดนตรีไทยหรือดนตรีเขมร แต่เป็นสมบัติบรรพชนในภูมิภาคเดียวกันที่สั่งสมร่วมกันมากว่า ๕,๐๐๐ ปีที่แล้ว