เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 2 [3] 4
  พิมพ์  
อ่าน: 23863 ขออนุญาตแปะเรื่องเขาพระสุเมรุค่ะ
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 30  เมื่อ 15 มี.ค. 01, 22:33

เขาไกรลาสเป็นคนละลุกกับเขาพระสุเมรุค่ะ  เคยอ่านพบว่ามีจริง   ป็นยอดหนึ่งของภูเขาหิมาลัย
เรื่องโองการแช่งน้ำขอผลัดไปเป็นพรุ่งนี้จะเอาส่วนที่ขาดไปมาเติมให้ค่ะ
บันทึกการเข้า
นวล.
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 31  เมื่อ 16 มี.ค. 01, 02:17

เข้ามาพอดีเห็นคุณ นกข บุ๋ง..บุ๋ง.. โองการแช่งน้ำ
แล้วเห็นอีกว่า คุณเทาชมพูผู้ใจดี จะหามาเติมให้
อิฉันเลยไม่ต้องขยับเปิดหาให้... สบายไป...

เห็นด้วยกะคุณเทาชมพู เขาไกรลาสกับเขาพระสุเมรุ
คนละลูกกัน เพราะถ้าจำไม่ผิด พระศิวะจะไม่อยู่ร่วมกับ
พระนารายณ์ หรือพระอิศวร แน่ๆ จากหนังอินตะละเดีย
ที่เคยดู เขาบอกว่ามเหสีของพระศิวะดุม้ากกกก
(พระอุมาเทวี) เพราะฉะนั้น เทพองค์อื่นจะหนีหน้ากันหม้ดดด
(ภาคมั่ว... อิ อิ)

นั่นนะซิคะ คุณเทาชมพู แล้วเหล่าช่างวาดนั้น เขาจินตการมาได้
อย่างไร นับถึงพวกขอมก็เถอะ เขานึกได้ยังไงนะ ถึงออกมาเป็น
ภูมิศาสตร์โลกโบราณอย่างที่เห็นๆ กันบนผนังโบสถ์ และคล้ายๆ
กันเสียด้วย
บันทึกการเข้า
นกข.
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 32  เมื่อ 16 มี.ค. 01, 02:41

เทวดาองค์อื่นพระศิวะอาจไม่ยอมอยู่ด้วย แต่กับพระอิศวร คงไม่เป็นไรมั้งครับ น่าจะอยู่ด้วยกันได้ ... ก็ ก็ ก็ พระศิวะเป็นองค์เดียวกับพระอิศวรนี่ครับ...
แซวนิดหน่อย ล้อเล่นครับป้านวล
ยอมรับว่าผมยังงๆ อยู่กับภูมิศาสตร์ไตรภูมิ เขาพระสุเมรุราชหรือสิเนรุราชนี่ก็ลูกหนึ่งละ เขาไกรลาสก็อีกลูก คนละลูกกัน (ตามที่คุณเทาฯ ว่า) เขาลูกที่เป็นลูกครกบดยาปั่นทะเลน้ำนมตอนกวนเกษียรสมุทร นั่นก็อีกลูก (ชื่อเขามันทร?)

ตามตำนาน พระอุมาที่คุณนวลว่าดุเหลือหลายนั้น เป็นลูกสาวของภูเขาหิมาลัย ซึ่งตำนานสมมติให้เป็นเทพชื่อ ท้าวหิมวัต ชื่อหนึ่งของพระอุมายังชื่อ ปารพตีเลย (แปลว่าแม่นางชาวเขา)

ผมอยากจะเดาว่า ในจินตนาการ เขาไกรลาส(ของพระอิศวร) กับ เขาพระสุเมรุ (ซึ่งล้อมรอบด้วยป่าหิมพานต์) อาจจะเป็นคนละเทือกกัน แต่ผมเชื่อว่า คนอินเดียได้ต้นเค้าของตำนานไปจากเทือกเขาเทือกเดียวกัน คือเทือกหิมาลัยที่มีอยู่จริง หยิบของจริงที่เขาเห็นเอาไปแต่งนิทานเป็นเขาคนละลูก (รวมท้าวหิมวัตพ่อพระอุมาด้วยเป็นลูกที่ 3)
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 33  เมื่อ 16 มี.ค. 01, 10:20

ไปเปิดตู้หนังสือดูแล้ว มีแต่วรรณคดีอยุธยาเล่ม ๒-๓
ส่วนเล่ม ๑ ซึ่งมีโองการแช่งน้ำพิมพ์อยู่ครบ    ไม่พบ
(มันจะเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้เสมอเวลาหาหนังสืออะไรที่ต้องการ)
ดิฉันพบบางบทกะท่อนกะแท่นอยู่ในหนังสืออื่น  

เป็นอันว่าถอดความคร่าวๆให้ฟังก่อนนะคะ  แล้วถ้าคุณนวลจะใจดี(ขออ้อนค่ะ) ก็คงจะนำทั้งเรื่องมาลงให้คุณหนุ่มข้างบนนี้ได้อ่านตามประสงค์
ส่วนอ่านแล้ว  เธอจะนำไปสาบานกับใคร หรือแช่งใคร ก็แล้วแต่เถอะค่ะ
ขอตัวไปพิมพ์มาแปะก่อนค่ะ
บันทึกการเข้า
วรวิชญ เวชนุเคราะห์
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 34  เมื่อ 16 มี.ค. 01, 11:20

คงจะจำเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปไม่นาน คือเมื่อต้นปีประมาณเดือนมกราคม 2544 ที่ประเทศอินเดียมีพิธีอาบน้ำในแม่น้ำคงคา เรียกว่ากุมภเมลา ชาวอินเดียทั่วโลกที่นับถือศาสนาฮินดู จะเดินทางไปยังเมืองพาราณสี เมืองอิสลามาบัด หรือเมืองเก่าๆที่อยู่ริมแม่น้ำคงคาเพื่ออาบน้ำในแม่น้ำแห่งนั้น ด้วยความเชื่อว่าเมื่อครบ12ปีคือหนึ่งรอบนักขัต พระอิศวรจะเปิดโถน้ำศักดิ์สิทธิ์ เทไหลจากยอดเขาไกรลาสมาตามแม่น้ำคงคาสู่เมืองมนุษย์ แต่เดิมนั้นชาวฮินดูจะมารออาบเพียงวันเดียว เพราะน้ำศักดิ์สิทธิ์จะไหลออกสู่ทะเลหมด ภายหลังผู้คนมากขึ้นจึงเพิ่มวันอาบ จนกระทั่งครั้งหลังสุดนี้มีพิธีอาบอยู่ถึงหกสัปดาห์ มีชาวฮินดูเข้าพิธีประมาณ60ล้านคน (ตัวเลขนี้ไม่แน่นอนนะครับ) คนหนึ่งจะอาบได้เพียงครั้งเดียว แล้วอีก12ปีค่อยกลับมาอาบใหม่
เล่าให้ฟังเพียงสังเขปนะครับ ถ้าจะเอาความแน่นอนต้องขอค้นจากบันทึกเก่า - วรวิชญ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 35  เมื่อ 16 มี.ค. 01, 14:04

ขอบคุณค่ะคุณวรวิชญ  น่าสนใจมาก     เป็นเรื่องที่คนไทยน้อยคนจะทราบ
อยากฟังเรื่องเหล่านี้อีกค่ะ ถ้าคุณจะมีเวลาเล่าก็จะยินดีมาก
******************************
ขอต่อเรื่องโองการแช่งน้ำ ที่ไปพิมพ์มาแปะค่ะ

โองการแช่งน้ำ เป็นบทสวดที่ใช้ในพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ให้ข้าราชบริพารในอาณาจักรศรีอยุธยามาสาบานตนว่าจะซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อกษัตริย์  มิฉะนั้นจะมีอันเป็นไปด้วยเหตุร้ายต่างๆ
เริ่มตั้งแต่สมัยพระรามาธิบดีที่ ๑(อู่ทอง) (พ.ศ. ๑๘๙๓-๑๙๑๒)

เนื้อหาแบ่งเป็น ๔ ส่วน
๑) ร่ายนำ ๓ บท สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าทั้ง ๓ ของพราหมณ์ คือพระนารายณ์ พระศิวะ และพระพรหม  โดยอธิบายลักษณะของแต่ละองค์ให้เห็นชัด แล้วลงท้ายด้วยการแทง(หรือชุบ)ศรศักดิ์สิทธิ์แต่ละเล่มลงไปในน้ำที่ใช้ดื่มเพื่อทำพิธี

โอมสิทธิสรวงศรีแกล้ว   แผ้วมฤตยู  เอางูเป็นแท่น  แกว่นกลืนฟ้ากลืนดิน  บินเอาครุฑมาขี่  สี่มือถือสังข์จักรคทาธรณี  ภีรุอวตาร  อสูรแลงลาญทัก  ททัคคนีจรนาย(แทงพระแสงศรปลัยวาต)

๒) กล่าวย้อนไปถึงความเป็นมาของโลกตามศาสนาพราหมณ์   ที่เชื่อกันว่าโลกจะแตกดับเป็นคราวๆ ก่อนพระพรหมสร้างขึ้นมาใหม่    เริ่มต้นด้วยไฟบรรลัยกัลป์มาล้างโลก( ใบก่อน)

นานาอเนกน้าวเต็มกัลป์    จักว่าจักราพาฬเมื่อไหม้   กล่าวถึงตระวันเจดอันพลุ่ง  อันพลุ่งน้ำแล้งไข้ขอดหาย  เจดปลามันพลุ่งหล้าเป็นไฟ   จวบจตุราบายแผ่นขว้ำ   แผ่นขว้ำชักไตรตรึงษ์เป็นเผ้า   เป็นเผ้าแลบล้ำ  สีลอง

เริ่มต้นที่จักรวาลเกิดร้อน (หมายถึงโลก) พระอาทิตย์เจ็ดดวงร้อนเป็นไฟจนน้ำในมหาสมุทรแห้งขอด  ไฟก็ลามลงไปติดปลาใหญทั้งเจ็ดที่แบกโลกอยู่   กลายเป็นไขมันติดไฟลุกท่วมโลก  ท่วมขึ้นไปถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้วลามขึ้นไปอีกเรื่อยจนกระทั่งทุกอย่างถูกไฟล้างสูญไปหมด  ต่อจากนั้นพระพรหมก็สร้างโลกขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
ในกำเนิดใหม่ของโลก  พระพรหมสร้างพระอาทิตย์ พระจันทร์  และสร้างมนุษย์ขึ้นจากพรหม แต่ว่าพรหมเหล่านั้นลงมากินง้วนดิน(ดินซึ่งมีรสอร่อยบนโลก)  จึงต้องตกอยู่บนโลกกลับขึ้นไปชั้นพรหมอีกไม่ได้   ง้วนดินเสื่อมสูญก็เกิดข้าวสาลีไม่มีเปลือกขึ้นมาแทน   ผู้กินเข้าไปก็แบ่งเพศเป็นชายหญิงเกิดกามราคะ   ต่อมาข้าวสาลีสูญไปก็ต้องปลูกข้าวกินเอง  เกิดแบ่งเป็นเขตแดน แย่งชิงฆ่าฟันกัน  ในที่สุดก็ต้องเลือกมนุษย์ที่สติปัญญาดี แข็งแรง รูปงามกว่าคนทั้งหลายขึ้นเป็นหัวหน้า  กลายเป็นที่มาของกษัตริย์

๓)เชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาเป็นพยานและลงโทษผู้ทรยศการถือน้ำ   คือพระรัตนตรัย  เทพ  ภูติผีปีศาจ  มองในเชิงสังคมจะเห็นได้ว่าเป็นส่วนผสมของ ๓ ศาสนา คือพุทธศาสนา   พราหมณ์ และความเชื่อพื้นเมือง    เพราะมีทั้งพระนารายณ์ พระศิวะ พระพรหม มีแม้แต่พระรามพระลักษณ์
ส่วนผีพื้นเมืองก็คือเจ้าป่า (ภูติพนัสบดี) ศรีพรหมรักษ์  ยักษ์กุมาร ซึ่งพบในลิลิตพระลอ  เป็นผีดั้งเดิมในถิ่นแหลมทอง

๔)  แจกแจงรายละเอียดการลงโทษอย่างพิลึกน่าสะพึงกลัว ด้วยการตายในสารพัดรูปแบบ   และการให้รางวัลผู้ซื่อสัตย์ด้วยดี เช่นการปูนบำเหน็จรางวัลและยศศักดิ์
พิธีถือน้ำ เป็นพิธีที่เคร่งครัดกันมากตลอดอยุธยาจนถึงรัตนโกสินทร์    เลิกไปเมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕
มันสะท้อน concept of loyalty โดยตรงอย่างที่เคยเขียนไว้ในเรื่องพระเจ้ากรุงธนบุรี  แต่ถ้าถามว่าได้ผลไหม  ดิฉันเห็นว่าไม่ได้  เพราะมีการชิงบัลลังก์นองเลือดกันทุกราชวงศ์ในสมัยอยุธยา  แต่พอใครขึ้นมาครองได้ก็จะดำเนินพิธีนี้ต่อไป  ไม่ว่าตัวเองเคยทำตามที่สาบานไว้ในแผ่นดินก่อนหรือไม่ก็ตาม
บันทึกการเข้า
พวงร้อย
สุครีพ
******
ตอบ: 904


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 36  เมื่อ 16 มี.ค. 01, 14:36

อ้อ ดีจังค่ะ  ไปเขียนข่าวในหน้าข่าววิชาการไว้เกี่ยวกับพิธีนี้เมื่อเดือนก่อนค่ะ  ดิฉันก็ไม่รู้เรื่องตำนานนี้เลยค่ะ  

ถ้าไม่เป็นการรบกวนเกินไป  คุณ วรวิชญ ช่วยแก้ไขเพิ่มเติมในด้านตำนานที่มาของพิธีนี้ให้หน่อยได้มั้ยคะ  

ดิฉันก็เขียนยังไม่ถูกเลยค่ะ  ไปเห็นเค้าถ่ายภาพจากอวกาศด้วยดาวเทียมมาน่าสนใจเลยเอามาลง  

เนื่องจากมีคนไปร่วมหนาแน่น  รูปที่เอามาลงนั้นมีประมาณ ๓๐ ล้านคน  แต่ว่าในวันพิธีจริงๆมีคนมา ๗๐ ล้านคนแน่ะค่ะ  

จึงมองเห็นได้ไกลมากจากอวกาศเลยค่ะ  ข่าวอยู่หน้านี้นะคะ  



http://vcharkarn.com/snippets/board/show_message.php?dtn=dtn10&number=111' target='_blank'>http://vcharkarn.com/snippets/board/show_message.php?dtn=dtn10&number=111
บันทึกการเข้า
นกข.
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 37  เมื่อ 16 มี.ค. 01, 17:46

เรื่องพรหมกินง้วนดินจนกลายเป็นคน และต้องมีกษัตริย์ปกครองนั้น ดูเหมือนจะมาในพระพุทธศาสนามากกว่าศาสนาพราหมณ์ ผมไม่แน่ใจว่ามาจากพระสูตรบาลีเล่มไหน - อัคคัญญสูตร? - แต่จำได้ว่า นักรัฐศาสตร์ไทยบางท่าน เช่น ศ. ดร. ชัยอนันต์ฯ เคยเปรียบเทียบความคิดเรื่องการกำเนิดของสังคม และของรัฐตามความคิดฝรั่ง ("รัฐบาลธรรมชาติ" ตามความคิดของล็อค ฮอบส์ รุสโซ และคนอื่นๆ ในแนวนั้น) กับแนวความคิดเรื่องที่มาของกษัตริย์ตามแนวพุทธ ซึ่งเหมือนกับที่อ้างในโองการแช่งน้ำ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 38  เมื่อ 16 มี.ค. 01, 18:04

อัคคัญญสูตร ใช่ค่ะ เป็นเรื่องในพุทธศาสนาที่อิงพราหมณ์  แต่ไม่ตรงกับกำเนิดของมนุษย์ตามที่กล่าวไว้ในศาสนาพราหมณ์ เพราะพุทธตัดเรื่องวรรณะต่างๆออกไปหมด  ไม่ยอมรับนับถือเรื่องนี้

พราหมณ์สอนว่า วรรณะต่างๆมีกำเนิดจากพรหมในส่วนต่างๆกัน   วรรณะพรหมณ์เกิดจากอุระและปากของพรหม   กษัตริย์เกิดจากแขน  แพศย์(พ่อค้า) เกิดจากท้อง และศูทร(กรรมกร) เกิดจากขาหรือเท้า
ด้วยเหตุนี้จึงถือว่าวรรณะพราหมณ์สูงสุด และศูทรเป็นวรรณะต่ำสุด  
นอกจากนี้ มีจัณฑาลซึ่งเกิดจากการผิดวรรณะ   เรียกว่าพวก untouchable วรรณะอื่นๆจะไม่เข้าไปข้องเกี่ยวด้วยเลย
บันทึกการเข้า
นวล
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 39  เมื่อ 16 มี.ค. 01, 19:22

เข้ามาแบบเขิ่นๆ เอามือกุมแก้มที่เพิ่งไปให้หมอเย็บติด
เนื่องจากถูกลูกแซวของคุณ นกข. กระทุ้งมาเสียแตก อิ อิ อิ
กลับไปอ่านที่ตัวเองคีย์ เห็นแล้วก็หัวเราะเหมือนกัน ...
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าเผลอพาลเป็นอันขาด มิฉะนั้น อาจต้อง
เสียเงินให้หมอศัลย์เย็บแผลบนหน้าได้...... อิ อิ อิ
แถมใช้โครงการสามสิบบาทต่อครั้งไม่ได้อีกด้วย... หือ หือ (เสียงร้องไห้!)

เรื่องของคุณวรวิชญน่าสนใจมาก อิฉันก็ตามดูข่าวนี้เหมือนกัน
ที่ว่าหกสัปดาห์นั้น จริงๆ แล้ว เขาก็มีฤกษ์วันดีที่สุดอยู่สามวัน(?)
ไม่ใช่หรือคะ แต่ที่น่าแปลกใจที่สุดก็คือ ในแม่น้ำคงคามีบักเตรีชนิดหนึ่ง
ที่คอยทำลายความสกปรก/พิษ ในน้ำ ซึ่งทำให้แม่น้ำคงคานั้น ไม่เกิด
น้ำเสียแต่อย่างไร ทั้งๆ ที่มีคนหลายสิบล้านคนลงไปแช่ล้างในระยะเวลา
เดียวกัน น้ำก็ยังอยู่ในระดับดี
บันทึกการเข้า
พวงร้อย
สุครีพ
******
ตอบ: 904


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 40  เมื่อ 17 มี.ค. 01, 00:53

โห จริงๆเหรอคะ  คุณนวล  ดิฉันเห็นภาพถ่ายที่ขนาดจากอวกาศ  ก็ยังเห็นคนยั้วเยี้ยยังกะรังมดแล้วคิดว่าดูไกลๆจากอวกาศก็คงพอ  
ถ้าเป็นนักข่าวต้องไปทำสกู๊ปภาคพื้นดินละก็  คงสลบแน่  บักเตรีก็แค่ฟอกนำ้แค่นั้นเอง  แต่คงฟอกกลิ่นไม่ได้มังคะ  เหวอๆๆ
บันทึกการเข้า
สวิริญช์
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 41  เมื่อ 10 เม.ย. 01, 17:42

อ่านเพลินเลยค่ะ สนุกจริงๆ
บันทึกการเข้า
หญิงมิน
อสุรผัด
*
ตอบ: 15

เรียนอยู่ค่ะ


ความคิดเห็นที่ 42  เมื่อ 17 เม.ย. 05, 01:55

 ดีจัง
บันทึกการเข้า
ju
อสุรผัด
*
ตอบ: 18

ทำงานค่ะ


ความคิดเห็นที่ 43  เมื่อ 02 ธ.ค. 05, 18:41

 ตามาอ่านบทความเก่าๆ ที่น่าสนใจค่ะ
บันทึกการเข้า
N.P.
อสุรผัด
*
ตอบ: 19

ทำงาน


ความคิดเห็นที่ 44  เมื่อ 03 ธ.ค. 05, 09:42

 ขอโทษนะครับ เพิ่งเข้ามาอ่าน มีข้อสงสัยบางประการ คือ ใน ค.ห. ที่ 25 ที่ว่า "เมรุทิศทั้งสี่คือทวีปทั้ง ๔" แต่เมรุทิศที่วัดไชยฯ มีทั้งหมด 8 หลัง อีก 4 หลังที่เหลือ จะแทนที่ด้วยคติใดครับ หรือถ้าท่านใดทราบคติอื่นที่แตกต่างออกไป โปรดนำมาลงให้ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 [3] 4
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.078 วินาที กับ 19 คำสั่ง