เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1]
  พิมพ์  
อ่าน: 4556 พระราชดำรัส พระราชหัตถเลขา ร. 5
sally chu
อสุรผัด
*
ตอบ: 38


 เมื่อ 31 ธ.ค. 10, 11:37

ขอความกรุณาท่านผู้รู้ ขอทราบว่าพระราชดำรัส พระราชหัตถเลขา ร. 5 ต่อไปนี้ ต้องอ้างอิงอย่างไร จึงจะถูกต้องคะ

“.….. วิชาหนังสือเป็นวิชาที่น่านับถือและเป็นที่น่าสรรเสริญมาแต่โบราณว่า เป็นวิชาอย่างประเสริฐซึ่งผู้ยิ่งใหญ่นับแต่ พระมหากษัตริย์เป็นต้นมา ตลอดจนราษฎรพลเมืองสมควรและจำเป็นจะต้องรู้เพราะเป็นวิชาที่อาจทำให้การทั้งปวงสำเร็จในทุกสิ่งทุกอย่าง… ”

“ในเวลานั้นอายุพ่อเพียง ๑๕ ปี กับ ๑๐ วัน ไม่มีมารดา  มีญาติฝ่ายมารดาก็ล้วนแต่โลเลเหลวไหล หรือไม่โลเลเหลวไหลก็มิได้ตั้งอยู่ในตำแหน่งราชการอันใดเป็นหลักฐาน ฝ่ายญาติข้างพ่อคือเจ้านายทั้งปวง ก็ตกอยู่ในอำนาจสมเด็จเจ้าพระยา และต้องรักษาตัวรักษาชีวิตอยู่ด้วยกันทั่วทุกองค์ ที่ไม่เอื้อเฟื้อต่อการอันใดเสียก็มีโดยมาก ฝ่ายข้าราชการ ถึงว่ามีผู้ที่ได้รักใคร่สนิทสนมอยู่บ้าง ก็เป็นแต่ผู้น้อยโดยมาก ที่เป็นผู้ใหญ่ก็ไม่มีกำลังสามารถอาจจะอุดหนุนอันใด ฝ่ายพี่น้องซึ่งร่วมบิดาหรือที่ร่วมทั้งมารดาก็เป็นเด็ก มีแต่อายุต่ำกว่าพ่อลงไป ไม่สามารถจะทำอะไรได้ทั้งสิ้น ส่วนตัวพ่อเองยังเป็นเด็กอายุเพียงเท่านั้น ไม่มีความสามารถรอบรู้ในราชการอันใดที่จะทำการตามหน้าที่ … ยังซ้ำเจ็บเกือบจะถึงแก่ความตาย อันไม่มีผู้ใดสักคนเดียวซึ่งจะเชื่อว่าจะรอด ยังซ้ำถูกอันตรายใหญ่ คือทูลกระหม่อมเสด็จสวรรคต ในขณะนั้นเปรียบเหมือนคนที่ศีรษะขาดแล้ว จับเอาแต่ร่างกายขึ้นตั้งไว้ในที่สมมุติกษัตริย์ เหลือที่จะพรรณนาถึงความทุกข์อันต้องเป็นกำพร้าในอายุเพียงเท่านั้น และความหนักของมงกุฎอันเหลือที่คอจะทานไว้ได้ ทั้งมีศัตรูซึ่งมุ่งหมายอยู่โดยเปิดเผยรอบข้าง ทั้งภายในภายนอกหมายเอาทั้งในกรุงเองและต่างประเทศ ทั้งโรคภัยในกายเบียดเบียนแสนสาหัส”

“การที่เป็นเจ้าแผ่นดินไม่ใช่สำหรับมั่งมี ไม่ใช่สำหรับคุมเหงคนเล่นตามชอบใจ มิใช่เกลียดใครแล้วจะได้แก้เผ็ด มิใช่เป็นผู้สำหรับจะกินสบายนอนสบาย ถ้าจะปรารถนาเช่นนั้นแล้ว มีสองทาง คือ บวชทางหนึ่ง เป็นเศรษฐีทางหนึ่ง เป็นเจ้าแผ่นดินสำหรับแต่เป็นคนจน และเป็นคนที่อดกลั้นต่อสุขและทุกข์ อดกลั้นต่อความรักและความชิงชังอันจะเกิดฉิวขึ้นมาในใจ หรือมีผู้ยุยง เป็นผู้ปราศจากความเกียจคร้าน ผลที่จะได้นั้นมีแต่ชื่อเสียงปรากฏเมื่อเวลาตายแล้ว ว่าเป็นผู้รักษาวงศ์ตระกูลไว้ได้ และเป็นผู้ป้องกันความทุกข์ของราษฎรซึ่งอยู่ในอำนาจความปกครอง ต้องหมายใจในความสองข้อนี้เป็นหลัก มากกว่าคิดถึงการเรื่องอื่น ถ้าผู้ซึ่งมิได้ทำใจได้เช่นนี้ ก็ไม่แลเห็นเลยว่าจะปกครองรักษาแผ่นดินอยู่ได้”

ขอบคุณมากค่ะ
บันทึกการเข้า
luanglek
นิลพัท
*******
ตอบ: 2894


ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 31 ธ.ค. 10, 12:47

พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระราชทานแก่ใคร   ในโอกาสอะไร  เมื่อไร  ที่ไหน
คัดตัดตอนมาจากหนังสือหรือเอกสารอะไร (ปีที่พิมพ์) หน้าที่เท่าไร

พระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระราชทานแก่ใคร   ในโอกาสอะไร  เมื่อไร  ที่ไหน
คัดตัดตอนมาจากหนังสือหรือเอกสารอะไร (ปีหรือปีที่พิมพ์) หน้าที่เท่าไร

บันทึกการเข้า
sally chu
อสุรผัด
*
ตอบ: 38


ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 31 ธ.ค. 10, 13:23

ที่ตั้งใจก็อยากทราบรายละเอียดน่ะค่ะ ว่า พระราชดำรัช พระราชหัตเลขา ที่คัดมานี้  มาจากไหน อ่ะค่ะ

พระราชทานแก่ใคร   ในโอกาสอะไร  เมื่อไร  ที่ไหน
คัดตัดตอนมาจากหนังสือหรือเอกสารอะไร (ปีที่พิมพ์) หน้าที่เท่าไร

เพราะเห็นจากเว็ป ไม่มีการอ้างอิง  อยากจะอ่านต่ออ่ะค่ะ  ไม่ทราบจะหาที่ไหนค่ะ คุณหลวงเล็ก
บันทึกการเข้า
siamese
หนุมาน
********
ตอบ: 7165


หนุ่มรัตนะกับภูเขาทอง


ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 01 ม.ค. 11, 11:18

พระบรมราโชวาทในรัชกาลที่ ๕  พระราชทานสมเด็จเจ้าฟ้าวชิรุณหิศ

----------------------------------


ที่ ๒/๖๑๓๔                                                พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
                                       วันที่ ๘ กรกฎาคม รัตนโกสินทรศก ๑๑๒


ถึง  ลูกชายใหญ่  เจ้าฟ้าวชิรุณหิศ


            ด้วยเมื่อวันที่ ๖ เดือนนี้  เวลากลางคืน  เป็นเวลาที่เจ้ามีอายุเต็มเสมอเท่ากับพ่อเมื่อได้รับสมมติเป็นเจ้าแผ่นดิน  นึกตั้งใจไว้ว่าจะเขียนหนังสืออำนวยพร และสั่งสอนตักเตือนเล็กน้อย  ก็เฉพาะถูกเวลาลงไปปากลัดเสีย  จึงเป็นแต่ได้บอกด้วยปากโดยย่อ  บัดนี้พอที่จะหาเวลาเขียนหนังสือฉบับนี้ได้จึงได้รีบเขียน  ขอเริ่มความว่า


            คำซึ่งกล่าวว่า  ได้รับสิริราชสมบัติเป็นคำไพเราะจริงหนอ  เพราะสมบัติย่อมเป็นที่ปรารถนาของบุคคลทั่วหน้า และย่อมจะคิดเห็นโดยง่าย ๆ ว่า  ผู้ซึ่งได้เป็นเจ้าแผ่นดินแล้ว  ย่อมจะมีเกียรติยศยิ่งกว่าคนสามัญ  ย่อมจะมีอำนาจจะลงโทษแก่ผู้ซึ่งไม่พึงใจ  อาจจะยกย่องเกื้อกูลแก่ผู้ซึ่งพึงใจ  และเป็นผู้มีสมบัติมาก  อาจจะใช้สอยเล่นหัวหรือให้ปันแก่ผู้ที่พึงใจได้ตามประสงค์  ผลแห่งเหตุที่ควรยินดีกล่าวโดยย่อเพียงเท่านั้น  ยังมีข้ออื่นอีกเป็นหลายประการ  จะกล่าวไม่รู้สิ้น


            แต่ความจริงหาเป็นเช่นความคาดหมายของคนทั้งปวงดังนั้นไม่  เวลาซึ่งกล่าวมาแล้วอันจะพูดตามคำไทยอย่างเลว ๆ ว่ามีบุญขึ้นนั้น  ที่แท้จริงเป็นผู้มีกรรมและมีทุกข์ยิ่งขึ้น  ดังตัวพ่อได้เป็นมาเอง  อันจะเล่าโดยย่อให้ทราบต่อไปนี้


            ในเวลานั้น  อายุพ่อเพียง ๑๕ ปีกับ ๑๐ วัน  ไม่มีมารดา มีญาติฝ่ายมารดาก็ล้วนแต่โลเลเหลวไหล หรือไม่โลเลเหลวไหลก็มิได้ตั้งอยู่ในตำแหน่งราชการอันใดเป็นหลักฐาน  ฝ่ายญาติข้างพ่อคือเจ้านายทั้งปวงก็ตกอยู่ในอำนาจสมเด็จเจ้าพระยา  และต้องรักษาตัวรักษาชีวิตอยู่ด้วยกันทั่วทุกองค์  ไม่เอื้อเฟื้อต่อการอันใดเสียก็มีโดยมาก  ฝ่ายข้าราชการถึงว่ามีผู้ที่ได้รักใคร่สนิทสนมอยู่บ้างก็เป็นแต่ผู้น้อยโดยมาก  ที่เป็นผู้ใหญ่ก็ไม่มีกำลังสามารถอาจจะอุดหนุนอันใด  ฝ่ายพี่น้องซึ่งร่วมบิดามารดาหรือที่ร่วมทั้งมารดาก็เป็นเด็กมีอายุต่ำกว่าพ่อลงไป  ไม่สามารถจะทำอะไรได้ทั้งสิ้น  ส่วนตัวพ่อเองยังเป็นเด็กอายุเพียงเท่านั้น  ไม่มีความสามารถรอบรู้ในราชการอันใดที่จะทำการตามหน้าที่  แม้แต่เพียงเสมอเท่าที่ทูลกระหม่อมทรงประพฤติมาแล้วได้  ยังซ้ำเจ็บเกือบจะถึงแก่ความตาย  อันไม่มีผู้ใดสักคนเดียวซึ่งจะเชื่อว่าจะรอด  ยังซ้ำถูกอันตรายอันใหญ่คือ  ทูลกระหม่อมเสด็จสวรรคตในเวลานั้น  เปรียบเหมือนคนที่ศีรษะขาดแล้ว  จับเอาแต่ร่างกายขึ้นตั้งไว้ในที่สมมติกษัตริย์  เหลือที่จะพรรณนาถึงความทุกข์อันต้องเป็นกำพร้าในอายุเพียงเท่านั้น  และความหนักของมงกุฎอันเหลือที่คอจะทานไว้ได้  ทั้งมีศัตรูซึ่งมุ่งหมายอยู่โดยเปิดเผยรอบข้างทั้งภายในภายนอกหมายเอาทั้งในกรุงและต่างประเทศ  ทั้งโรคภัยในกายเบียดเบียนแสนสาหัส


            เพราะฉะนั้น  พ่อจึงถือว่าวันนั้นเป็นวันเคราะห์ร้ายอย่างยิ่ง  อันตั้งแต่เกิดมาพึ่งได้มีแก่ตัวจึงสามารถที่จะกล่าวในหนังสือฉบับก่อนว่าเหมือนตะเกียงอันริบหรี่  แต่เหตุใดจึงไม่ดับ  เป็นข้อที่ควรจะถามหรือควรจะเล่าบอก  การที่ไม่ดับไปได้นั้น
            ๑.  คือเยียวยารักษาร่างกายด้วยยาบำบัดโรคและความอดกลั้นต่อปรารถนา  คือไม่หาความสุขเพราะกินของที่มีรสอร่อย  อันจะทำให้เกิดโรค
            ๒.  ปฏิบัติอธิษฐานใจเป็นกลาง  มิได้สำแดงอาการกิริยาโดยแกล้งทำอย่างเดียว  ตั้งใจเป็นความแน่นอนมั่นคง  เพื่อจะแผ่ความเมตตากรุณาต่อชนภายใน  คือน้อง และแม่เลี้ยงทั้งปวงตามโอกาสที่จะทำได้  ให้เห็นความจริงใจว่ามิได้มุ่งร้ายหมายขวัญต่อผู้หนึ่งผู้ใด  การอันใดที่เป็นข้อกระทบกระเทือนมาเก่าแก่เพียงใดมากหรือน้อย  ย่อมสำแดงให้ปรากฏว่าได้ละทิ้งเสียมิได้นึกถึงเลย  คิดแต่จะมั่วสุมให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยควรที่จะสงเคราะห์ได้อย่างใดก็สงเคราะห์  มีที่สุดถึงว่าอายุน้อยเพียงเท่านั้นยังได้จูงน้องเด็ก ๆ ติดเป็นพรวนโตอยู่ทุกวัน  แม่เจ้าคงจะจำได้ในการที่พ่อประพฤติอย่างใดในขณะนั้น
            ๓.  ส่วนพระบรมวงศานุวงศ์ ผู้ใหญ่ซึ่งท่านเชื่อเป็นแน่ว่าพ่อเป็นเจว็ดครั้งหนึ่งคราวหนึ่งอย่างเรื่องจีน  แต่ถึงดังนั้นพ่อได้แสดงความเคารพนับถืออ่อนน้อมต่อท่านอยู่เสมอ  เหมือนอย่างเมื่อยังมิได้เลือกขึ้นเป็นสมมติกษัตริย์เช่นนั้น  จนท่านก็มีความเมตตาปรานีขึ้นทุกวัน ๆ
            ๔.  ส่วนข้าราชการผู้ใหญ่  ซึ่งรู้อยู่ว่ามีความรักใคร่นับถือพ่อมาแต่เดิมก็ได้แสดงความเชื่อถือรักใคร่ยิ่งกว่าแต่ก่อน  จนมีความหวังใจว่าถ้ากระไรคงจะได้ดีสักมื้อหนึ่ง  หรือถ้ากระไรก็จะเป็นอันตรายสักมื้อหนึ่ง
            ๕.  ผู้ซึ่งรู้อยู่ว่าเป็นศัตรูป้องร้ายก็มิได้ตั้งเวรตอบคือเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง  ย่อมเคารพนับถือและระมัดระวังมิให้เป็นเหตุว่าคิดจะประทุษร้ายตอบหรือโอนอ่อนยอมไปทุกอย่าง  จนไม่รู้ว่าผิดว่าชอบเพราะเหตุที่รู้อยู่ว่าเป็นศัตรู
            ๖.  ข้าราชการซึ่งเป็นกลางคอยฟังว่าชนะไหนจะเล่นนั่นนั้นมีเป็นอันมาก  แต่พ่อมิได้แสดงความรู้สึกให้ปรากฏเลย  ย่อมประพฤติต่อด้วยอาการเสมอ  แล้วแต่ความดีความชั่วของผู้นั้น  แม้ถึงรู้อยู่ว่าเป็นศัตรูหรือเฉย ๆ แต่เมื่อทำความดีแล้วต้องช่วยยกย่องให้ตามคุณความดี
            ๗.  ผู้ซึ่งเป็นญาติพี่น้องมิได้ยกย่องให้มียศศักดิ์เกินกว่าวาสนาความดีของตัวผู้นั้น  ถ้าผู้นั้นทำผิดต้องปล่อยให้ได้รับความผิด  ผู้นั้นทำความดีก็ได้รับความดีเท่ากับคนทั้งปวง  มีแปลกอยู่แต่เพียงมารู้อยู่ในใจด้วยกันแต่เพียงว่าปรารถนาจะให้ไปในทางดีเพื่อจะได้ยกย่องขึ้น  เมื่อไปทางที่ผิดก็เป็นที่เสียใจ  แต่ความเสียใจนั้นไม่มาหักล้างมิให้ยินยอมให้ผู้ผิดต้องรับความผิด
            ๘.  ละเว้นความสุขสบาย คือ  กินและนอนเป็นต้น  สักแต่ชั่วรักษาชีวิตไว้พอดำรงวงศ์ตระกูลสืบไป  พยายามหาคนที่จะใช้สอยอันควรจะเป็นที่วางใจได้  มีน้องเป็นต้น  อันมีอายุเจริญขึ้นโดยลำดับ
            ๙.  เมื่อมีผู้ที่ร่วมคิดในทางอันดีมากขึ้น  จึงค่อยแผ่อำนาจออกโดยยึดเอาทางที่ถูก  ต่อสู้ทางที่ผิด  เมื่อชนะได้ครั้งหนึ่งสองครั้ง  ความนิยมของคนซึ่งตั้งอยู่ในทางกลางย่อมรวนเรหันมาเห็นด้วยก่อน  จึงเกิดความนิยมมากขึ้น ๆ  จนถึงผู้ซึ่งเป็นศัตรูก็ต้องกลับเป็นมิตร  เว้นไว้แต่ผู้ซึ่งมีความปรารถนากล้า  อันจะถอยกลับมิได้เสียแล้วก็ต้องทำไป  แต่ย่อมเห็นว่ากำลังอ่อนลงทุกเมื่อ ๆ
            ๑๐.  พ่อไม่ปฏิเสธว่า  ในเวลาหนุ่มคะนองเช่นนั้นจะมิได้ซุกซน  อันเป็นเหตุให้พลาดไปหลายครั้ง  แต่อาศัยเหตุโอบอ้อมที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น  และความรู้เห็นในผู้ซึ่งควรจะไว้ใจได้แก้ไขให้รอดจากความเสียถ้าไม่ได้ประพฤติใจดังเบื้องต้นแล้ว  ไหนเลยจะรอดอยู่ได้  คงล่มเสียนานแล้ว  การอันใดซึ่งเกิดเป็นการใหญ่ ๆ ขึ้น  ดูก็ไม่น่าที่จะยกหยิบเอามากล่าวในที่นี้  เพราะจะทำให้หนังสือยาวเกินไป  แต่พ่อยังเชื่อว่าถึงเหตุเหล่านั้นเกิดขึ้นเพราะเป็นคนหนุ่มก็ยังได้ประโยชน์มากกว่าเสียประโยชน์  จึงได้ตั้งตัวยืนยาวมาได้ถึง ๒๕ ปี นี้แล้ว


            บัดนี้  ลูกมีอายุเท่ากับพ่อในเวลาที่ได้มีความทุกขเวทนาแสนสาหัสเช่นนั้น  จึงได้มีใจระลึกถึงประสงค์จะแนะให้รู้เค้าเงื่อนแห่งความประพฤติอันได้ทดลองมาแล้วในชั่วอายุเดียวเท่านั้น  แต่จะถือเอาเป็นอย่างเดียวกันเหมือนตีพิมพ์ย่อมไม่ได้อยู่เอง  เพราะบริษัทและบุคคลกับทั้งเหตุการณ์ภูมิพื้นบ้านเมืองผิดเวลากัน  ในเวลานี้เป็นการสะดวกดี  ง่ายกว่าแต่ก่อนมากยิ่งนัก  ตัวชายใหญ่เองก็ตั้งอยู่ในที่ผิดกันกับพ่อ  ถ้าประพฤติตัวให้ดีจะดีได้เร็วกว่าง่ายกว่าเป็นอันมากในการภายใน  แต่การภายนอกย่อมหนักแน่นขึ้นกว่าแต่ก่อน  จึงจะเป็นการจำเป็นที่จะทำช้าอย่างพ่อเคยทำมาไม่ได้  การสมัครสมานภายในต้องเรียบร้อยโดยเร็วไว้รับภายนอกให้ทันแก่เวลา  จึงขอเตือนว่า
            ๑.  ให้โอบอ้อมอารีต่อญาติและมิตรอันสนิท  มีน้องเป็นต้น  เอาไว้เป็นกำลังให้จงได้
            ๒.  อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ไม่ว่าเจ้านายหรือขุนนาง  ฟังคำแนะนำตักเตือนในที่ควรฟัง
            ๓.  อย่าถือว่าเกิดมามีบุญ  ต้องถือว่าตัวเกิดมามีกรรมสำหรับจะเทียมแอกเทียมไถทำการที่หนัก  การซึ่งจะมีวาสนาขึ้นต่อไปนั้นเป็นความทุกข์มิใช่ความสุข
            ๔.  การที่เป็นเจ้าแผ่นดินไม่ใช่สำหรับมั่งมี  ไม่ใช่สำหรับคุมเหงคนเล่นตามชอบใจ  มิใช่เกลียดไว้แล้วจะได้แก้เผ็ด  มิใช่เป็นผู้สำหรับจะกินสบายนอนสบาย  ถ้าจะปรารถนาเช่นนั้นแล้วมีสองทาง คือ บวชทางหนึ่ง  เป็นเศรษฐีทางหนึ่ง  เป็นเจ้าแผ่นดินสำหรับแต่เป็นคนจน  และเป็นคนที่อดกลั้นต่อสุขและทุกข์  อดกลั้นต่อความรักและความชังอันจะเกิดฉิวขึ้นมาในใจหรือมีผู้ยุยง  เป็นผู้ปราศจากความเกียจคร้าน  ผลที่จะได้นั้นมีแต่ชื่อเสียงปรากฏเมื่อเวลาตายแล้วว่าเป็นผู้รักษาวงศ์ตระกูลไว้ได้  และเป็นผู้ป้องกันความทุกข์ของราษฎรซึ่งอยู่ในอำนาจความปกครอง  ต้องหมายใจในความสองข้อนี้เป็นหลักมากกว่าคิดถึงการเรื่องอื่น  ถ้าผู้ซึ่งมิได้ทำใจได้เช่นนี้ก็ไม่แลเห็นเลยว่าจะปกครองรักษาแผ่นดินอยู่ได้


            เมื่อลงปลายหนังสือฉบับนี้  ต้องขออำนวยพรเจ้า  ซึ่งยังมิต้องรับการหนักอย่างเช่นพ่อต้องรับมา  ในเมื่ออายุเพียงนี้ยังมีพร้อมอยู่ทั้งบิดามารดาคณาญาติ  ซึ่งจะช่วยอุปถัมภ์บำรุงให้สติปัญญาความคิดแก่กล้าขึ้น  จนถึงเวลาที่ควรจะรับแล้วและได้รับโดยความสะดวกใจดีกว่าที่พ่อได้เป็นมาแล้ว  ขอให้หมั่นศึกษาและทำในใจในข้อความที่ได้กล่าวตักเตือนมานี้  ละความเกียจคร้าน  ตั้งใจพยายามทำทางไว้ให้ดีทุกเมื่อ  ถ้าสงสัยอันใดข้อใดไม่เข้าใจให้ถาม  จะอธิบายให้ฟัง  ให้อ่านหนังสือนี้จำได้ทุกข้ออย่าให้เป็นแต่เหมือนอ่านหนังสือพิมพ์เล่น


(พระบรมนามาภิไธย)  สยามินทร์

บันทึกการเข้า
sally chu
อสุรผัด
*
ตอบ: 38


ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 19 ก.พ. 11, 15:38

ขอบพระคุณมากๆค่ะ ยิ้มกว้างๆ
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.05 วินาที กับ 19 คำสั่ง