เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 17 18 [19]
  พิมพ์  
อ่าน: 141231 ของเสวยในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5
siamese
หนุมาน
********
ตอบ: 7165


หนุ่มรัตนะกับภูเขาทอง


ความคิดเห็นที่ 270  เมื่อ 22 เม.ย. 11, 16:30

^
เห็นแล้วท้องร้องขึ้นมาในทันใด  ยิงฟันยิ้ม  เห็นวุ้นเส้นแบบนี้ ทำให้นึกถึงแกงโฮะ ทางภาคเหนือ (โฮะ แปลว่า รวม) คือ อาหารที่เหลือรับประทานมื้อนั้น นำมาผัดรวมกัน ใส่วุ้นเส้น ปรุงรสเพิ่มให้กลมกล่อม
บันทึกการเข้า
:D :D
นิลพัท
*******
ตอบ: 2333


ความคิดเห็นที่ 271  เมื่อ 22 เม.ย. 11, 17:06

พระราชชายาเจ้าดารารัศมี น่าจะมีโอกาสได้ปรุงอาหารเหนือเป็นเครื่องเสวยของรัชกาลที่ 5 บ้างมั้งคะ
ท่านใดมีพระประวัติตอนนี้ กรุณาเล่าให้ฟังบ้างนะคะ  ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
hobo
พาลี
****
ตอบ: 324


ความคิดเห็นที่ 272  เมื่อ 23 เม.ย. 11, 06:50


"แม่ครัวหัวป่า"

ตำบลหัวป่า เป็นตำบลหนึ่งในอำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี....พระยาอภัยราชา ที่สมุหเทภิบาลมณฑลอยุธยา เป็นผู้หนึ่งที่ไปเมืองพรหมบุรีบ่อย ๆ .....จึงนำคณะศรัทธามาสร้างโบสถ์ศาลาให้วัดชลอนแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๑ ......  ปีถัดมาจึงกราบบังคมทูลเชิญเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปทอดกฐินที่วัดชลอนนี้ ...... บันทึกในหมายเหตุรับเสด็จพระราชดำเนินครั้งนั้นว่า “แม่ครัวเครื่องคาวได้แก่ อำแดงเกลี้ยง อำแดงอึ่ง อำแดงแพ อำแดงสรวง ส่วนเครื่องคาวหวานได้แก่ อำแดงหงส์ อำแดงสิน อำแดงพลับ อำแดงพา”.....

เมื่อวันก่อนโทรทัศน์ช่องหนึ่งได้ย้อนรอย เสาะหาทายาทอำแดงทั้งหลาย ซึ่งต่างก็แก่เฒ่าทั้งสิ้น แต่ฝีมือการทำนั้นยังคงความอร่อยเป็นตำนานสืบไป

ผมเข้าใจว่า แม่ครัวหัวป่า เพี้ยนมาจาก แม่ครัวหัวป่าก์ ปากะ = หุงต้ม ตามที่ท่านเสฐียรพงษ์ วรรณปก เคยกล่าวไว้
นอกจากนี้ตำราแม่ครัวหัวป่าก์ ของท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ พิมพ์ครั้งแรก ๒๔๕๑ ก่อนเสด็จ ไปวัดดังกล่าว
จึงอาจกล่าวได้ว่า คำว่าแม่ครัวหัวป่าก์ได้เกิดขึ้นก่อนนั้นแล้ว จึงไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับตำบลหัวป่า ไม่ทราบว่าทางโทรทัศน์เอาข้อมูลมาจากไหน อาจมีการแปลงข้อมูล ขอฝากไว้ให้ท่านผู้รู้ชี้แจงแก้ไขด้วยครับ
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12599



ความคิดเห็นที่ 273  เมื่อ 23 เม.ย. 11, 08:21

ตำบลหัวป่า เป็นตำบลหนึ่งในอำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี....พระยาอภัยราชา ที่สมุหเทภิบาลมณฑลอยุธยา เป็นผู้หนึ่งที่ไปเมืองพรหมบุรีบ่อย ๆ .....จึงนำคณะศรัทธามาสร้างโบสถ์ศาลาให้วัดชลอนแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๑ ......  ปีถัดมาจึงกราบบังคมทูลเชิญเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปทอดกฐินที่วัดชลอนนี้ ...... บันทึกในหมายเหตุรับเสด็จพระราชดำเนินครั้งนั้นว่า “แม่ครัวเครื่องคาวได้แก่ อำแดงเกลี้ยง อำแดงอึ่ง อำแดงแพ อำแดงสรวง ส่วนเครื่องคาวหวานได้แก่ อำแดงหงส์ อำแดงสิน อำแดงพลับ อำแดงพา”.....

ข้อมูลที่ถูกต้องคือ

จากสารคดี เสด็จประพาสต้น ตอนที่ ๑๒ :  ร.ศ. ๑๒๕ ประพาสต้น ชัยนาท-อุทัยธานี

ในวันที่ ๗ ส.ค.พระองค์ได้เสด็จไปถ่ายรูป วัดชลอน ทรงทอดพระเนตรต้นโพธิ์ที่พระองค์โปรดให้นำกิ่งตอนมาจาก วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ มาปลูกที่วัดชลอน

http://my.opera.com/Chulalongkorn/blog/show.dml/17629692

เสด็จพระราชดำเนินไปที่ วัดชลอน หรือวัดพรหมเทพาวาส  เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ หรือ ร.ศ. ๑๒๕ ก่อนตำราของท่านผู้หญิงเปลี่ยน ๒ ปี

 ยิ้มเท่ห์


บันทึกของพระภาวนาวิสุทธิคุณ (เข้าใจว่าเป็นอดีตเจ้าอาวาสแห่งวัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี) ซึ่งคาดว่าจะเกี่ยวข้องไม่ทางใดทางก็หนึ่งกับท้องถิ่นหัวป่า กล่าวถึงรับสั่งของพระองค์เอาไว้

"นี่แน่ะ แม่ครัวหัวป่า แม่ครัวทั้งหลาย ขออนุโมทนา ข้าพเจ้าขอบใจที่ทำอาหารอร่อย อาหารดี โปรดรักษารสอาหารอย่างนี้ไว้ถึงลูกหลาน..."

เล่ากันว่านับแต่นั้นชาวบ้านตำบลหัวป่าก็ทำอาหารอร่อยมาจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน และคำว่า "แม่ครัวหัวป่า" ก็ติดพระโอษฐ์ของรัชกาลที่ ๕ ลงไปจนถึงบางกอก เมื่อทรงพบพระกระยาหารที่มีรสชาติดี ก็ทรงตรัสเปรียบเทียบว่าอร่อยอย่างกับ "แม่ครัวหัวป่า" เสมอ ๆ

เป็นเหตุให้คำว่า "แม่ครัวหัวป่า" ติดปากคนสยามบัดนั้นมาจนถึงบัดนี้ เมื่อพูดถึงคนทำอาหารอร่อย

"...เรื่องราวที่ว่ามีแม่ครัวที่นี่นำอาหารมาถวายรัชกาลที่ ๕ นั้นไม่ได้มีบันทึกชัดเจนในการเสด็จประพาสต้น ...สถาบันฟื้นฟูชุมชนกำลังจะเข้ามาทำโครงการที่นี่ ผมกำลังจะพยายามช่วยเขาเขียนประวัติหมู่บ้าน และพยายามสืบค้นอยู่ในขณะนี้"

อาจารย์บรรหาร ตันหยก แห่งวิทยาลัยเทพสตรี ลพบุรี ลูกบ้านหัวป่าแท้ ๆ ที่กลับมาศึกษาค้นคว้าเรื่องราวของหมู่บ้านอย่างจริงจังนี้เล่าให้เราฟังเช่นนั้น

แต่หากลองไปสืบดูในทำเนียบประวัติเมืองพรหมบุรี จะมีบันทึกในหมายเหตุรับเสด็จครั้งนั้นอย่างชัดเจนว่า "แม่ครัวเครื่องคาวได้แก่ อำแดงเกลี้ยง อำแดงอึ่ง อำแดงแพร อำแดงสรวง ส่วนเครื่องหวานได้แก่อำแดงหงส์ อำแดงสิน อำแดงพลับ อำแดงพา"

"แม่ครัวหัวป่า" แห่งตำบลหัวป่า จังหวัดสิงห์บุรี ไม่ได้หมายถึงใครคนใดคนหนึ่งอย่างที่เราเข้าใจ ในอดีตที่รัชกาลที่ ๕ พระราชทานชื่อให้ "คณะ" แม่ครัวหัวป่า ซึ่งหมายถึงชาวบ้านหัวป่าทั้งหมดที่ทำอาหารรับเสด็จฯ ในครานั้น และมีการสืบทอดสูตรอาหารแบบปากต่อปากในหมู่ลูกหลานบ้านหัวป่า พร้อมคำกำชับกำชาให้รักษาความดีที่เคยทำไว้

"ทำมาดี มึ-ต้องรักษาให้ดี"

ช่วงที่พระพุทธเจ้าหลวงเสด็จฯนั้นจังหวัดสิงห์บุรียังไม่เกิด แต่ก็เป็นพระองค์นี่เอง ที่มีรับสั่งให้ยุบเมืองพรหมนครลงในภายหลัง ไปรวมกับเมืองสิงห์บุรี

เรื่องเล่าของแม่ครัวหัวป่าไม่ได้จบแค่ที่บ้านหัวป่าเท่านั้น หลังการเสวยครั้งนั้นแล้ว นอกจากการที่คำว่าแม่ครัวหัวป่าติดพระโอษฐ์กลับมาบางกอก ยังมีการบันทึกว่าภายหลังยังทรงให้คุณหญิงโหมดจัดอำแดงเกลี้ยง อำแดงอึ่ง อำแดงหงส์ และอำแดงสิน มาเป็นแม่ครัวในวังหลวงอีกด้วย


บางส่วนจากหนังสือพิมพ์ ผู้จัดการรายวัน ๑๑ เมษายน ๒๕๔๘

 ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12599



ความคิดเห็นที่ 274  เมื่อ 23 เม.ย. 11, 08:27

รอยอินท่านว่า

หัวป่่า   น. คนทําอาหาร ในคำว่า แม่ครัวหัวป่า พ่อครัวหัวป่า, โบราณเขียนเป็น หัวป่าก์.

ท่านผู้หญิงเขียนในหนังสือของท่านไว้ว่า "วิธีทำของรับประทานที่เข้าใจโดยสามัญว่า การหุงต้มทำกับเข้าของกินที่ฉันให้ชื่อตำรานี้ว่าแม่ครัวหัวป่าก์ คือ ปากะศิลปะคฤหะวิทยาก็เปนสิ่งที่ว่าชี้ความสว่างในทางเจริญของชาติมนุษย์ ที่พ้นจากจารีตอันเปนป่าร้ายให้ถึงซึ่งความเปนสิทธิชาติที่มีจารีตความประพฤติ์อันเรียบร้อยหมดจดดีขึ้น..."

ที่รอยอินท่านบอกว่าคนโบราณใช้ ก์ จึงน่าจะมาจากตำราของคุณหญิงเปลี่ยน ขณะที่แม่ครัวหัวป่าที่หมายถึงคำติดพระโอษฐ์ในรัชกาลที่ ๕ จึงน่าจะเป็นหัวป่า ที่ไม่มี ก์ แต่อย่างใด

หากเหตุการณ์ข้างบนเกิดขึ้นจริง "แม่ครัวหัวป่า" ซึ่งหมายถึงคนทำอาหารอร่อยซึ่งมาจากพระโอษฐ์ของรัชกาลที่ ๕ นั้นไม่น่าจะมี ก์ แต่อย่างใด

แต่ถ้าจะใช้ ก์ อย่างที่ท่านผู้หญิงใช้  ก็ไม่น่าจะเป็นข้อผิดพลาดอะไร

ท่านผู้หญิงเปลี่ยนอาจจะนำพระราชดำรัสของรัชกาลที่ ๕ มาบวชเป็นภาษาบาลีจนเกิดคำนี้ขึ้นก็เป็นได้

ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12599



ความคิดเห็นที่ 275  เมื่อ 25 เม.ย. 11, 09:33

คำศัพท์ที่หมายถึงคนทำอาหารมีอยู่คำหนึ่งคือ "วิเสท" รอยอินท่านให้ความหมายว่า "ผู้ทํากับข้าวของหลวง" ซึ่งเป็นผู้หญิง ถ้าเป็นผู้ชายมีอีกคำหนึ่งซึ่งปรากฏในหมายรับสั่งครั้งรัชกาลที่ ๒ ว่า "หัวป่าพ่อครัว"

แสดงว่า คำว่า "หัวป่า" อันหมายถึง คนทำอาหารมีมานานตั้งแต่รัชกาลที่ ๒ แล้ว

ในบทความเรื่อง วรรณคดีสะท้อนชีวิต โดย  จุลลดา ภักดีภูมินทร์   นิตยสารสกุลไทย ฉบับที่ ๒๗๒๗ ปีที่  ๕๓ ประจำวัน  อังคาร ที่  ๒๓ มกราคม  ๒๕๕๐ เขียนถึงเรื่องนี้ไว้ว่า

เรื่อง วิเสท นี้มีผู้ถามมาบ่อยครั้งเหมือนกัน ว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงกันแน่ ในพจนานุกรมบอกแต่ว่า ผู้ทำกับข้าวของหลวง

ผู้เล่าเองก็ไม่แน่ใจว่า วิเสท นี้จะมีผู้ชายทำงานเป็นพวก วิเสท ด้วยหรือเปล่า แต่เมื่อค้นดูเอกสารเก่า ๆ ที่เก่าที่สุดและที่มีเรื่องของ วิเสท อยู่ด้วย ก็คือ หมายรับสั่งรัชกาลที่ ๑ และรัชกาลที่ ๒ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๓๔๕-๒๓๖๑ ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน ๙ ฉบับ อยู่ในลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ ๑๗

ในหมายรับสั่งนั้น ๆ กล่าวถึงวิเสทถึง ๔ หน้าที่ คือ

๑.วิเสทนอก
๒.วิเสทกลาง
๓.วิเสทหมากพลู
๔.วิเสทฉ้อทาน

ทั้ง ๔ วิเสทนี้  เข้าใจว่าต้องเป็นผู้หญิงทั้งสิ้น ส่วนผู้ชายนั้นท่านเรียกว่า หัวป่าพ่อครัวž พวกหัวป่าพ่อครัว เห็นจะอยู่แต่ที่โรงวิเสท นอกพระราชวัง มิได้เข้าไปเกี่ยวข้องเข้าออกในวัง

ในหมายรับสั่งมีดังนี้

อนึ่งให้วิเสทกลาง ของคาว ของหวาน แต่งสำรับถวายพระสงฆ์ เวลาเพลเวลาหนึ่ง คาวสำรับละสลึง ๓๒ สำรับ หวานสำรับละเฟื้อง ๓๒ สำรับ...ฯลฯ...

อนึ่งให้วิเสทนอก แต่งพานเข้าตอก ซองแว่นขมิ้น มะกรูด มะพร้าว ส่งให้สนมพลเรือนไปโยงศพ แต่ ณ วันพฤหัสบดี...ฯลฯ...แล้วให้วิเสทฉ้อทาน เบิกเข้าสารต่อกรมนา ๑๕ ถังมาหุงเข้าห่อเลี้ยงไพร่ชักศพ ๒๕๐ ห่อ...ฯลฯ...

อนึ่งให้วิเสทหมากพลูก แต่งเภสัชอังคาสน์ สวดฉันน้ำชายาเสียงส่งให้สังฆการี สนมพลเรือนถวายพระสงฆ์

ข้างบนนี้เป็นหมายรับสั่งพระราชทานเพลิงศพ พระบวรญาณมุนี วัดราชบุรณะ พ.ศ.๒๓๕๘

อีก ๒ ฉบับ กล่าวถึง หัวป่าพ่อครัวว่า

อนึ่งให้หัวป่าพ่อครัว รับเครื่องน้ำชาต่อวิเสทหมากพลู ต้มถวายพระสงฆ์คู่สวดทั้งเวลากลางวันกลางคืน          

อนึ่งให้วิเสทนอกจัดซองทองแว่น พานเข้าตอก...ฯลฯ...

อนึ่งให้วิเสทหมากพลู แต่งเภสัชอังคาสน์ สวดฉันเช้าเพล...ฯลฯ...แล้วให้จัดเครื่องน้ำชาส่งให้หัวป่าพ่อครัว ไปต้มถวายพระสงฆ์

๒ ฉบับนี้เป็นหมายรับสั่งงานพระเมรุและงานพระราชทานเพลิงพระศพ พ.ศ.๒๓๕๘ เช่นกัน

 ยิงฟันยิ้ม
 
 
บันทึกการเข้า
hobo
พาลี
****
ตอบ: 324


ความคิดเห็นที่ 276  เมื่อ 25 เม.ย. 11, 17:27

ขอบคุณคุณเพ็ญชมพูมากครับที่หาข้อมูลมาเพิ่ม น่าประหลาดที่ชื่อมาตรงกันทำให้สับสนไม่น้อย
บันทึกการเข้า
ธีร์
มัจฉานุ
**
ตอบ: 54



ความคิดเห็นที่ 277  เมื่อ 26 เม.ย. 11, 17:01

เรียนถามท่านอาจารย์ทุกท่าน

บังเอิญไปหาขนมชะมด ได้ความว่า  "ขนมชะมด เป็นขนมที่มีหลักฐานว่ามีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาและสุโขทัย มีกล่าวไว้ในจดหมายเหตุว่า ในตลาด

ขายขนมหรือ  ป่าขนม  มีขนมชะมดขายด้วย"

มีคำว่า ป่าขนม สงสัยว่าป่าไปเกี่ยวข้องอะไรกับขนม พยายามนึกว่าเป็นคำไหนในภาษาต่างชาติ

เป็นไปได้ไหมครับว่าน่าจะเป็นคำว่า "park" ในภาษาอังกฤษครับ
บันทึกการเข้า
siamese
หนุมาน
********
ตอบ: 7165


หนุ่มรัตนะกับภูเขาทอง


ความคิดเห็นที่ 278  เมื่อ 26 เม.ย. 11, 18:48

เรียนถามท่านอาจารย์ทุกท่าน

บังเอิญไปหาขนมชะมด ได้ความว่า  "ขนมชะมด เป็นขนมที่มีหลักฐานว่ามีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาและสุโขทัย มีกล่าวไว้ในจดหมายเหตุว่า ในตลาด

ขายขนมหรือ  ป่าขนม  มีขนมชะมดขายด้วย"

มีคำว่า ป่าขนม สงสัยว่าป่าไปเกี่ยวข้องอะไรกับขนม พยายามนึกว่าเป็นคำไหนในภาษาต่างชาติ

เป็นไปได้ไหมครับว่าน่าจะเป็นคำว่า "park" ในภาษาอังกฤษครับ

ภาษาไทยยุคสมัยตั้งแต่สุโขทัย ไม่ได้เพี้ยนมาจากภาษาอังกฤษ เนื่องจากการค้าการเดินเรือของชาวยุโรปยังมาไม่ถึง มีแต่บรรดาเรือพ่อค้าจากเปอร์เซีย จากอินเดีย จากจีน ที่ล่องเรือค้าขายในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งในสมัยสุโขทัยมีคำว่า "ตลาดปสาน" ซึ่งน่าจะมาจากภาษาเปอร์เซีย Barzar (บาร์ซาร์) คือ ตลาดที่ขายเป็นล๊อค เป็น บูธ เหมือนตลาดนัดสมัยนี้ ซึ่งเดิมตลาดจะไม่มีทุกวัน จะนัดรวมตัวกันมาขายของ ทั้งตลาดบก และตลาดน้ำ

สำหรับแหล่งชุมชนที่มีการทำสิ่งของเพื่อขายเหมือนๆกัน ที่เราเรียกว่า "ย่าน" หรือ "ป่า" นำหน้า เช่น ป่าตะกั่ว (ขายตะกั่ว), ป่าขนม (ขายขนม), ป่าตอง (ขายใบตอง) เริ่มก่อตัวเป็นพัฒนาเป็นตลาดบก และเห็นเด่นชัดในสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งมีการขายสินค้าตามถนนเป็นกลุ่มๆกัน

ดังเช่นสมัยนี้ ย่านขายเพชร เราก็ไปแถวพาหุรัด บ้านหม้อ , ย่านขายผ้า ต้องไปสำเพ็ง, ย่านขายดอกไม้ไฟ ต้องไปตลาดบ้านดอกไม้, ย่านขายผลไม้ เราต้องไปตลาดมหานาค เป็นต้น
บันทึกการเข้า
ธีร์
มัจฉานุ
**
ตอบ: 54



ความคิดเห็นที่ 279  เมื่อ 27 เม.ย. 11, 14:06

 ตกใจ ลืมเรื่องนี้ไปได้ อายจัง ขอบคุณคุณ siamese  ด้วยครับ  ยิ้ม
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 17 18 [19]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.067 วินาที กับ 19 คำสั่ง