สวัสดีครับ มาเสวนาเรื่อง
โคลงโบราณไม่โบราณจริง ต่อครับ
ความเห็นเกี่ยวกับโคลงโบราณของ
จิตร ภูมิศักดิ์ ขอคัดมาดังนี้
"...ด้วยเชื่อกันว่าโคลง, ทั้งของไทยและของลาว, เป็นกาพย์กลอนที่มีต้นกำเนิดจากคัมภีร์สันสกฤตชื่อ 'กาพย์สารวิลาสินี' และคัมภีร์ 'กาพยคันถะ' ฉะนั้นชื่อโคลงต่าง ๆ จึงออกมาจากคัมภีร์ทั้งสองนี้แทบจะทั้งสิ้น โดยเฉพาะจากคัมภีร์แรก.
คัมภีร์กาพย์สารวิลาสินีนั้น เดิมเป็นตำรากาพย์ของสังสกฤต แล้วมาภายหลังได้มีผู้ถอดเป็นภาษาบาลี ไทยได้ถอดตำรานี้ออกเป็นภาษาไทยอีกต่อหนึ่ง เป็นหนังสือที่เชื่อถือกันว่าเป็นต้นตำราโคงไทย ... เป็นหนังสือที่ถอดไม่นานนัก.
ผู้ถอดตำรานี้ ได้นำเอากาพย์ของสันสกฤต-บาลี มาวางแยกวรรคออกแบบไทย ทั้งนี้เพราะกาพย์เหล่านั้น ล้วนมีบาทละ ๗ คำ และมี ๔ บาท แยกออกเป็นวรรคหน้า ๕ คำ และวรรคหลัง ๒ คำ ได้อย่างโคลงดั้นของไทยพอดี
กาพย์เดิมของของบาลี-สันสกฤต มิได้กำหนดเสียงวรรณยุกต์เอกโท เพราะทั้งสองภาษานั้นไม่มีวรรณยุกต์ และไม่มีระดับเสียง ผู้ถอดออกเป็นไทยได้พยายามเอาเอกโทเข้าช่วย ทำให้รูปร่างดูคล้ายโคลงดั้นมากทีเดียว แต่ก็ยังบอกำกับไว้ว่าไม่บังคับเอกโท มีแต่บังคับสัมผัสเช่น
วิชชุมาลี:
ข้าแต่พระพุทธเกล้า มุนินทร์
ลายลักษณะพระบาท วิจิตร
ชนนิกรไว้อาจิณ คืนค่ำ
ตั้งกระหม่อมข้านิตย์ เท่ามรณ์ ฯ
จิตรลดา:
พระจันทร์เพ็งแผ้ว สรัทกาล
ชช่วงโชติพรายงาม รุ่งฟ้า
ในชนชื่นบานนิตย์ ทุกหมู่
รัศมีเรืองกล้าแหล่ง เวหา ฯ
และมีมีอีกมากอย่าง และแต่ละอย่างนั้น ถ้าคำลงท้ายเพิ่มเป็น ๔ คำ ก็ให้เพิ่มคำ 'มหา' นำหน้าชื่อเข้าไป เช่น 'มหาสินธุมาลี' ซึ่งคล้ายโคลงสี่สุภาพ ดังนี้ :
ข้าแต่พระพุทธเจ้า ใจปราชญ์
รัศมีองค์โอภาส รุ่งฟ้า
พระสุรเสียงเพราะฉลาด โลมโลก
สัตบุรุษทั่วหล้า ชมนิตย์ชื่อธรรม ฯ
แต่อย่างไรก็ดี ผู้ถอดก็ยังกำกับไว้เสมอว่า ไม่บังคับเอกโท ซึ่งข้อนี้เราก็จับได้ชัด ๆ ทีเดียวว่า ผู้ถอด, ในขณะที่เขียนบอกว่าไม่บังคับเอกโทนั้น, ก็อดที่จะเอาเอก-โท ตามความเคยชินของไทยวางลงไปด้วยไม่ได้อยู่ดี, ก็ถ้าหากว่าไม่ถือเอก-โทจริง ๆ, และไม่มีความเคยชินในเอก-โทจริง ๆ แล้ว, ตัวอย่างที่แสดงทั้งหมด ก็ไม่น่าจะลงท้ายบาทสองด้วยคำโทเสียแทบทั้งนั้น
และถ้าหากไม่เคยมีความรับสำนึกในความงามของเอกโทมาก่อน, ในความไพเราะมาก่อน, ก็คงจะไม่ต้องบอกใคร เพราะไม่มีใครสนใจเอกโทกันทั้งนั้น, ที่ต้องบอกไว้ว่าไม่บังคับเอกโทนั้น ก็เพราะในชีวิตวรรณคดีของชนชาติไทย ได้มีความรับสำนึกในรสไพเราะของระดับเสียงเอกโทอยู่ก่อนแล้วนั่นเอง
เรื่องของตำรากาพย์สารวิลาสินี จึงเป็นเรื่องของการดัดแปลงกาพย์กลอนบาลี-สันสกฤตให้เข้ากับลักษณะของไทย หรือถ้าจะพูดกันอย่างเข้มงวด ก็คือพยายามจะลากเอาเรื่องโคลงไทย-ลาวให้เป็นของที่มีกำเนิดจากภาษาบาลี-สันสกฤต ...
...เป็นเรื่องของการ จับบวช, และแม้แต่คำว่า บวช นั้นเอง ก็โดนจับบวชนานแล้วด้วย เขมรโบราณสมัยก่อนนครหลวงใช้ว่า โบส มาถึงสมัยนครหลวง เขมรทางแถบทะเลสาบ ออกเสียง โอ เป็น อัว จึงใช้ว่า บวส ไทยสุโขทัยยืมคำนี้มาใช้ว่า บวส ตรงตามรูปพื้นเมือง แต่มาภายหลังนักเลงดีจับมาเข้าวัดเสียเป็น บวช ดังที่พระสังฆราชวชิรญาณวงศ์ อธิบายว่า คำนี้ มีรากเหง้ามาจากภาษาบาลีว่า ปพฺพชา, เอา พ เป็น ว ได้รูปเป็น ปวฺวชา แล้วตัดเป็นไทยว่า "บวช" โคลง-กาพย์กลอนที่ถือระดับเสียงวรรณยุกต์เป็นหลักสำคัญของไทย-ก็ได้ถูกจับบวชดังนี้เช่นกัน
จะให้เรายอมเชื่อว่า โคลงไทย-ลาว ที่ถือเอกโทเป็นหลักชี้ขาดมีกำเนิดมาจากกาพย์กลอนบาลี-สันสกฤต ที่ไม่มีระดับเสียงเอกโทนั้น เราสุดที่จะกลืนลงคอได้ !"(จิตร ภูมิศักดิ์, โองการแช่งน้ำและข้อคิดใหม่ในประวัติศาสตร์ไทยลุ่มน้ำเจ้าพระยา, พิมพ์ครั้งที่ ๓, เมษายน ๒๕๔๗. หน้า ๒๔๘.)จิตร ภูมิศักดิ์ เชื่อว่าโคลงไทย-ลาว ไม่ได้กำเนิดมาจาก คัมภีร์กาพทั้ง ๒ เล่มนั้น การจับบวชดังกล่าว จึงไม่สำเร็จมากนัก ไทยยังคงเรียกโคลงอย่างไทยอยู่ เช่น โคลงดั้น โคลงสุภาพ แต่ดูเหมือนว่าลาวคงได้รับอิทธิพลจากราชสำนักสยามเหมือนกันที่นำชื่อ วิชชุมาลี และ มหาสินธุมาลี เป็นชื่อโคลงของตน ทั้งที่มีลักษณะเอกโทของตนเฉพาะ
โคลงโบราณ หรือโคลงสี่ในตำรากาพย์ ไม่ค่อยปรากฎในวรรณคดีไทย นอกจากงานพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เช่น พระนลคำหลวง และลิลิตนารายณ์สิบปาง เป็นต้น (สุภาพร มากแจ้ง, กวีนิพนธ์ไทย ๑, โอเดียนสโตร์, ๒๕๓๕.)
โคลงโบราณ ๑๐ ชนิด มาจากคัมภีร์กาพย์สารวิลาสินี ๘ ชนิด คือ วิชชุมาลี, มหาวิชชุมาลี, จิตรลดา, มหาจิตรลดา, สินธุมาลี, มหาสินธุมาลี, นันททายี, มหานันนททายี และจากคัมภีร์กาพย์คันถะ ๒ ชนิดคือ ทีฆปักษ์ และรัสสปักษ์ (กำชัย ทองหล่อ - หลักภาษาไทย)
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงดัดแปลงสัมผัสโคลงโบราณ เพิ่มเป็นโคลงโบราณแผลง ๔ ชนิด คือ วิชชุมาลีแผลง, จิตรลดาแผง, สินธุมาลีแผลง และนันททายีแผลง และทรงประดิษฐ์โคลงสี่เลียนแบบโคลงโบราณอีก ๔ ชนิด คือ วชิระมาลี, มุกตะมาลี, รัตนะมาลี และจิตระมาลี
จริง ๆ ไม่ค่อยชอบคำว่าโคลงโบราณเท่าไหร่ เพราะมันโบราณไม่จริง ซึ่งจะเห็นว่าตำราของ อ.สุภาพร มากแจ้ง เรียกว่าโคลงตามตำรากาพย์ ดูจะเข้าที บอกที่มาที่ไปได้ดี ไม่ใช่เหมาเอาว่าโบราณ คือเก่ากึ๊กโบราณ
กวีที่แต่งโคลงชนิดนี้ มีไม่มาก ๑. พระศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) - มูลบทบรรพกิจ (พ.ศ.๒๔๑๔) เอกองค์ทรงภาคย์พ้น พรรณา
พระเบิกบงกชบาน คลี่คล้อย
ปวงสัตว์เสพย์นิทรา เตือนตื่น
สรวมบาทพระนั้นสร้อย เทริดเศียร
ดวงเดียวโอภาสพ้น พันทิวา กรเฮย
บานเบิกบงกชคลา คลี่คล้อย
เตือนสัตว์สร่างนิทรา ใสผ่อง ภักตร์แฮ
บัวบาทเรณูสร้อย เทริดเกล้าเราเกษม
ข้อสังเกต- โคลงทั้งสองบทมีเนื้อหาเดียวกัน
- ตำแหน่งเอกโทครบตามอย่างโคลงดั้น และโคลงสี่สุภาพ
- โคลงบทที่สองเป็นลักษณะโคลงสี่สุภาพ ขณะที่บทแรกไม่ใช่โคลงดั้น เพราะผิดธรรมชาติโคลงดั้งที่ต้องแต่งสองบทขึ้นไป (พ.ณ.ประมวลมารค ให้ข้อสังเกตว่าโคลงแบบนี้น่าจะเรียกว่า สินธุมาลา/มหาสินธุมาลา)
๒. พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว - พระบรมราชาธิบายในการประพันธ์ มีพระบรมราชาธิบายในการประพันธ์โคลงแบบต่าง ๆ รวมทั้ง โคลงโบราณ โคลงโบราณแผลง และโคลงเยี่ยงโบราณ โดยในโคลงมหาสินธุมาลี นั้นทรงบอกไว้ว่า เหมือนโคลงสุภาพ แต่ไม่จำกัดโท
สินธุมาลี ข้าแต่พระพุทธเจ้า ใจ
ปราชญ์ รัศมีองค์โอ
ภาส รุ่ง
ฟ้า พระสุรเสียงเพราะ
ฉลาด โลมโลก
สัตบุรุษทั่ว
หล้า ชมนิตย์ ฯ
สินธุมาลีแผลง ข้าแต่พระพุทธเจ้า ใจ
ปราชญ์ รัศมีองค์โอ
ภาส รุ่ง
ฟ้า พระสุรเสียงเพราะ
ฉลาด โลมโลก
สัตบุรุษ
ส้าเสก ชมนิตย์ ฯ
มหาสินธุมาลี ข้าแต่พระพุทธเจ้า ใจ
ปราชญ์ รัศมีองค์โอ
ภาส รุ่ง
ฟ้า พระสุรเสียงเพราะ
ฉลาด โลมโลก
สัตบุรุษทั่ว
หล้า ชมนิตย์ชื่อธรรม ฯ
ข้อสังเกต- แม้จะไม่เคร่งคำเอก แต่จุดที่เป็นคำโทในโคลงสี่มักจะใช้วรรณยุกต์โท หรือบางครั้งก็เป็นคำตาย เพื่อรักษาระดับเสียงให้ใกล้เคียงโคลงสุภาพ/โคลงดั้น
๓. ขรรค์ชัย บุนปาน - ฟ้าแล่บแปล๊บเดียวขาวกลีบบัว (พ.ศ.๒๕๑๒) ถวายพิษฐานพระไว้ บู
ชา ฟังแม่
เกิดเพื่อแรงปรารถ
นา แห่ง
รักโกมุทแผ่วลอย
มา รับพี่ รักพี่
โกมุท
รักพี่แล้ว อย่าสลาย ฯ
หนึ่งชาติหนึ่งเสน่ห์ด้วย ดอก
บัว เดียวเอย
ใครสดับใครใคร่
หวัว ใคร่
เถิดเหยียดหยันเยาะเย้ย
ทั่ว สามโลก ก็ดี
พี่จัก
เชิดหน้าท้า โลกสาม ฯ
ข้อสังเกต- คล้ายโคลงดั้นแต่ไม่ใช่โคลงดั้น
- จบอย่างโคลงดั้น แต่ไม่มีการส่งสัมผัสแบบโคลงดั้น
- ใช้คำตายในตำแหน่งคำโทวรรคที่สอง, แต่ตำแหน่งเอกโทอื่น ๆ กลับเคร่งเหมือนโคลงสี่ทั่วไป
- ขณะที่สัมผัสวรรค ๑-๒-๓ เป็นอย่างโคลงสินธุมาลี แต่การสัมผัสวรรค ๒ กับ วรรค ๔ ลึกเข้าไปถึงตำแหน่งที่ ๓ (สินธุมาลีแผลง จะรับสัมผัสตำแหน่งที่ ๔)
๔. เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ - เพียงความเคลื่อนไหวที่ราบแล้ง ณ แหล่งลุ่ม (๒๕๑๘) (ก๊อปจากคุณชูพงศ์ ซึ่งมีความจำเก่งมาก ผิดแค่คำเดียว คือ ซร้อง, คุณชูพงศ์คงจะอ่านโคลงด้วยหู จึงจำแม่นและเขียนโคลงด้วยเสียงไม่เพี้ยนเลย น่านับถือจริง ๆ )ปลาตีนปีนไต่เต้น ตม
ตีนตีนเตอะตมจม
ปีน ป่าย
จ้องปูดำหลับจำ
ศีล ปาริสุทธิ์
คลื่นไป่ครืนครื้น
คล้อง ขลาดโหม
เหือดโพยมล่มแล้งทั่ว ทะเล
หนาวหอมกลิ่นโคลนปน
คาว คละ
คลุ้งเวิ้งว้างว่างวาย
ยาว ยืดเหยียด
ฟ้าจรดฟ้าเฟื้อย
ฟุ้ง ฝั่งฝัน
ข้อสังเกต- เคร่งครัด เอก ๗ โท ๔
- วรรคสุดท้ายมี ๒ คำ อย่างโคลงดั้น และใช้โทคู่อย่างโคลงดั้น
- สัมผัสอย่างโคลงสี่สุภาพ (รวมทั้งร้อยโคลงด้วย)
- พ.ณ.ประมาลมารค เขียนไว้ชัดว่านี่คือ โคลงสินธุมาลี
๔. ศักดิ์ศิริ มีสมสืบ - มือนั้นสีขาวถอดหน้ากาก (๒๕๓๑)พี่ชายสวมหน้ากาก ผี
ร้ายน้องสาวหวีดวี้ด
ว้าย วุ่น
วิ่งพี่โยนหน้ากาก
ทิ้ง ยิ้ม
แฉ่งน้องน้อยวิ่งรี่
แย่ง ฉกหน้ากากสวม
น้องสาวสวมหน้ากาก ผี
ร้ายพี่ชาย
ร่ายมนต์ขลัง ขมัง
ขม้ำน้องสาวเข้ากอด
ปล้ำ ดุ
เดือดกอดพิชิตดูด
เลือด เสื่อมแล้วมนต์ขลัง
ข้อสังเกต- วรรคสุดท้ายมี ๔ คำ แบบโคลงสี่สุภาพ
- เสียงในตำแหน่งเอกโทยังคงเป็นแบบโคลงสี่สุภาพ แม้จะไม่เคร่งรูปวรรณยุกต์
- สัมผัสแบบกาพย์ นั่นคือคำสุดท้ายของวรรคสัมผัสกับคำที่ ๓ หรือ ๕ ของวรรคถัดไป
-แบบนี้ไม่นับเป็นโคลงโบราณแน่ ๆ เพราะฉีกตำราเรื่องสัมผัสไปมาก
๕. อังคาร จันทาทิพย์ - แนวรบด้านตะวันออก (ก.พ.๒๕๕๔)โคลงสินธุมาลีต้นสายปลายเหตุ ต้น-------------------กำเนิด
ไหนหลักแหล่งคุ้มชีวิต
ไหล------------------เลือด
ข้นว่านเครือ รัฐ ชาติ
ใคร------------------กำหนดเขต
แยกเหล่า ทำลาย
ต้น-------------------ตัดสิน
ถิ่นฐาน ทาง ซ้อนทับ-------------------อารย
ธรรมพันผูกวิถีชีวิต
กำ-----------------------เนิด
สร้างสู่กรอบครอบปิด
งำ---------------------เงื่อนเปลี่ยน
รุกประดังพนมดงรัก
ร้าง------------------แรมรา
ข้อสังเกต- กวีระบุอย่างตั้งใจว่านี่เป็น โคลงสินธุมาลี ไม่ใช่โคลงดั้น
- ตำแหน่งที่ควรจะเป็นเอกโทในโคลงสี่ทั่วไปก็ยังคงเป็นคำเอกคำโท ยกเว้นวรรคสุดท้ายที่ลดโทไป ๑ ตำแหน่ง และไม่เคร่งเอก
ตามที่กล่าวมา โคลงโบราณจึงไม่โบราณจริง ถึงแปลงสัมผัสอย่างไรก็ต้องมีเอกโทจึงจะนับเป็นโคลงโคลงที่แสดงความโบราณจริง ๆ คือ โคลงห้า อย่างลิลิตโองการแช่งน้ำ เพราะปัจจุบันยังไม่มีใครฟันธงว่ามีฉันทลักษณ์เป็นอย่างไร มีแต่จิตร ภูมิศักดิ์ ที่อธิบายและจัดรูปแบบโคลงได้อย่างน่าเชื่อถือที่สุด และได้เสนอแนะรูปแบบใหม่ คือ โคลงห้าพัฒนา ก็มีคนแต่งไม่มากนัก อย่างที่รู้กันอยู่
ที่เสวนาเรื่องนี้ แค่แลกเปลี่ยนความรู้ อย่าเข้าใจผิดว่าห้ามแต่งนะครับ ใครอยากประดิษฐ์อย่างไร ก็ตามใจเถิด แต่บางอย่างบูรพาจารณ์ก็ทดลองมาแล้ว อะไรใช้ได้ ใช้ไม่ได้ก็ควรเรียนรู้และปรับปรุงกันต่อไปครับ