เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 6 7 [8] 9 10 ... 19
  พิมพ์  
อ่าน: 141234 ของเสวยในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5
siamese
หนุมาน
********
ตอบ: 7165


หนุ่มรัตนะกับภูเขาทอง


ความคิดเห็นที่ 105  เมื่อ 21 มี.ค. 11, 16:35

เห็นคุณเพ็ญชมพูกล่าวถึง "ความฝัน" จึงรบกวนถามคุณเพ็ญชมพูว่า เคยอ่านเจอเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เคยทรงรำลึกถึงเสด็จยาย ด้วยเคยทำอาหารประเภทหนึ่ง ซึ่งไม่ได้เสวยมานานมาแล้ว จึงให้เจ้าจอมทำมาถวาย และทรงตรัสว่าไม่ได้เสวยมานานมาก พอได้เสวยก็รำลึกถึงตอนทรงพระเยาว์ ผมก็พยายามนึกๆไม่ออก คุณเพ็ญฯ พอมีข้อมูลไหมครับ

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงเคารพรักและเกรงพระทัยสมเด็จกรมพระยาสุดารัตนราชประยูร มาก ทรงยกย่องเสมอพระชนนีตรัสเรียกว่า “เสด็จยาย” และโปรดให้พระราชโอรสพระธิดาออกพระนามว่า “ทูลหม่อมย่า” และชาววังออกต่างออกพระนามว่า “ทูลกระหม่อมแก้ว”


บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12599



ความคิดเห็นที่ 106  เมื่อ 21 มี.ค. 11, 16:43

มหาเสวกเอก พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ เขียนลงในบันทึกชื่อ “บุรุษรัตน” ว่า ในครั้งสมัยรัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสยุโรปครั้งที่สอง  พ.ศ. ๒๔๕๐ ได้ทรงนำกะปิไปด้วย และรับสั่งกับพระยาบุรุษรัตนราชพัลลภว่า

“ข้าฝันไปว่าเสด็จยาย (สมเด็จพระเจ้ามไหยิกาเธอ กรมพระยาสุดารัตนราชประยูร) ทรงปรุงข้าวคลุกกะปิให้กินอร่อยมาก ทำให้ข้าอยากกินข้าวคลุกกะปิ ให้เจ้าเตรียมกะปิและเครื่องต่าง ๆ สำหรับปรุงไว้ให้ข้า พรุ่งนี้ข้าตื่นนอนข้าจะคลุกเอง”


 ยิงฟันยิ้ม


บันทึกการเข้า
siamese
หนุมาน
********
ตอบ: 7165


หนุ่มรัตนะกับภูเขาทอง


ความคิดเห็นที่ 107  เมื่อ 21 มี.ค. 11, 16:46

มหาเสวกเอก พระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ เขียนลงในบันทึกชื่อ “บุรุษรัตน” ว่า ในครั้งสมัยรัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสยุโรปครั้งที่สอง  พ.ศ. ๒๔๕๐ ได้ทรงนำกะปิไปด้วย และรับสั่งกับพระยาบุรุษรัตนราชพัลลภว่า

“ข้าฝันไปว่าเสด็จยาย (สมเด็จพระเจ้ามไหยิกาเธอ กรมพระยาสุดารัตนราชประยูร) ทรงปรุงข้าวคลุกกะปิให้กินอร่อยมาก ทำให้ข้าอยากกินข้าวคลุกกะปิ ให้เจ้าเตรียมกะปิและเครื่องต่าง ๆ สำหรับปรุงไว้ให้ข้า พรุ่งนี้ข้าตื่นนอนข้าจะคลุกเอง”


 ยิงฟันยิ้ม

 อายจัง อายจัง อายจัง แหมอายจังเลยครับ อ่านไม่ละเอียดพอ ข้าวคลุกกะปิ ผ่านไปไม่กี่วันนี่เอง  อายจัง อายจัง อายจัง
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 108  เมื่อ 21 มี.ค. 11, 16:50

ถ้าคุณเพ็ญชมพูมีพระราชนิพนธ์ไกลบ้าน  กรุณาหาให้อีกตอนได้ไหมคะ  ที่ทรงบรรยายว่าทรงฝันเห็นกับข้าวไทยสารพัดชนิดมารบกวน

มะเขือต้ม คือมะเขือยาวต้มสุกใช่ไหม
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12599



ความคิดเห็นที่ 109  เมื่อ 21 มี.ค. 11, 17:11

เรื่อง "ข้าวคลุกกะปิ" นี้เกิดครั้งขากลับ ในเรือชื่อ "พะม่า"

หลังจากมีรับสั่งกับพระยาบุรุษรัตนพัลลภแล้ว มีรับสั่งให้ไปบอกคุณพระผู้หนึ่งให้ไปสั่งกุ๊กในเรือให้หุงข้าวให้หม้อหนึ่ง แต่่อย่าไปสั่งกุ๊กให้ยุ่งยากเกินไป ปรากฏว่า่คุณพระผู้นั้น เมื่อไปสั่งกุ๊กไม่สั่งเปล่าไปชี้แจงกำกับการแสดงจนกุ๊กทำไม่ถูก อันที่จริงกุ๊กในเรือก็หุงข้าวเป็น แต่วันนั้นเคราะห์ไม่ดีหุงข้าวไม่สำเร็จ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบ ก็ถอนพระทัยฮือ และนิ่งอั้นอยู่มิได้รับสั่งประการใด พระยาบุรุษรัตนพัลลภจึงกราบบังคมทูลว่าได้ลองหุงพระกระยาไว้หม้อหนึ่งแล้ว รับสั่งให้ยกมาดู ทรงทอดพระเนตรแล้วรับสั่งว่า "เออใช้ได้" แล้วเสด็จจากพระเก้าอี้ลงมาประทับขัดสมาธิบนพื้น ทรงตักพระกระยาคลุกกับกะปิและเครื่องปรุงที่พระยาบุรุษฯ เตรียมไว้ แล้วเสวยด้วยความเอร็ดอร่อย


เก็บความจาก เรื่อง ปกิณณกะในรัชกาลที่ ๕ โดย นายแพทย์นวรัต ไกรฤกษ์ บุตรพระยาบุรุษรัตนพัลลภ

 ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12599



ความคิดเห็นที่ 110  เมื่อ 22 มี.ค. 11, 08:38

ถ้าคุณเพ็ญชมพูมีพระราชนิพนธ์ไกลบ้าน  กรุณาหาให้อีกตอนได้ไหมคะ  ที่ทรงบรรยายว่าทรงฝันเห็นกับข้าวไทยสารพัดชนิดมารบกวน

เรื่องนี้อยู่ใน บรรทึกความหิว ทรงบรรยายว่าถึงแม้บนเรือพม่าจะมีอาหารอย่างอุดมสมบูรณ์ แต่ก็เป็นอาหารฝรั่ง เสวยไม่คล่อง  ดังนั้นคืนวันหนึ่งพอตกดึกอาหารไทยทั้งหลายแหล่ก็พาเหรดมารบกวนอยู่หน้าพระพักตร์ จนพระองค์ต้องรับสั่งให้หุงข้าวสำหรับทำ "ข้าวคลุกกะปิ" ในเวลาเช้า

ความอุดมสมบูรณ์ของอาหารบนเรือพม่า

บรรทึกความหิว
กลางคืนวันเสาร์ที่ ๑๙ ตุลาคม
เรือพม่า ในทเลเมดิเตอเรเนียน
(กำหนดเปลี่ยนเที่ยงคืน) ร.ศ. ๑๒๖

ในการที่จะเขียนลงไปนี้ จำจะต้องป้องกันไม่ให้เข้าใจผิดไปว่าอาหารในเรือลำนี้ไม่ดีจึงต้องหิว ถ้าจะว่าตามความ่จริงเปนเวลาที่อาหารดีคราวหนึ่ง ซึ่งมีเหมือนเช่นนี้ แต่น้อยแห่ง อาหารนั้นดังนี้

เวลาเช้าไข่ จะชอบอย่างไรสั่งได้ แต่พ่อกินไข่ไม่ได้ตั้งแต่ฮอมเบิค  มีปลา ปลาจับบทดีมาแต่ซิซิลี ในเรือนี้ปลาดีเสมอ แต่ผีฤๅปีศาจปลาเยอรมันมาหลอกร่ำไป จนเลยกลัวกินปลาไม่ใคร่จะได้ เพราะฉะนั้นเวลาเช้าจึงเลิกปลาเสียอีกอย่างหนึ่ง เหลือแต่เนื้อ เปนแกะฤๅโควันละ ๒ ชิ้นจานหนึ่ง เนื้อเย็นต่าง ๆ (ซึ่งไม่มีแห่งใดทำดีกว่าในเรือนี้) จานหนึ่งรวมกัน ขนมมี แต่เปนโรคเก่า ที่พ่อกินไม่เปน เหลือแต่ลูกไม้กับน้ำชา น้ำชามีน้ำตาลแลนม เขากินเปนน้ำ แต่เราต้องแถมน้ำเย็น ซึ่งฝรั่งกินไม่เปน

เวลากลางวันมีเนื้อเย็นต่าง ๆ ตั้งกว่า ๑๖ อย่าง จัดจานใหญ่ทั้งก้อนหั่นเป็นชิ้น ๆ วางไว้บนก้อนเนื้อให้น่ากิน วางด้วยความคิดให้เห็นเปนหั่นไว ๆ ไม่ใช่เีรียงฤๅประดับไว้ ที่สุดจนถ้ามีเครวีจะรดก็รดให้เข้าที คือไม่ให้เห็นเปนเปรอะเปื้อน ที่ไหนเครวีกองก็กองอยู่ไม่มีรอยแตก ที่ไหนจานเปล่าก็ขาวสอาด เนื้อเย็นเหล่านี้ คืออกห่าน หมูแฮมต้มจือ ลิ้นเค็ม ไก่ เนื้ออัดต่าง ๆ ไส้กรอก ปลาเค็มเป็นต้น ยังมีปลาสดโรยผงขนมปังทอด แลเนื้อสดอีก ๔-๕ ที่ ตั้งด้วยเครืองแกล้ม แตงร้านแช่ผักดอง ขวดน้ำส้ม น้ำซอส เครื่องหิ้ว ตั้งขัดจังหวะจาน ดูโต๊ะเหมือนในตำราทำกับเข้า จานที่จัดเหมือนเครื่องตุ๊กตาที่เคยเล่นมาแต่เด็ก ๆ รวมความว่าน่ากิน รศอร่อย กินเค็มเปนไม่เลี่ยน ไม่เคยเห็นบริบูรณ์กว่านี้

แต่ในเวลาเราไปนั่งแล้วใช่ว่าจะต้องกินของเหล่านั้นเปล่า มีกับเข้าร้อน ๆ เข้าไปเดินอย่างธรรมดาสามคราว คือ ไข่่เจียว ปลา เนื้อ ซึ่งพ่อกินอย่างเดียวเหมือนกัน ต่อเสร็จสามอย่างจึงถึงของที่วางอยู่บนโต๊ะ

เวลาค่ำเปนดินเนอตามธรรมเนียม คือซุป ปลา เนื้อ นก ผัก ขนม ผลไม้ ของกินเล่น แต่กาแฟกินบนดาดฟ้าเมื่อมาในตอนนี้ เพราะเย็นสบายกว่าในห้องสูบบุหรี่ ทั้งการกินดีมีบริบูรณ์เช่นว่ามานี้ พ่อก็กินไม่ได้มา ไม่ใช่เพราะเจ็บไข้อันใด แต่เปนด้วยลำคอ ฤๅกระเภาะอาหารไม่บานรับอาหารที่แห้งแขงแลรศเดียวเช่นนี้ กลืนลงไปก็แคบเสียเฉย ๆ ต้องการหวายสักเส้นหนึ่งกระทุ้งเหมือนกรอกปรอดศพ แต่ถ้าเข้าต้มฤๅเข้าสวยถูกลำคอเข้าดูมันแย้มโล่งลงไปตลออกระเภาะอาหาร เมื่อเล่าความเปนอยู่เช่นนี้แล้ว จะเล่าถึงเหตุที่เกิดขึ้นในวันที่ ๑๘ ตอนดึก ซึ่งเปนวันทีี ๑๙ แล้วนั้นต่อไป
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12599



ความคิดเห็นที่ 111  เมื่อ 22 มี.ค. 11, 09:01

อาหารไทยผลัดเปลี่ยนเวียนวนกันมารบกวนพระทัย

พ่อนอนหลับ ๗ ทุ่ม ไปตื่นขึ้นด้วยความหิวได้ความว่า ๑๐ ทุ่มครึ่ง นึกว่าจะแก้ได้ตามเคยคือดื่มน้ำลงไปเสียสัก ๓ อึก จึงได้ดื่ม แล้วนอนสมาธิต่อไปใหม่ ให้เสียว ๆ ในคอ แลเห็นปลากุเราทอดใส่่จานมาอยู่ที่ไนยตา ขับไล่กัน พอจะจางไป ไข่เค็มเปนมันย่องมาโผล่ขึ้นแทน แล้วคราวนี้เจ้าพวกแห้ง ๆ ปลากระบอก หอยหลอด น้ำพริก มาเปนแถว เรียกน้ำชามากินเสียครึ่งถ้วย เปิดไฟฟ้าขึ้นอ่านหนังสือจะให้ลืมพวกผีปลาผีหอยมาหลอก หนังสืออิลิซาเบทก็หมด เมื่ีอแรกนอนเหลือแต่หนังสือตอบของยายแม่มีไปถึงลูก ที่ลงมือไว้เมื่อกลางวัน เพราะไม่มีอะไรทำ ผเอิญถูกที่ยายนั่นไปเมืองลูเซิน แกพูดถึงไปกินเข้าที่โฮเตลนะชะนาล เมื่อหัวค่ำต้องการหวายกระทุ้ง ทำไมมาอ่านหนังสือนี้กลับเห็นไปว่าดูพอใช้ได้ ให้กินเวลาหิวนี้ก็เอา แต่พอนึกขึ้นอ้ายกับเข้าฝรั่งโผล่หน้าสลอนขึ้นมาแล้ว ดู ๆ ไปมันก็เลี่ยนทั้งนั้น แต่ถ้าเวลานี้ดูก็เห็นจะใช้ได้บ้าง กลับรู้สึกตัวฉุนขึ้นมา อียายนี่ตะกลามนักคบไม่ได้ มาพรรณาแต่ถึงกับเข้า ชวนให้อยากมาก โยนหนังสือผลุงเอาน้ำชามารินเอาน้ำตาลเติมลงไปซด แรกกินก็ดูดี รู้สึกว่าอ้ายรศชาดหิวเช่นนี้เคยมาเสียหนัก แต่ครั้งเปนเณรแล้วเปนพระแล้ว มันก็หายกันด้วยน้ำตาลเท่านี้เอง ลงมือชักม่านดับไฟพยายามจะหลับ ทำไม่มันจึงนึกต่อไปไม่รู้ว่าเขาว่ากันว่าหิวแล้วกินหวาน ๆ ยิ่งหิวมาก  เขากินขนมเสียก่อนจึงกินเข้าก็มี ในกำลังนึกอยู่นั้นเองเข้ากับแกงเผ็ดโผล่ขึ้นมาในไนยตาที่หลับ ๆ ประเดี๋ยวไข่เจียวจิ้มน้ำพริก ประเดี๊ยวทอดมันกุ้ง ปลาแห้ง ผัดอะไรพากันมาล้อหลอกเสียใหญ่ หลับตาไม่ได้ต้องลืม ลืมก็แลเห็นแกงเทโพหลอกได้ทั้งกำลังตื่น ๆ เช่นนั้น จนชั้นยำแตงกวาก็พลอยกำเริบ ดีแต่ปลาร้าขนมจีนน้ำยาฤๅน้ำพริก สงสารไม่ยักมาหลอก มีแต่เจ้ากะปิคั่วมาเมียงอยู่ใกล้ ๆ เห็นจะไม่ได้การสู้มันไม่ไหว เรียกอ้ายฟ้อนไปคลำ ๆ ดู มันมีลูกไม้อะไรอยู่ที่ไหนไม่ว่า ให้เอามาให้กูลูกหนึ่ง อ้ายฟ้อนไปสักครู่หนึ่งกลับมาบอกว่า "มีแต่แอ๊บเป้อด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม" ตอบว่า "แอ๊บเปอลไม่ใช่ลูกไม้ฤๅ เอามาเถอะ" พอได้มาต้องลุกขึ้นนั่ง หั่นเคี้ยวเข้าไปสักครึ่งลูก นึกว่าถ้ากินมากเข้าไปเวลาดึกเห็นจะไม่ดี จึงหยุดกินแต่เท่านั้น
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12599



ความคิดเห็นที่ 112  เมื่อ 22 มี.ค. 11, 09:24

แล้วก็มาถึงเรื่อง "ข้าวคลุกกะปิ"

สั่งให้ไปบอกพระราชวรินทร์ เวลาเช้าให้ไปบอกให้กุ๊กในเรือหุงเข้าสำหรับกินเวลาเช้า เพราะนึกว่าถ้าหุงเองคงจะทนช้าไม่ได้ กุ๊กเรือนี้นับว่าหุงเปน เคยไม่ดิบสองคราวมาแล้ว พอสั่งเสร็จล้มตัวลงนอน รู้ว่าผงลูกแิบเปอลตกถึงกระเภาะเท่านั้น ผีสางพวกกุ้งปลาเลยไม่หลอก หลับสนิทดี ครั้นเช้าตื่นขึ้นถามอ้ายฟ้อนว่าอย่างไร เรื่องเข้าสำเร็จฤๅไม่ อ้ายฟ้อนบอกว่าพระราชวรินทร์ไปกำกับให้กุ๊กหุงเอง เปียกบ้างไหม้บ้างสองหม้อแล้วไม่สำเร็จ พ่อรู้สึกความผิดของตัวทันที ว่าไปใช้ให้พระราชวรินทร์ไปสั่ง แกไม่สั่งเปล่า ไปขี่หลังนั่งมาติกา จนอ้ายกุ๊กทำอะไรไม่รอดตามเคย จะว่ากะไรก็ไม่ได้ ร้องได้แต่ว่า "ฮือถ้าเช่นนั้นเราต้องหุงเอง" อ้ายฟ้อนว่า "เจ้าคุณบุรุษหุงแล้ว" พอล้างหน้าแล้วก็ได้กิน พระยาบุรุษเข็ดดิบคราวก่อน เลยหุงเปียกไปนิด อ้ายเสบียงก็ "เปนตริดติดตี่่ตาศรีคงยศ จะขึ้นไปเวียง เสบียงก็หมด ตาศรีคงยศ อดแทบตายเอย" เหลือกะปิน้ำตาลติดก้นขวดเอามาปนกับมะนาวบีบ พริกป่นโรยลงไปหน่อย คลุกเข้ากินกับหมูแฮมกับฝรั่งเพลินอิ่มสบายดี คอเหมือนเปิดปากถุง ใส่ลงไปหายพร่อง ไม่ได้มาดันอยู่น่าอกเช่นขนมปังกับเนื้อเลย เวลาลงไปกินเข้ากลางวันพบพระราชวรินทร์บอกว่ากินเข้าอร่อยจริง ๆ พระราชวรินทร์คำนับแล้วอมยิ้ม
บันทึกการเข้า
siamese
หนุมาน
********
ตอบ: 7165


หนุ่มรัตนะกับภูเขาทอง


ความคิดเห็นที่ 113  เมื่อ 22 มี.ค. 11, 09:44

น่าทานมากครับ  ยิงฟันยิ้ม  "ไข่เค็มเปนมันย่องมาโผล่ขึ้นแทน"


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 114  เมื่อ 22 มี.ค. 11, 09:55

เรื่องนี้ละค่ะที่อยากได้มาลงในกระทู้   ขอบคุณคุณเพ็ญชมพูมาก
อาหารไทยที่มาหลอกหลอนพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ  คือเครื่องเสวยที่โปรดปรานทั้งนั้น   เลยหารูปมาให้ดูกัน
ใครจะช่วยหาเพิ่มเติมมาใส่ไว้ในกระทู้ ก็จะยินดีมาก

กะปิคั่ว จากเว็บสยามดารา


เครื่องปรุง

- กะปิดี 4 ช้อนโต๊ะ
- มะพร้าว 1/2 กก.
- ปลากรอบ (ป่น) 1/3 ถ้วย
- เนื้อหมู 3 ขีด
- พริกแห้ง 4 เม็ด
- ตะไคร้ 1 ต้น
- หัวหอม 3 – 4 หัว
- กระชาย 5 ราก
- น้ำตาลปีบ 1 – 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
- พริกชี้ฟ้า เหลือง – แดง 3 – 4 เม็ด
- ผักสด เช่น มะเขือ แตงกวา ขมิ้นขาว ฯลฯ

วิธีทำ

- เนื้อหมูล้างแล้วสับให้ละเอียด หั่นตะไคร้ ปอกหอมขูดกระชาย แล้วหั่นขวางบาง ๆ พริกแห้งแกะเม็ดออกแช่น้ำพอนุ่มใส่ครกโขลกรวมกับตะไคร้ หอม กระชาย จนละเอียด จึงใส่กะปิและปลาป่นลงไปโขลกให้เข้ากัน
- มะพร้าวคั้นกะทิข้น ๆ แยกหัวกะทิใส่กระทะเคี่ยวให้แตกมัน ผัดเครื่องที่โขลกไว้ให้หอม จึงใส่หมูสับลงผัดจนทั่วแล้วเติมหางกะทิ เคี่ยวต่อไปอีก พอข้นปรุงรสด้วยน้ำตาล น้ำปลา ชิมรสตามใจชอบ เด็ดก้านพริกชี้ฟ้า เหลือง-แดง ล้างให้สะอาด
- พอกะปิคั่วข้นได้ที่แล้วใส่พริกลงคนให้ทั่ว พอพริกสุกยกลง รับประทานกับผักสด และปลาดุกฟู
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 115  เมื่อ 22 มี.ค. 11, 09:59

"แลเห็นปลากุเราทอดใส่่จานมาอยู่ที่ไนยตา "


ปลากุเลาทอด

บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12599



ความคิดเห็นที่ 116  เมื่อ 22 มี.ค. 11, 10:41

เปิดไฟฟ้าขึ้นอ่านหนังสือจะให้ลืมพวกผีปลาผีหอยมาหลอก หนังสืออิลิซาเบทก็หมด เมื่ีอแรกนอนเหลือแต่หนังสือตอบของยายแม่มีไปถึงลูก ที่ลงมือไว้เมื่อกลางวัน เพราะไม่มีอะไรทำ ผเอิญถูกที่ยายนั่นไปเมืองลูเซิน แกพูดถึงไปกินเข้าที่โฮเตลนะชะนาล

ขออนุญาตเข้าซอยเรื่องหนังสือ

คุณเทาชมพูพอทราบไหมว่า หนังสืออิลิซาเบท คือหนังสืออะไร เกี่ยวข้องกับ หนังสือตอบของยายแม่มีไปถึงลูก หรือไม่

 ฮืม
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 117  เมื่อ 22 มี.ค. 11, 10:49

อ้างถึง
หนังสืออิลิซาเบทก็หมด เมื่ีอแรกนอนเหลือแต่หนังสือตอบของยายแม่มีไปถึงลูก ที่ลงมือไว้เมื่อกลางวัน เพราะไม่มีอะไรทำ ผเอิญถูกที่ยายนั่นไปเมืองลูเซิน แกพูดถึงไปกินเข้าที่โฮเตลนะชะนาล เมื่อหัวค่ำต้องการหวายกระทุ้ง ทำไมมาอ่านหนังสือนี้กลับเห็นไปว่าดูพอใช้ได้

ตอนอ่านก็สะดุดเหมือนกัน    ถอดความออกมาได้ว่ามีหนังสือ ๒ เล่มที่ทรงอ่านขณะประทับอยู่ในเรือ

เล่มแรกทรงเรียกว่า หนังสืออิลิซาเบท    ทรงอ่านจบแล้ว     อาจเป็นหนังสือเกี่ยวกับ "อิลิซาเบท"  เช่นพระประวัติของควีนเอลิซาเบธที่ ๑  แห่งอังกฤษ     หรือหนังสือโคลงกลอนของเอลิซาเบธ บราวนิ่ง ที่ฮิทกันมากในยุคปลายศตวรรษที่ ๑๙   ก็เป็นได้
หรืออาจเป็นหนังสืออื่นก็ได้เช่นกัน
 
เล่มที่สองเป็นหนังสือ จดหมายจากแม่ถึงลูก  คงเป็นจดหมายตอบหลายๆฉบับที่แม่เขียนถึงลูก  เล่าถึงการเดินทางในยุโรป   เพราะทรงเท้าความถึงแม่เดินทางไปถึงลูเซิน สวิตเซอร์แลนด์  ไปพักที่โรงแรมนะชะนาล (National)  เล่าถึงกินอาหารที่นั่น
เล่มที่สองนี้ อาจทรงอ่านทำนองเป็น guidebook ของการเดินทางพักแรมตามเมืองต่างๆในยุโรป    เนื่องจากเสด็จไปหลายเมืองในยุโรปเช่นกัน    คงมีคนถวายหนังสือให้อ่าน ก็ทรงอ่านเป็นแนวทาง เผื่อเสด็จถึงเมืองไหน มีอะไรน่าสนใจในนั้นจะได้ไปทอดพระเนตร
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 118  เมื่อ 22 มี.ค. 11, 13:17

แกงเทโพ



สมัยรัชกาลที่ ๕ ทำด้วยปลาเทโพจริงๆ เนื้อเป็นมันย่อง  ต่อมาหากินยากจนถึงขั้นไม่มีปลาเทโพให้กินอีกแล้ว  ปัจจุบันจึงเปลี่ยนเป็นใช้หมูสามชั้นแทน
เรียกว่าแกงหมูเทโพ
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12599



ความคิดเห็นที่ 119  เมื่อ 22 มี.ค. 11, 14:07

    เทโพพื้นเนื้อท้อง        เป็นมันย่องล่องลอยมัน
น่าซดรสครามครัน       ของสวรรค์เสวยรมย์


กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานและงานนักขัตฤกษ์ พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

แกงเทโพสมัยรัชกาลที่ ๒ ช่างน่าซดเสียนี่กระไร  มาจวบจนสมัยนี้แกงเทโพรูปโฉมใหม่มีแต่หมูสามชั้นกับผักบุ้ง



ปลาเทโพหายไปไหน


 ฮืม
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 6 7 [8] 9 10 ... 19
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.067 วินาที กับ 20 คำสั่ง