ส่วนข้อเขียนของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ ผมขออนุญาตที่จะไม่เชื่อเรื่องที่ท่านเล่าไว้ข้างบน โดยส่วนตัว ผมเชื่อว่าอัคคีภัยที่เกิดขึ้นที่โรงแกส เป็นอุบัติเหตุตามธรรมชาติของกระบวนการผลิตแกสชนิดนี้ การขาดการบำรุงรักษาหลังการใช้งาน บวกกับความหย่อนวินัยของคนทำงาน เป็นที่มาของการรั่วไหลของแกส แล้วติดไฟขึ้นจนระเบิด เมื่อเกิดเหตุขึ้นแล้ว ผู้รับผิดชอบโดยตรงก็พยายามหาแพะมารับบาปที่ตนบกพร่องในหน้าที่ เพ็ดทูลใส่ร้ายคนอื่นให้ตนพ้นผิด
ที่ว่าหม่อมเจ้าฉวีวาด(ผู้หญิงนะเนี่ย)สมคบกับกงสุลใหญ่ประเทศมหาอำนาจ ลอบจุดไฟหวังวินาศกรรมวังหลวง ถึงไม่เอ่ยตรงๆก็เข้าใจได้ว่า กงสุลผู้นั้นคือนายน๊อกซ์ ท่านผู้เล่าคงแกล้งลืมว่าขณะที่เกิดเหตุโรงแกสระเบิดนั้น ตัวนายน๊อกซ์อยู่ที่ประเทศอังกฤษ ส่วนหม่อมเจ้าหญิงฉวีวาด ยิ่งหากจะนิยามว่า เป็นผู้มักจะขาดสติสัมปัชชัญญะด้วยแล้ว ถ้าโรงแกสหลวงยังดีๆอยู่ ยิ่งไม่มีทางจะเล็ดลอดเข้าไปสุมไฟให้ถังแกสระเบิดได้เลย เหลือเชื่อครับ
ส่วนที่ว่าหม่อมเจ้าหญิงองค์นี้ ทรงหนีราชภัยไปอยู่เขมรนั้น ผมไม่มีความเห็น จะไปจริงหรือไม่ ไปด้วยสาเหตุอะไร ไม่ทราบ ไม่ขอติดตาม ถ้าเรื่องเหล่านี้มีมูล ทำไมพวกผู้ก่อการกบฏ เมื่อคิดว่าตนจะต้องลี้ภัย ทำไมไม่ไปรวมกันที่กงศุลอังกฤษ ที่ตอนนั้นเปิดให้คนเข้านอกออกในได้ตามสะดวก
เรื่องราวของหม่อมเจ้าหญิงฉวีวาด ปราโมช มีรายละเอียดอยู่ในเรื่อง "โครงกระดูกในตู้" ของม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นโครงกระดูกโครงใหญ่ทีเดียวในสายตาของท่านผู้เขียน
ประเด็นที่ว่าหม่อมเจ้าหญิงองค์เดียวอาจหาญถึงกับวางแผนระเบิดโรงแกส ก็น่าสงสัยเช่นเดียวกับที่คุณ Navarat.C บอกข้างบนนี้ ว่าทำได้อย่างไร ไม่ต้องดูเหตุผลอื่น ดูข้อเดียวว่า มีบารมีแค่ไหนถึงวางแผนสั่งคนทำได้ขนาดนั้น ก็ไม่คิดว่าท่านจะทำได้เสียแล้ว
ถ้าดูข้อเท็จจริงอื่นๆประกอบ ม.จ.ฉวีวาดน่าจะเป็น "แกะดำ" ตัวใหญ่ของวังหลวง คือท่านเป็นเจ้านายสตรีฝ่ายในของวังหลวงองค์เดียวที่ไปเสกสมรสกับเจ้านายฝ่ายชายของวังหน้า ซึ่งยุคนั้นไม่มีใครทำกัน ผลคือท่านหญิงฉวีวาดจะต้องไม่ป๊อบปูล่าร์เอามากๆในสายพระเนตรของเจ้านายวังหลวงทั้งหลายไม่ว่าฝ่ายหน้าหรือฝ่ายใน
นอกจากนี้ ท่านก็ยังไปสนิทสนมกับแคโรไลน์ลูกสาวคนเล็กของกงศุลน๊อกซ์ ซึ่งเจ้านายสตรีฝ่ายในก็ไม่มีใครทำกันอีก ในพระราชหัตถเลขาที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงมีไปถึงสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ก็ทรงระบุไว้ชัดว่า
"ลูกสาวสองคนนี้คนต่างประเทศไม่มีใครนับถือเลย ไม่มีใครจะเอาเป็นภรรยาเลยเป็นแน่" การกระทำของม.จ.ฉวีวาด ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงชุบเลี้ยงอุปถัมภ์อย่างมีเกียรติ เท่ากับพระเจ้าลูกเธอ จนชาววังเรียกว่า "ลูกเธอปลอม" คงเป็นที่ไม่พอพระราชหฤทัยของสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เอามากๆ แต่ม.จ.ฉวีวาดก็หัวแข็งเอาการ ก็ยังแสดงว่าทรงฝักใฝ่ฝ่ายวังหน้าอยู่ แต่เราก็คงพอเดาได้ว่า ทรงรู้สึกกดดันอยู่ไม่น้อย
เมื่อเกิดไฟไหม้โรงแกสวังหลวง เป็นจุดระเบิด วังหน้าเสด็จลี้ภัยในสถานกงศุล ชวนให้คิดว่าต้องแตกหักกันแน่ระหว่างวังหลวงกับวังหน้า ม.จ.ฉวีวาดรู้ว่าภัยมาถึงตัวแน่แล้วท่านก็หนีออกนอกสยามไปลี้ภัยในเขมร เรื่องนี้พิสูจน์ได้ว่าจริง เพราะมีพยานคือพระองค์เจ้าพานคุลี โอรสของท่านที่ประสูติจากพระเจ้าแผ่นดินเขมรเป็นหลักฐานอยู่ว่าท่านไปถึงราชสำนักเขมรแน่ๆ
ในเรื่องโครงกระดูกในตู้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ไม่ได้เล่าว่าพระสวามีของม.จ.ฉวีวาด คือพระองค์เจ้าเฉลิมลักษณวงศ์ กรมหมื่นวรวัฒน์สุภากร พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงกระทบกระเทือนมากน้อยแค่ไหนจากการกระทำของพระชายา ในวิกฤตวังหน้าไม่มีการเอ่ยถึงเจ้านายพระองค์นี้เลย เจ้านายสำคัญของวังหน้าที่ตามเสด็จ หรือพูดให้ถูกว่าถูกตามให้ตามเสด็จกรมพระราชวังบวรฯเข้าสถานกงศุลคือกรมหมื่นสถิตย์ธำรงสวัสดิ์พระองค์เดียว
ทางราชสกุลปราโมชของม.จ.ฉวีวาดถูกริบราชบาตร เดือดร้อนกันไปทั่วแม้แต่เด็กอย่างม.จ.คำรบ ปราโมชก็ตกระกำลำบากต้องไปเดินเร่ขายพุดซา แต่ดิฉันไม่ทราบว่าทางพระองค์เจ้าเฉลิมลักษณวงศ์ท่านทรงโดนริบราชบาตรหรือถูกลงโทษบ้างหรือไม่ คิดว่าคงไม่โดน อาจเป็นได้ว่าท่านทรงแยกทางกับม.จ.ฉวีวาดมานานแล้ว ตอนม.จ.ฉวีวาดหนีจากสยาม ขนละครผู้หญิงไปทั้งโรง จึงไม่มีพระสวามีร่วมทางไปด้วย
นานหลายปีต่อมา พระองค์เจ้าเฉลิมฯได้ทรงกรมเป็นกรมหมื่นวรวัฒน์สุภากร เมื่อพ.ศ. ๒๔๔๖ แล้วมาสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๖