SILA
|
ความคิดเห็นที่ 465 เมื่อ 24 มิ.ย. 11, 17:57
|
|
เรื่องนี้ไปดูที่โรงใหญ่ ครับ
ชอบแคแรคเตอร์ Edna Mode ที่สุด ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 466 เมื่อ 24 มิ.ย. 11, 18:01
|
|
ยัย E หน้าตาและพูดจากวนมาก ทีมงานเอาบุคลิกมาจากดาราคนไหนนะคะ ตอนกำลังพิมพ์ ทรูวิชั่นกำลังออกอากาศหนังเรื่องนี้พอดี เลยได้ดูอีกครั้ง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 467 เมื่อ 24 มิ.ย. 11, 18:12
|
|
ขอแถมด้วย IGN's Top Animated Movie of All-Time ขอตอบแค่ 10 อันดับแรก 10 Snow White and the Seven Dwarfs 9 Toy Story 8 The Little Mermaid 7 Up 6 The South Park 5 The Iron Giant 4 Toy Story 2 3 The Incredibles 2 WALL-E, และ 1
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 468 เมื่อ 25 มิ.ย. 11, 10:22
|
|
ข้อมูล imdb บอกว่าแคแร็คเตอร์ เอ็ดน่า นี้วาดตามนักออกแบบเครื่องแต่งกาย 2 คน ได้แก่ Una Jones ผู้มีรูปลักษณ์และบุคคลิกดังในหนัง และ
Edith Head - costume designer ตัวแม่แห่งฮอลลีวู้ด เจ้าของออสการ์ 8 ตัว (ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงมากกว่า 30 ครั้ง) ครับ
Edith Head
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 469 เมื่อ 25 มิ.ย. 11, 10:25
|
|
แต่ตอนที่ดูอยู่ นึกถึงนักแสดงคนนี้ ครับ
Linda Hunt นักแสดงออสการ์(สาขาดาราสมทบ) ร่างเล็ก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 470 เมื่อ 27 มิ.ย. 11, 09:32
|
|
ชอบอันดับ 2 Wall - E อนิเมชั่นรักษ์โลกมากๆ ครับ
โลกในอนาคตปี 2805 ที่รกร้าง - รกขยะที่เป็นผลมาจากสังคมบริโภคนิยม ร้างผู้คน เพราะต้องอพยพไปอยู่ในยานอวกาศ เนื่องจากสิ่งแวดล้อมอบอวลด้วยมลพิษ ไร้สิ่งมีชีวิต
มิใช่ตึกระฟ้า ทว่า คือ ปิระมิดก้อนขยะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 471 เมื่อ 27 มิ.ย. 11, 09:34
|
|
หุ่นยนต์ WALL - E (Waste Allocation Load Lifter, Earth class) ออกปฏิบัติหน้าที่ประจำ จัดการเก็บขยะมหาศาล วันแล้ววันเล่า
วอลล์ อี กับขยะบางชิ้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 472 เมื่อ 27 มิ.ย. 11, 09:37
|
|
เคยดู Linda Hunt ในหนังบางเรื่อง แต่ไม่รู้ว่าชื่ออะไร จนคุณ SILA มาเล่าให้ฟัง จึงไปหาประวัติมาอ่าน ก็นับว่าเป็นดาราฝีมือดี ที่ไม่ต้องอาศัยรูปโฉมช่วยเหลือ พูดถึงดาราหญิง ก็ต้องพูดถึงดาราชายระดับตุ๊กตาทอง ที่ไม่ต้องอาศัยหุ่นมาช่วยฝีมือ Danny DeVito คุณ SILA คงจำเรื่อง Twins (1988) ที่เขาเล่นเป็นฝาแฝดของอาโนลด์คนเหล็กได้นะคะ แฝดคนหนึ่งได้แต่ยีนส์ดี อีกคนได้แต่ยีนส์ด้อย แดนนี่เล่นได้เก่งจนเชื่อได้ว่าเป็นฝาแฝดกับอาโนลด์จริง
ชนกลางอากาศกับคุณ SILA งั้นดิฉันฟังคุณเล่าเรื่องแอนนิเมชั่นต่อละค่ะ เก็บแดนนี่ไว้แค่นี้ก่อน จะลบทิ้งก็เสียดาย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 473 เมื่อ 27 มิ.ย. 11, 09:39
|
|
ต่อครับ วันหนึ่ง วอลล์ อีค้นพบเมล็ดพืช และนำไปเพาะในห้องพัก อีกวันหนึ่ง ได้พบกับหุ่นยนต์ส่งมาจากยานอวกาศเพื่อค้นหาสัญญาณสิ่งมีชีวิตบนโลก นามของเธอคือ อีวา หนังการ์ตูน ตัวนำก็เป็นหุ่นยนต์ บทสนทนาก็แทบไม่มี แต่ทำไปได้ สามารถทำให้คนดู เกิดอารมณ์ซาบซึ้งคล้อยตาม โดยเฉพาะฉากรักในอวกาศของทั้งสอง
คลิปไม่ค่อยคมชัดนัก ครับ
Lostve in Space
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 474 เมื่อ 27 มิ.ย. 11, 09:48
|
|
หุ่นยนต์ทั้งสองได้กลับมาโลก แต่วอลล์ อี เปลี่ยนไปเพราะหน่วยความจำลบเลือน อีวาผู้ตรอมตรม จุมพิตวอลล์ อี ก่อนจากลา แต่ทว่า รอยจูบนั้นทำให้เกิดไฟฟ้าสปาร์คส่งผลให้วอลล์ อี ถูกรีบู๊ทกลับคืนเป็นดังเดิม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 475 เมื่อ 27 มิ.ย. 11, 10:01
|
|
หนังจบลงตามขนบการ์ตูน คือสุข สมหวัง อิ่มใจ ครับ
หนึ่งในหลายภาพประทับใจจากวอลล์ อี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 476 เมื่อ 28 มิ.ย. 11, 20:36
|
|
ขอเล่าตอบแทนบ้างค่ะ ด้วยเรื่องหมายเลข 10 Snow White and the Seven Dwarfs การ์ตูนแห่งปีค.ศ. 1937 ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 คือการ์ตูนเรื่องยาวเรื่องแรกของดิสนีย์ และเรื่องแรกของประวัติหนังการ์ตูน
ก่อนหน้านี้การ์ตูนเป็นเพียงเรื่องสั้นๆ 5 นาทีจบ เอาไว้ฉายเกริ่นนำหน้าหนังในโรง เป็นการ์ตูนขาวดำไม่มีเสียงพูด ก่อนจะมาถึงการ์ตูนสี ถูกมองว่าเป็นความบันเทิงเล็กๆน้อยๆของเด็ก แต่ไร้ความสลักสำคัญมากไปกว่านั้น เมื่อชายหนุ่มผู้สร้างหนังการ์ตูน ชื่อวอลท์ ดิสนีย์ ริอ่านจะทำการ์ตูนเรื่องยาวขึ้นมา ให้ยาวเท่ากับหนังทั่วไป จึงไม่มีใครเชื่อว่าโครงการนี้จะไปรอด แม้แต่ภรรยาของวอลท์เองก็ออกปากว่า "ไม่มีใครหน้าไหนเขายอมจ่ายสตางค์เข้ามาดูการ์ตูนของคุณหรอก"
ดิสนีย์กัดฟันทำไปจนกระทั่งจบ งบประมาณบานปลายออกไปจนต้องเอาบ้านไปจำนอง หาทุนมาเพิ่ม ผลักดันทีมงานซึ่งล้วนแต่เป็นหนุ่มไฟแรงแต่ค่อนข้างโนเนมด้วยกัน มาทำงานต่อเนื่องกันไปจนการ์ตูนจบลงได้ การ์ตูนสมัยนั้นวาดด้วยมือ ทีละแผ่น ทีละแผ่น ไม่มีคอมพิวเตอร์ช่วยอย่างเดี๋ยวนี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 477 เมื่อ 28 มิ.ย. 11, 20:53
|
|
ในการ์ตูนเรื่องนี้ ดิสนีย์ใส่เพลงไว้หลายเพลง อย่างเพลงแรกที่สโนไวท์ร้องกับเสียงสะท้อนของตัวเอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 478 เมื่อ 28 มิ.ย. 11, 20:57
|
|
ดิสนีย์ใช้เพลงเป็นตัวขับเคลื่อนเรื่องให้เดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ ไม่ให้น่าเบื่อในเนื้อเรื่องที่ถูกมองว่าเป็นแค่นิทานเด็ก เพลงทำให้คนดูได้รับรสทั้งตาดูและหูฟัง จนนั่งอยู่ได้นานๆตลอดเรื่อง
ดังนั้นในฉากสำคัญๆ เช่นเปิดตัวคนแคระทั้งเจ็ด ในถ้ำเพชรพลอย จึงเปิดตัวด้วยเพลง เพลงมาร์ช ไฮโฮ Heigh-Ho ตอนท้ายเรื่อง ฮิทมากจนกลายมาเป็นเพลงบรรเลงในกองทัพทหารอเมริกันในสงครามโลกครั้งที่ 2
เพลง Silly Song ที่สโนไวท์กับคนแคระเต้นรำกัน
ตามมาด้วยเพลงรักหวาน Someday My Prince will Come
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 479 เมื่อ 28 มิ.ย. 11, 21:42
|
|
หนังการ์ตูนเรื่องนี้กินเวลา 3 ปีกว่าจะสร้างเสร็จ นำออกฉายในปี 1937 ระหว่าง 3 ปี ทุกคนที่แวดล้อมดิสนีย์พยายามหว่านล้อมให้เขาล้มเลิกความคิดจะทำเรื่องนี้ เพราะยังไงก็ล้มเหลว งบประมาณที่ตั้งไว้ 250,000 ดอลล่าร์นับว่ามากมายเกินเหตุสำหรับหนังการ์ตูน มิหนำซ้ำเอาเข้าจริง ยังบานปลายไปถึงหนึ่งล้านกว่าดอลล่าร์ แสดงว่าสภาพล้มละลายรออยู่เห็นๆ แต่เช่นเดียวกับอัจฉริยบุคคลทั้งหลายที่จะต้องผ่านด่านทรหด เพื่อทดสอบความสามารถ ดิสนีย์ก็ฟันฝ่าทุ่มเทเงินแม้แต่จำนองบ้านตัวเอง เอาเงินไปลงให้หนังเรื่องนี้สร้างจนเสร็จ หมดเงินไปถึง $1,488,422.74 ซึ่งถือว่าเป็นเงินก้อนมหาศาลทีเดียวสำหรับหนังเรื่องหนึ่ง
แต่เมื่อเรื่องนี้ออกฉาย ดิสนีย์ก็สร้างปรากฏการณ์ให้วงการฮอลลีวู้ด ดาราดังๆที่ไปชมในรอบปฐมทัศน์ลุกขึ้นยืนปรบมือให้พร้อมเพรียงกันเมื่อหนังจบลง 6 วันต่อมา ดิสนีย์กับคนแคระทั้งเจ็ดก็ไปปรากฏเป็นปกของไทม์แมกกาซีน ส่วนนิวยอร์คไทมส์ใช้คำว่า "ขอบคุณครับคุณดิสนีย์"
ผลจากสโนไวท์ ดิสนีย์ได้รับ Academy Honorary Award เป็นตุ๊กตาทองออสคาร์ขนาดมาตรฐาน 1 ตัว และตุ๊กตาทองตัวเล็กๆอีก 7 ตัว ผู้มอบให้คือยอดดาราเด็ก เชอร์ลี่ เทมเปิ้ล
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|