ผมจึงมิได้ประหลาดใจอะไรมากนัก เพราะแม้แต่ในขณะบวชเป็นภิกษุสงฆ์พรรษา
แรกยังเป็นพระนวกะ ขณะที่กำลังท่องจำบทขัดสัคเค (บทขัดชุมนุมเทวดา)
ผมก็ได้พบความผิดปกติของพระคาถาบางประการ รู้สึกถึงความคุ้นตา
อันเนื่องจากเคยแต่งมาก่อน จึงลองตรวจสอบดู แล้วก็พบว่า เป็นคำฉันท์นั่นเอง
แต่จะเรียกว่าฉันท์อะไรผมเองก็ไม่ทราบ
แต่รูปแบบของพระคาถาตั้งแต่ “สะรัชชัง สะเสนัง.....จนถึง.....ปะริตตัง
ภะณันตุ.” เป็นรูปแบบของ “ภุชงคประยาตฉันท์ ๑๒” ผิดกันแต่รูปแบบ
ของสัมผัสที่ไม่เหมือนกัน กับคำสุดท้ายของบทตรงคำว่า “ภะณันตุ” ซึ่ง “ตุ”
เป็น ลหุ ผิดรูปแบบไป และตั้งแต่ “สัคเค กาเม.....จนถึง.....สาธะโว เม
สุณันตุ” นี้เป็นรูปแบบของ “สัทธราฉันท์ ๒๑” อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ก็เช่นเคย รูปแบบของสัมผัสไม่ตรงกับแบบแผนที่เคยได้รับรู้ร่ำเรียนมา
และคำว่า “ตุ” เป็นคำ ลหุ ปิดท้ายเช่นเดิม ก็ไม่รู้ว่าผู้ประพันธ์ บทขัดสัคเค นี้
นำมาจากคัมภีร์ฉบับหรือผูกใดและนำมาประพันธ์ไว้เป็นบทสวดมนต์
ให้พวกเรายุคหลังได้ใช้ในการอัญเชิญเทวดาก่อนจะทำการสวดมนต์ตามปกติ
มาตั้งแต่สมัยใด
ในบทสัคเค หรือบทชุมนุมเทวดา นั้น
เต็มๆ ว่า
สัคเค กาเม จะ รูปเป คิริสิขะระตะเฏ จันตะลิกเข วิมาเน
ทีเป รัฏเฐ จะ คาเม ตะรุวะนะคะหะเน เคหะวัตถุมหิ เขตเต
ภุมมา จายันตุ เทวา ชะละถะละวิสะเม ยักขะคันธัพพะนาคา
ติฏฐันตา สันติเก ยัง มุนิวะระวะจะนัง สาธะโว เม สุณันตุฯ
หมายเหตุ ภาษบาลีเขียนแบบไทย
เป็นสัทธราฉันท์ ๒๑
พยางค์ "ตุ" ท้ายบาทที่ ๔ นั้น ตามคัมภีร์ฉันท์วุตโตทัย
หรือแม้แต่คัมภีร์ปิงคลฉันท์ของทางสันสกฤต
ได้กำหนดให้ ลหุปลายบาท นับเป็น ครุ ทั้งสิ้น
ลองดูตัวอย่างอื่น เช่น
พาหุง สะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง
คฺรีเมขะลัง อุทิตะโฆระสะเสนะมารัง
ทานาทิธัมมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
บทนี้ เป็นวสันตดิลกฉันท์ "นิ" เป็น ลหุ ปลายบาทเหมือนกัน
ให้ถือเป็นครุได้เช่นกัน