เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 11 12 [13]
  พิมพ์  
อ่าน: 59096 " เราที่สองรองภูมินทร์นามปิ่นเกล้า"
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 180  เมื่อ 23 ม.ค. 11, 16:48

เรื่องฉาวก่อนเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯนี้ สะท้อนให้เห็นสัจจะแห่งโลกธรรมทางพระพุทธศาสนาอย่างชัดเจน คนเรานั้น ไม่ว่าจะเป็นยาจกหรือท้าวพญามหากษัตริย์ ย่อมมีทั้งได้ลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มีสรรเสริญมีนินทา มีทั้งสุขและทุกข์ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯแม้จะมีผู้สรรเสริญพระองค์โขอยู่ แต่ก็มีผู้นินทาพระองค์ในเรื่องความเชื่อเรื่องคุณไสย เสน่ห์ยาแผดดังเนื่องที่เล่ามาข้างต้นอยู่ไม่น้อย

อย่างไรก็ตาม ผมอยากจะให้ข้อคิดประการหนึ่งไว้ว่า เมื่ออ่านแล้ว เราไม่ควรเอาทัศนคติของสังคมในปัจจุบัน ไปตัดสินพฤติกรรมของคนในอดีตนะครับ

คนโบราณตั้งแต่สมัยพุทธกาล ถือผู้ชายเป็นใหญ่ ลูกและเมียเป็นสมบัติอย่างหนึ่งของผู้ชาย เหมือนที่คนสมัยนี้เป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงในบ้าน สามารถจะเอาไว้เชยชม หรือแค่ใช้งาน ให้เฝ้าบ้าน จะให้เขาไปหรือจะเอาไปปล่อยวัด ย่อมเป็นสิทธิ์ การที่พระเวสสันดรยกพระมเหษี และพระโอรสธิดาให้ชูชกนั้น คนโบราณฟังแล้วน้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้ง เห็นว่า แม้สมบัติอันมีค่าที่ทรงรักและหวงแหนที่สุด ยังสามารถเสียสละ บริจาคเป็นทานให้กับคนอย่างชูชกได้ คนสมัยนี้ฟังแล้วคิดตรงกันข้าม เห็นว่าพระเวสสันดรเป็นผู้ชายที่ใช้ไม่ได้เลย ไม่สมควรเป็นสามี ไม่สมควรเป็นพ่อคนด้วยซ้ำ มีอย่างหรือ เอาภรรยาผู้จงรักภักดี บุตรธิดาที่กำลังน่ารักไปยกให้พราหมณ์จัญไร เพื่อแลกกับบุญที่จะได้ไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้าในชาติต่อไป ช่างเห็นแก่ตัวแท้

แม้ล่วงมาถึงสมัยรัชกาลที่๔ ในอุษาคเนย์ก็ยังถือผู้ชายเป็นใหญ่อยู่นั่นเอง การมีผู้หญิงไว้เป็นเจ้าของส่วนตัว ยิ่งมากเท่าไรยิ่งถือเป็นอำนาจบารมี เหมือนพญาแห่งสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งก็คือตัวผู้ที่แข็งแรงกว่าตัวผู้ทั้งหมดในฝูงที่สามารถช่วงชิงความเป็นใหญ่ บรรดาตัวเมียทั้งหลายต่างจะพยายามกรีดกลายมาใกล้ๆ เพื่อเชิญชวนให้ผสมพันธุ์ด้วย ไม่ใช่แต่พระเจ้าแผ่นดิน เจ้านาย ขุนนาง เศรษฐี หรือคนโตในหมู่บ้าน ก็ต้องพยายามเลี้ยงผู้หญิงไว้เป็นภรรยาให้มากที่สุด เท่าที่กำลังวังชาและกำลังทรัพย์จะเอื้อได้  เพื่อแสดงสัญญลักษณ์ของความเป็นชายเหนือชายทั้งปวง

จึงไม่แปลกที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯมักจะทรงอวดจำนวนเจ้าจอมทั้งหลาย เพื่อแสดงความเป็นพระมหากษัตริย์ จนฝรั่งตาค้าง เซอร์จอห์น เบาวริ่งไปรับพระราชทานเลี้ยงที่พระตำหนักคืนเดียวก็ได้ทราบว่าพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ทรงมีเจ้าจอมกี่คน พระโอรสธิดากี่พระองค์ สังคมไทยตอนนั้นเห็นเป็นเรื่องธรรมดา สมควรเปิดเผยด้วยซ้ำ แต่สังคมตะวันตกเห็นเป็นเรื่องตรงกันข้าม คนไทยสมัยนี้ที่รับอารยธรรมตะวันตกมาเต็มหัวจิตหัวใจ จึงยอมรับไม่ได้ถึงการกระทำของบรรพบุรุษ

การที่จะทรงปรารภเรื่องเจ้าจอมของพระองค์กับพระเชษฐา ขอให้นำตัวไปสอบสวนในวังหลวงเพราะทรงไม่ไว้ใจคนวังหน้าของพระองค์เอง ก็เป็นเรื่องธรรมดาในยุคที่พระเจ้าแผ่นดินจะสั่งกุดหัวใครก็ได้ ไม่เห็นต้องเหนียม ถูกผิดอย่างไร The King ก็ can do no wrong อยู่นั่นเอง คนไม่ผิดจะตายฟรีก็เป็นเรื่องของกรรม ที่บันดาลให้เป็นไป ไม่ใช่บาปของผู้สั่งการ

ผมเองก็ไม่ทราบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว ใครจะมาทำเสน่ห์ยาแฝดกับท่านในวัยนี้ เพื่ออยากได้อะไรเล่า โดยเฉพาะเจ้าจอมมารดาที่มีพระโอรสธิดาตั้ง ๑๒ พระองค์ จะยังปรารถนาอะไรอีก อย่างไรก็ตาม ถ้าพระเจ้าแผ่นดินสมัยนั้นเห็น “ขน” ในเครื่องเสวยของพระองค์  แล้วจะสั่งเฆี่ยนหรือประหารผู้รับผิดชอบ ก็สามารถทำได้โดยชอบ  การที่เอาจำเลยไปสอบสวนด้วยระบบแบบไทยๆ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอีกเหมือนกันที่จำเลยจะรับสารภาพ หรือซัดทอดคนอื่นเข้าไปด้วย ตามแต่ที่พระอัยการจะบีบให้พูด
 
การที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯท่านทรงบันทึกเรื่องนี้ไว้ คงจะทรงเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาๆไม่ใช่เรื่องเสียหายกระมัง แล้วสมเด็จกรมพระยาดำรงฯทรงเอาความนั้นมาเล่าต่อในพระนิพนธ์ของท่านสั้นๆ จุดมุ่งหมายก็เพื่อจะแก้ต่างให้พระราชบิดาว่า มิได้ทรงประหารคนเหล่านั้นจริงๆ เพียงแต่ให้เนรเทศเท่านั้น  แต่ผู้ที่นำมาเสนอโดยละเอียดพิศดารในยุคปัจจุบัน คือคุณจุลลดา ภักดีภูมินทร์ ใน“เวียงวัง”คอลัมม์ประจำของสื่อสิ่งพิมพ์อย่างสยามสมัย คนไทยชั้นกลางทั่วไปจึงได้รับทราบกันทั่ว ทุกวันนี้ก็หาอ่านได้ไม่ยากจากเวป และยังได้รับการป้ายไปเผยแพร่อย่างสนุกสนานกันต่อๆ รวมทั้งในกระทู้นี้ด้วย

เป็นกรรมของท่าน คนไทยน่ะยังดีที่ยังยั้งๆไว้บ้าง แต่แม่แหม่มแอนนานี่สิ สมัยโน้นเธอเอาเรื่องที่ลือกันให้แซ่ดนี้ไประบายสีในหนังสือของตัว ว่าคิงมงกุฏเป็นผู้ที่วางแผนอยู่เบื้องหลัง ให้เจ้าจอมมารดาท่านนี้ค่อยๆวางยาพิษพระอนุชาทีละน้อยๆ จนสวรรคต เพราะความอิจฉาริษยา แต่แล้วเจ้าจอมมารดาตัวการก็ถูกปิดปาก โดนจับเอาไปใส่กระสอบถ่วงน้ำที่ปากอ่าวเพื่อกำจัดทิ้ง เรื่องเช่นนี้เป็นเหยื่ออันโอชะของพวกซ้ายตกขอบอยู่แล้ว  จึงไม่พลาดที่จะนำไปขยายต่อในเวปแอนตี้สถาบันทั้งหลายทั้งปวงอย่างเมามัน กล่าวหาว่า ที่อ้างว่าปล่อยเจ้าจอมกลับไปสุโขทัยนั้นไม่จริง เพราะมีหลักฐาน แหม่มแอนนาซึ่งรู้เห็นเหตุการณ์โดยตลอดเขียนว่าเอาไปฆ่าถ่วงน้ำปิดปาก เอากะมันซี


ดังนั้นเรื่องนี้ผมจึงขออนุญาตที่จะไม่เล่นต่อ แต่อยากจะให้ข้อคิดว่า ผ้านั้น เมื่อผ่านการใช้งานแล้ว จะต้องหมองบ้าง ยิ่งใช้งานมากยิ่งมีจุดด่างพร้อย ที่ไม่มีตำหนิเลยคือผ้าที่เก็บไว้ไม่ได้นำมาใช้งาน ดังนั้น เมื่อจะเลือกผ้าขาวก็ให้ดูเปรียบเทียบกับผ้าอื่นๆ  จึงจะเห็นว่าผ้าเป็นสีขาว
แต่ถ้าจะหาแบบจ้องจับผิด ก็เห็นแต่ตำหนิของผ้า เพราะผ้าขาวที่ขาวบริสุทธิ์จริงๆนั้น ไม่มี

พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯจริงๆแล้วท่านก็ทรงเป็นปุถุชน พระราชประวัติที่โชกโชนทั้งชีวิต ก็มีทั้งผิดชอบชั่วดีเหมือนมนุษย์ทั่วไป ผมหวังว่าเรื่องทั้งหมดในกระทู้นี้ จะเป็นผ้าผืนใหญ่ที่เอาออกมาคลี่ให้ท่านดู หวังว่าท่านผู้อ่านจะเห็นเนื้อหาของผ้าทั้งผืน มากกว่าติดใจจะเพ่งตำหนิของผ้านะครับ


ขอบพระคุณที่อ่านเรื่องที่ผมเขียนทั้งสองกระทู้ มาจนถึงบรรทัดนี้
บันทึกการเข้า
siamese
หนุมาน
********
ตอบ: 7165


หนุ่มรัตนะกับภูเขาทอง


ความคิดเห็นที่ 181  เมื่อ 23 ม.ค. 11, 17:28

ผมได้อ่านบทความนี้ ทำให้ทราบถึงเรื่องข่าวลือต่างๆว่า ไม่เป็นความจริง

พระบรมราชโอวาทของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยุ่หัว พระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อ ๒๓ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๑๒
“..เมื่อพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ทรงประชวรมากแล้ว จะเป็นในปลายปีชวด ฉกศ ๑๒๒๖ หรือ ต้นปีฉลู สัปตศก ๑๒๒๗ ทูลกระหม่อมเสด็จไปเยี่ยมประชวร ๒ ครั้ง ไม่โปรดให้ลูกเธออื่นตามเสด็จเข้าไปเลย มีแต่พ่อเชิญพระแสงอยู่คนเดียว
ข้างฝ่ายพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ก็มีแต่กลีบ ซึ่งในเวลานั้นเป็นเจ้าจอมมารดาคนโปรด เสด็จเข้าไปเยี่ยมประชวรถึงในห้องพระบรรทม ที่พระที่นั่งอิศเรศราชานุสร.... พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเสด็จเข้ามากอดพระบาท ทรงกันแสงว่า หาช่องทางที่จะกราบทูลอยู่ช้านานแล้ว ก็ไม่มีโอกาส บัดนี้ไม่มีใคร จะขอกราบบังคมทูลแสดงน้ำใจที่ซื่อสัตย์สุจริตต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท  มีผู้กราบบังคมทูลกล่าวโทษว่า สะสมเครื่องศัสตราวุธกระสุนดินดำขึ้นไว้ ก็ได้สะสมไว้จริง มีอยู่มากไม่นึกกลัวใคร
แต่เป็นความสัตย์จริงที่จะได้คิดประทุษร้ายต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทไม่มีเลยสักขณะจิตหนึ่ง แล้วถวายสัตย์สาบานเป็นอันมาก ซึ่งได้ตระเตรียมไว้นั้นเพื่อจะป้องกันผู้อื่นเท่านั้น ทูลกระหม่อมก็ทรงพระกันแสงกอดพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ และทรงแสดงความเชื่อถือ มิได้มีความรังเกียจอันใดในข้อนั้น...”
บันทึกการเข้า
Diwali
มัจฉานุ
**
ตอบ: 96


ความคิดเห็นที่ 182  เมื่อ 28 ม.ค. 11, 01:09

เข้ามาลงชื่อว่าตามอ่านอยู่นะครับ

เพิ่งจะสร่างจากวันหยุดยาวช่วงปีใหม่
อ่านไล่ตั้งแต่ต้น เรื่องคำสั่งทางทหารต่างๆ จนกระทั่งเรื่องเสน่ห์ยาแฝด

ขอนั่งเงียบ ตามอ่านไปเรื่อยๆ นะครับ


ปล.
ผ้มยังติดใจอยู่นิดๆ ในตอนต้นๆของกระทู้ ที่คุณครูใหญ่ยังสงสัย เรื่องคำสั่ง  อินทร์ ปะสันตา พรหม(ไม่มี ะ) ปะสันตา
แว่บแรก ที่นึกถึง คือ แถวทหารนุ่งห่มเขียวแดงแบบอินทร์ พรหม  ทำความเคารพด้วยท่าวันทยาวุธ ครับ (present arm)

แต่พอมาอ่านพบ
"สะเปร โบขะลัม  พรหมะ  สันตา ตุสันตา"
Spread both columns  from center to center

ก็เลย ไม่แน่ใจ จะเดาเอาว่าอาจจะเป็น In! present arm, บลา บลา  ก็ไม่เข้าเค้า  ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 11 12 [13]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.053 วินาที กับ 19 คำสั่ง