ต่อจากค.ห. 57
ได้ช่วยกันผันผ่อนอพยพ มาระคนสมทบไว้ตามควร
กลอนนี้ระบุว่ามีคนไปเข้าเฝ้ากรมพระราชวังบวรฯในสถานกงศุลมิได้ขาด ก็คงเป็นทั้งฝ่ายหน้าฝ่ายในของท่าน บรรดาเจ้าจอมหม่อมห้ามคงพากันไปทั้งหมด กรมหมื่นสถิตย์ฯ ถึงทรงเปรียบเปรยว่า ร้องไห้ฟูมฟายน้ำตาตักได้เป็นขันสองขัน
ทำให้ดูออกว่า ยังไม่มีพระบรมราชโองการให้จับกุมคุมขัง หรือริบราชบาตรพระบวรวงศานุวงศ์ทั้งในวังหน้าและวังอื่นๆทั้งสิ้น ทุกองค์และทุกคนสามารถจะไปเข้าเฝ้ากรมพระราชวังบวรฯได้เหมือนปกติ ไม่มีใครขัดขวางห้ามปราม
ผิดกับทางฝ่ายหม่อมเจ้าหญิงฉวีวาด ที่ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ถ่ายทอดจากคำบอกเล่าของท่านพ่อ ม.จ.คำรบ ปราโมช อีกที ว่า เมื่อม.จ.ฉวีวาดหนีออกนอกพระราชอาณาจักร เป็นโทษอุกฤษฎ์ ทางราชการก็ไปจับตัวญาติสนิทมาลงโทษแทนถ้าจับผู้ต้องหาไม่ได้
คนที่โดนเข้าคือหม่อมแม่ของม.จ.ฉวีวาด ซึ่งเป็นมารดาของม.จ.คำรบ ถูกเฆี่ยนหลัง ๓๐ ที จำสนม (คือถูกคุมขัง) และริบทรัพย์สินบริวารที่เรียกว่าริบราชบาตร
ตอนนั้นม.จ.คำรบอายุ ๘ ขวบ ตื่นขึ้นมาตอนดึก เจ้าพี่ผู้หญิง ๔ องค์ และหม่อมแม่รีบเก็บข้าวของกันอลหม่าน ตอนเช้าเจ้าพี่ทุกองค์ก็ทรงย้ายจากตำหนัก เข้าไปอยู่ในวังหลวง พึ่งพระบารมีพระอัครชายาเธอพระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ (พระวิมาดาเธอฯ) บ่าวไพร่ก็หลบหนีไปหมด ไม่มีใครเอาใจใส่เด็กอายุ ๘ ขวบ
ท่านถูกทิ้งนั่งร้องไห้อยู่องค์เดียวจนเที่ยง หม่อมยายคือหม่อมของหม่อมเจ้าทับทิมในกรมพระราชวังหลัง ก็เข้ามา พอเห็นก็อุ้มท่านออกจากตำหนักไปอยู่ที่วังของท่านตาซึ่งเป็นบ้านหลังเล็กๆ อยู่ติดกับวัดราชนัดดา
ท่านตาหม่อมเจ้าทับทิมสิ้นชีพิตักษัยไปนานแล้ว เหลือหม่อมยายซึ่งเลี้ยงชีพด้วยการทำขนมขาย มีบ่าวออกเดินเร่ขาย ชีวิตลำบากยากจน กินอยู่อดๆอยากๆ ท่านยายสอนให้หลานชายเก็บพุทราหน้าบ้านใส่กระทงไปเดินขายหารายได้ กระทงละอัฐ ท่านก็ไปเดินขายหน้าโรงบ่อนโรงหวย ได้เงินมาก็เอามาให้ยาย ส่วนหม่อมแม่ก็ไม่ได้ข่าวคราวเลย รู้แต่ว่าติดสนมหรือถูกคุมขัง
บรรดาคนที่ซื้อพุทรา ไม่มีใครรู้เลยว่าเด็กน้อยเดินเร่ขายพุทรานั้นเป็นถึงหม่อมเจ้า พระนัดดาในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย