Wandee
|
คัดจาก หนังสืออนุสรณ์ ท่านผู้หญิงขจรภะรตราชา ท.จ.ว.
วันที่ ๒๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๙
คัดย่อจากบทความของท่านผู้หญิงทัศนีย์ บุณยคุปต์ เรื่อง "๙๖ ปีของคุณแม่" เป็นส่วนใหญ่
กราบขออนุญาติถ่ายทอดเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับชีวิตในพระบรมมหาราชวัง ชีวิตนักเรียนหญิงในประเทศญี่ปุ่น
เวลาในประเทศอังกฤษ ของกุลสตรีไทยผู้หนึ่ง
(รักษาตัวสะกดตามหนังสือฉบับนี้)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อ 28 ธ.ค. 10, 14:39
|
|
ภาพปก ฝีมือ คุณจักรพันธุ์ โษยกฤต
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 2 เมื่อ 28 ธ.ค. 10, 15:07
|
|
หนังสืออนุสรณ์ฉบับนี้ เป็นเรื่องราวที่สนุกและน่าสนใจมาก
เรื่องราวต้นสกุลของท่านผู้หญิง ๕ หน้า มีประโยชน์ยิ่งสำหรับนักค้นคว้าสาแหรกสกุลขุนนาง ท่านผู้อ่านจะเห็นได้ว่า
เด็กผู้หญิงกำพร้าจากครอบครัวนายร้อยโท ได้กลับกลายมาเป็นข้าหลวงสมเด็จพระพันปีหลวง ได้รับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณส่ง
ไปเรียนที่ประเทศญี่ปุ่น ความสนุกสนานของพวกเด็ก ๆ ๔ - ๕ คนที่คอยขัดขวางการบรรทมของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เมื่อพระชนมายุ
๓ พรรษาเศษโดยการเห่รับ การเห่กล่อมของพระนมสาย เกร็ดจากบทนิพนธ์ของ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ ยุคล เมื่อเข้าเฝ้า
พระบาทสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า กราบทูลลาไปศึกษาต่อยังประเทศอังกฤษ ซึ่งจะทยอยนำมาเล่าตามลำดับไป
นักการทูตญี่ปุ่นเมื่อมาคุยกับท่านผู้หญิงก็เล่าว่า ท่านหญิงเล่าเหตุการณ์ในอดีตเป็นตอนๆเหมือนกับสาวเส้นไหมออกมาจากเครื่องปั่นฝ้าย และได้ร้องเพลง
ญี่ปุ่นโบราณกัน สรรเสริญทหารเรื่อญี่ปุ่นสมัยสงครามญี่ปุ่นรบกับรัสเซีย เพลงที่คนไม่รู้จักเสียแล้ว
หนังสือเล่มนี้ ดิฉันเคยอ่านมาสองครั้ง และเมื่อไม่นานมานี้ได้มาจากร้านหนังสือเก่าแห่งหนึ่งที่กำลังจะส่งหนังสือจำนวนมากไปประเทศ
ออสเตรเลีย ห้องสมุดในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งสั่งซื้อไว้ จึงเลือกได้มาสิบกว่าเล่มจากกอง เจ้าของร้านยินดีที่หนังสือในรุ่นนี้ยังจะอยู่เมืองไทยต่อไป
ดิฉันได้ปลอบโยนเจ้าของร้่านหนังสือผู้เปรียบเสมือนน้องชายว่า ไม่เป็นไรหรอก งบอาจารย์ญี่ปุ่นหาหนังสือในเมืองไทยขึ้นอีกแล้ว ๕๐%
ขอเรียนเชิญทุกท่านในเรือนไทยลงมาพูดคุยแสดงความคิดเห็นหรือเพิ่มเติมเรื่องหลังจากดิฉันได้จบเรื่องแล้ว ท่านที่มีหนังสือเล่มนี้ขอเรียนเชิญ
ให้ปาดได้ทุกขณะ เพื่อรักษาเนื้อเรื่องตามที่ตั้งใจไว้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อ 28 ธ.ค. 10, 15:09
|
|
ขอบคุณ คุณเพ็ญชมพู ค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อ 28 ธ.ค. 10, 15:35
|
|
บิดาชื่อจร มารดาชื่อหวาน ตอนนั้นยังไม่มีการใช้นามสกุล
บิดาเป็นทหาร ในยุคนั้นยังไม่มียศเป็นศัพท์ไทย เรียกทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Lieutenant ว่า
เลฟตาแน้นท์ เมื่อคำนั้นยาวและไม่สะดวกปากจึงย่อกันว่า "เล็บ" บิดาท่านจึงเป็น "เล็บจร"
คุณปู่คือหลวงประจักษ์ศิล(เปลี่ยน) เป็นเจ้ากรมของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม
คุณย่าชื่อหนูเสน เป็นลูกสาวคหบดีที่บางจาก แต่งงานแล้วก็ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บางจากนั่นเอง เป็นสวนผลไม้นานาชนิด
ผลไม้ที่ขึ้นชื่อก็มีเงาะและทุเรียน เมื่อถึงฤดูเงาะออกผล เจ้ากรมเปลี่ยนจะกราบบังคมทูลเสด็จพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง
เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเก็บเงาะที่สวน คุณปู่ปลูกพลับพลาที่ประทับขึ้นในบริเวณกลุ่มต้นเงาะที่ได้คัดแล้วว่าผลงาทและรสชาติดีที่สุด
ทอดสะพานไม้กระดานยาวจากพลับพลาไปยังท่าเรือริมแม่น้ำเจ้าพระยา พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงจะเสด็จประประพาสต้น
พร้อมเจ้าจอมและข้าราชบริพาร ประทับเสวยพระกระยาหารและทรงพระสำราญพระราชอิริยาบทอยู่ ณ พลับพลาจนเย็นค่ำ จึงจะเสด็จกลับ
โดยเรือพระที่นั่ง พระองค์ท่านได้เสด็จเช่นนี้เป็นประจำอยู่หลายปี จนถึงปีก่อนสวรรคตจึงทรงงดเพราะพระพลานามัยไม่ดีเหมือนแต่ก่อน
(สำหรับทุเรียนนั้นไม่โปรดเสวยเลย ท่านผู้หญิงเล่าว่าในสมัยนั้นห้ามนำทุเรียนเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อ 28 ธ.ค. 10, 15:59
|
|
นายร้อยโทจร รับราชการอยู่พระบรมมหาราชวัง ได้มีโอกาสเข้าเฝ้า รับใช้สนองพระเดชพระคุณ
พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงและสมเด็จพระพันปีหลวงอย่างใกล้ชิดเป็นประจำ ส่วนคุณหวานก็
ก็เข้ามาเฝ้าฯ สมเด็จพระพันปีหลวงอยู่เสมอ
ท่านผู้หญิงเล่าว่าคุณหวานนุ่งโจงกระเบนผ้าพื้นสีตามวัน ใส่เสื้อแขนกระบอก และสะพายผ้าแพรสีนวล ๆ
มิได้เปลี่ยนเป็นสีประจำวันอย่างที่เป็นที่นิยมในสมัยนั้น ท่านสวมรองเท้าแตะเมื่ออยู่นอกวัง เมื่อถึงเขต
ประตูพระบรมหาราชวังก็จะถอดรองเท้าแตะออก ถือข้ามธรณีประตูและเดินเท้าเปล่าเข้าไปจนถึงพระที่นั่งสุทธาศรี
ซึ่งเรียกกันว่า "ที่บน" จะนั่งรอเฝ้าที่ขั้นอัฒจรรย์ใหญ่จนกว่าจะเสด็จออก
วันหนึ่งคุณหวานซึ่งตั้งครรภ์แรกเข้าเฝ้าอยู่ สมเด็จพระพันปีหลวงตรัสว่า ถ้าลูกในท้องเป็นผู้หญิงก็ขอเถอะ
จะเอามาเลี้ยงให้ ถ้าเป็นผู้ชายไม่เอา
สิบเดือนหลังจากท่านผู้หญิงเกิด บิดา"เล็บจร" ก็ถึงแก่กรรม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
piyasann
|
ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อ 28 ธ.ค. 10, 20:48
|
|
ขอบคุณครับ คุณ Wandee ที่กรุณานำหนังสือมาให้ได้ชม และอ่านกัน, ผมเก็บหนังสือเล่มนี้ไว้นานมากแล้ว พออ่านกระทู้แล้ว ก็เกิดระลึกถึง ท่านผู้หญิงและท่านเจ้าคุณขึ้นมา จึงไปปัดฝุ่นหนังสือดัวกล่าวออกมาอ่านอีกรอบ (ตัวผมเกิดไม่ทันท่านหรอกครับ แต่รู้จักท่านด้วย หนังสือและคำบอกเล่าของท่านผู้ใหญ่ )
อ่านกระทู้ใน เรือนไทย.วิชาการ.คอม มานานแล้วครับ แต่ยังไม่ได้ สมัครสมาชิกซักที จึงได้คราวนี้เป็นเหตุแล้วครับ
ถ้าเป็นเว็บไซด์อื่น คงต้องขอฝากเนื้อฝากตัวกันเป็นอารัมภบทก่อน....... แต่เป็นเว็บไซด์นี้ คงต้องขอ "ยกพาน หญ้าแพรก, ดอกเข็ม, ดอกมะเขือ, ข้าวตอก แล ธุปเทียน" เป็นการไหว้ครู ขอบพระคุณทุกท่านที่ ได้เป็นเสมือนอาจารย์ครับ
กำลังรวบรวมเหตุการณ์ บางอย่างของไทยอยู่ครับ คงต้องได้รบกวนทุกท่านได้โปรดอนุเคราะห์ ..........ขอบพระคุณครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 7 เมื่อ 28 ธ.ค. 10, 21:37
|
|
ยินดีต้อนรับแทนทุกคนในเรือนไทยค่ะ ดิฉันอ่านหนังสือเก่าอย่างเดียวค่ะ เรื่องสาแหรกทั้งหลายก็พอผ่านตา
วรรณคดีก็พออ่านพอออก นี่ก็หวั่นไหวระทึกเพราะคุณหลวงเล็กท่านว่าจะต้อนรับปีใหม่โดยการตั้งคำถาม ๑๐๐ ข้อ
เกี่ยวกับวรรณคดีเรื่องหนึ่ง มาช่วยกันตอบนะคะ ถือว่ารื่นเริงด้วยกัน คงจะหวิดสอบได้กันหลายคนทีเดียว
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ ดิฉันมีหนังสือของท่านเจ้าคุณอีกเล่มด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อ 29 ธ.ค. 10, 07:52
|
|
ชีวิตในวัง
เมื่อท่านผู้หญิงอายุได้ประมาณ ๗ ขวบ สมเด็จพระพันปีหลวงได้ทรงเตือนว่า เมื่อไรจะให้เข้ามาอยู่ในวังเสียที
ถ้ามาอยู่จะให้เรียนหนังสือ จะโกนจุกให้ และจะให้เป็นข้าหลวงทูลกระหม่อมเอียดน้อย(พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว)
ท่านผู้หญิงก็ได้เข้าเฝ้าถวายตัวเป็นข้าหลวงสมเด็จพระพันปีหลวงและเป็นข้าหลวงสำหรับเล่นกับทูลกระหม่อมเอียดน้อย
ในสมัยนั้น สมเด็จพระพันปีหลวงทรงอุปการะเด็ก ๆ ไว้มาก ส่วนหนึ่งจะเป็นพระราชนัดดาชั้นหม่อมเจ้า และส่วนหนึ่งจะเป็นบุตรธิดา
ของข้าราชการบ้าง ข้าราชบริพารบ้าง ห้องพระราชนัดดานั้นเรียกว่า "ห้องหม่อมเจ้า" เป็นห้องกว้างใหญ่ อยู่ชั้นล่างของพระที่นั่ง
เทพดนัย ท่านก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้อยู่ในห้อง "หม่อมเจ้า"
เด็ก ๆ ที่ยังไม่ได้โกนจุกจะมีพี่เลี้ยงคอยดูแล พี่เลี้ยงคนหนึ่งจะดูแลเด็ก ๔ คน ในเรื่องของการอาบน้ำ ทาขมิ้น แต่งตัว เกล้าจุก
กันไรจุก และให้เด็กๆขึ้นเฝ้าฯทุกวันเมื่อเสด็จออก ท่านผู้หญิงทัศนีย์ เขียนไว้ว่า คุณแม่บรรยายให้ฟังว่าพี่เลี้ยงของท่านดุยังกับเสือ
และท่านเบื่อที่สุดก็ตอนเกล้าจุก กันไร เพราะต้องนั่งนิ่ง ๆ ถ้าไม่นิ่งก็จะถูกดุ หรือกลัวมีดโกนบาด
ข้าหลวงทูลกระหม่อมฯคือพระสหายในการเล่น เป็นผู้หญิงทั้งสิ้น อายุ ๗ - ๙ ขวบ ทูลกระหม่อมจะเล่นอะไรข้าหลวงก็จะเล่นเป็นเพื่อน
การเล่น ๒ - ๓ อย่างที่อยู่ในความทรงจำของท่านคือการเล่นไปเที่ยวศรีราชาและเก็บหอยตามชายหาด โดยจะนำลูกกวาดและช็อคโกแลต
ซึ่งหม่อมศรีพรหมมาเป็นผู้เบิกมาจากห้องขนมและเอามาโปรยกันที่พื้นสมมุติว่าเป็นหอยบนหาดทราย เด็กๆสนุกในการเก็บขนม
รับประทานเป็นที่ครื้นเครง ข้าหลวงจึงชวนทูลกระหม่อมให้ทรงเล่นไปเที่ยวชายทะเลอยู่เนือง ๆ
ขณะนั้นกำลังโปรดเกล้าให้สร้างสวนดุสิต ดังนั้นแทบทุกเย็นพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงและสมเด็จพระพันปีหลวงจะเสด็จ
ไปทอดพระเนตรการก่อสร้าง การเสด็จนั้นเสด็จกันคนละกระบวนโดยรถม้า กระบวนของสมเด็จพระพันปีหลวงจะมีข้าหลวง
เด็ก ๆขี่จักรยานตามเสด็จ ข้าหลวงเด็ก ๆ จะต้องแต่งตัวชุดโจงกระเบน ใส่เสื้อคอแบบเชิ้ต แขนหมูแฮม สวมถุงน่องรองเท้า
และสวมหมวกฟาง รถที่ท่านผู้หญิงได้รับพระราชทานคือรถฮัมเบอร์สีเขียว(ถือว่าโก้หนักหนาและช้อยในเรื่องสี่แผ่นดินก็ชื่นชม)
หน้ารถมีตะกร้าที่เด็ก ๆ จะใส่ขนมและแตงโมลูกแก้ว สมเด็จพระพันปีหลวงประทับรถม้าพระที่นั่งเปิดประทุน มีคุณท้าวตามเสด็จ
ราชองค์รักษ์ขี่ม้าตามเสด็จเยื้องมาเบื้องหลัง ขบวนจักรยานของเด็ก ๆ ตามมาอีกทีหนึ่ง
ราชองค์รักษ์มีชื่อว่าจมื่นไวยวรนารถ แต่ด้วยเหตุที่มีผมน้อยมาก ท่านหญิงพรพิมล(ท่านแม่ของพระองค์หญิงวิภาวดี)
จึงทรงตั้งชื่อให้ใหม่ว่า "จมื่นเกศาพินาศ" และแอบเรียกกันจนเจ้าตัวก็รู้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 9 เมื่อ 29 ธ.ค. 10, 16:18
|
|
สมเด็จพระพันปีหลวงได้ทรงพระกรุณาให้ข้าหลวงเด็ก ๆ ของท่านได้มีโอกาสเรียนหนังสือ เมื่อตอนเล็กอยู่
จะให้ผู้ใหญ่หรือเจ้านายผู้ใหญ่สอน
เมื่ออายุประมาณ ๑๐ - ๑๑ ขวบ นักเรียนจะออกมาเรียนที่โรงเรียนวังนอก คือ ที่กรมศิลปากร แต่ก่อนเป็นวังของ
กรมหมื่นปราบปรปักษ์ การเรียนเรียนรวมกันทั้งชายหญิงและเรียนเป็นชั้น ๆ การแต่งกายออกมาเรียนนอกวังต้องสวมถุงน่องรองเท้า
และต้องเดินเป็นแถว ออกจากพระบรมมหาราชวังทางประตูวิเศษไชยศรี ในภาคเช้าจะเรียนภาษาไทยมีครูผู้ชายชื่อครูเพื่อนเป็นผู้สอน
ส่วนในภาคบ่ายเรียนภาษาอังกฤษ มีแหม่มลูกครึ่งปอร์ตุเกส ชื่อ Miss Bellamin da Costa เป็นผู้สอน
ท่านผู้หญิงเล่าว่าการเรียนภาษาไทยสนุกสนานมาก หนังสือที่ใช้สมัยนั้นเป็นชุด คือ มูลบทบรรพกิจ วาห์นิติ์นิกร
อักษรประโยค สังโยคพิธาน พิศาลการันต์ ท่านไม่ได้เล่าว่าเรียนไปถึงเล่มไหนแต่เล่าเรื่องซุกซนไว้ว่า หม่อมศรีพรหมา
เพื่อนรักของคุณแม่ได้บรรยายเกี่ยวกับครูเพื่อนไว้ว่า "...ครูเพื่อนมีลักษณะโบราณ ทุกส่วนเป็นสีน้ำตาล ตั้งแต่สีผิว
ผม ผ้านุ่ง เสื้อ มือ เล็บ แม้แต่ฟัน เด็ก ๆ ไม่ค่อยเกรงใจครูเลย จะว่าก็ไม่ฟัง"
วันหนึ่งขณะหยุดพักกลางวัน ครูเพื่อนเอาเสื้อนอกแขวนห้อยจากเพดานกลางห้อง เพราะกลัวเด็กจะค้น แต่ก็ไม่พ้นมือ
นักเรียนซน ๆ ได้เอาเก้าอี้มาต่อกันแล้วค้นกระเป๋าครู แก้ห่อหมากแห้งของครูออกมาค้น แล้วหยิบสมุดบันทึกเก่า ๆ ที่ครู
บันทึกเกี่ยวกับนักเรียนมาอ่านเป็นที่ขบขัน ครูบันทึกเป็นนัย ๆ ไว้ว่า
"คุณจร(ท่านผู้หญิง) กาหล" หมายความว่าเอ็ดตะโร
"คุณสายหยุดกางร่ม" หมายความว่าดื้อดัน
คุณศรีโดนว่า "โคมลอย" ซึ่งหมายความว่าพูดไม่ได้ความ แล้วครูยังเขียนไว้ว่า "นักเรียนเหล่านี้ ว่ายากจริงแฮ
บาปที่ทำเช่นนี้ กรากขึ้นทันตาเห็น"
เมื่อนักเรียนอ่านแล้วก็เป็นที่ขบขัน และขบขันกันมากเมื่อครูพบว่าหมากแห้งหายไป ๒ - ๓ คำ ไม่พอสำหรับคนกินตลอดวัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 10 เมื่อ 30 ธ.ค. 10, 07:20
|
|
ถึงแม้นักเรียนจะซนและแกล้งครูเช่นนั้นก็ตาม แต่ก็ยังมีใจรักและเห็นอกเห็นใจครูในบางโอกาส เช่นในวันเกิดของ
เจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์ท่านมักจะแจกผ้านุ่ง ครูเพื่อนได้รับแจกมาผืนหนึ่งแล้ว แต่นักเรียนก็ยังไปขอมาให้ครูเพื่อนอีก ๒ - ๓ ผืน
การเรียนภาษากับครูแหม่ม Bellamin ไม่มีโอกาสได้ซนเท่ากับเวลาเรียนกับครูเพื่อน นอกจากจะสอนอ่านและเขียน
ยังสอนให้ร้องเพลงฝรั่งและเต้นรำแบบง่าย ๆ ครูให้จับคู่กับเก้าอี้และร้อง one, two, three, hop แล้วยกเก้าอี้ ต่อจากนั้น
นักเรียนก็จับคู่กันแล้วเต้นตาม เด็กนักเรียนบางครั้งเก็บดอกจำปาจำปีมาให้แหม่ม การออกกำลังของแหม่มในเวลาว่างคือ
ตีกอล์ฟที่ท้องสนามหลวงกับพวกฝรั่งด้วยกัน บางครั้งเวลาสมเด็จพระพันปีกริ้วแหม่ม ท่านทรงเรียกว่า "แหม่มแบหลา"
ตอนหลังแหม่มได้แต่งงานกับชาวอังกฤษและเปลี่ยนชื่อเป็น Mrs. Spivey แหม่มอยู่ประเทศไทยนาน เมื่อถึงแก่กรรม
ศพก็ไว้ที่สุสานในกรุงเทพ ฯ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 11 เมื่อ 31 ธ.ค. 10, 06:39
|
|
ชีวิตในประเทศญี่ปุ่น (พ.ศ. ๒๔๔๖ - ๒๔๕๑)
เหตุที่ท่านผู้หญิงได้รับพระมหากรุณาธิคุณรับพระราชทานทุนไปศึกษา ณ ประเทศญี่ปุ่นสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์
ใน พ.ศ. ๒๔๔๕ เมื่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมงกุฎราชกุมาร ระหว่างเสด็จกลับจากการศึกษาที่ประเทศอังกฤษ
ได้เสด็จประพาสประเทศญี่ปุ่นและทรงเห็นความก้าวหน้าของหัตถกรรมและศิลปะญี่ปุ่น จึงมากราบบังคมทูล และรับสั่งว่า
ถ้าสมเด็จแม่มีเด็กที่มีแววทางนี้ก็น่าจะส่งให้ไปเรียนที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อเรียนจบกลับมาแล้วจะได้มาสอนคนไทยบ้าง
สมเด็จพระพันปีหลวงทรงเห็นชอบในพระราชดำริ จึงทรงเลือกกุลสตรี ๔ คน มี แม่พิศหลานท่านผะอบ แม่นวลซึ่งมีป้าอยู่ห้องเครื่อง
แม่หลีซึ่งเป็นบุตรบุญธรรมของข้าหลวงพระองค์นารี และ ท่านผู้หญิง สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชก็ได้ทรงเลือกมหาดเล็กของพระองค์
๔ คนให้เดินทางไปศึกษาด้วย ท่านผู้หญิงกับคุณพิศไปเรียนวิชาปักสะดึงและวาดเขียนแบบญี่ปุ่น คุณหลีกับคุณนวลไปเรียนการทำดอกไม้แห้ง
ออกเดินทางประมาณเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๔๔๖ สมเด็จพระพันปีหลวงได้ทรงฝากให้เดินทางไปกับ นาย โทคิชิ มาซาโอะ(นายเมาเซา) และภรรยา
นายเมาเซา รับราชการเป็นที่ปรึกษาในกระทรวงยุติธรรม เป็นผู้เริ่มให้ญี่ปุ่นยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตในไทย ต่อมาได้รับพระราชทาน
บรรดาศักดิ์ให้เป็นพระยามหิธรมนูปกรณโกศลคุณ
การเดินทางไปญี่ปุุ่นสมัยนั้นมีอยู่ทางเดียวคือโดยเรือเดินสมุทรซึ่งใช้เวลาเกือบหนึ่งเดือน ต้องไปขึ้นฝั่งที่ฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ แล้วไปขึ้นฝั่งที่โยโกฮามา
แล้วขึ้นรถไฟต่อไปยังกรุงโตเกียวไปพักอยู่กับครอบครัวญี่ปุ่นซึ่งเป็นทั้งครูและผู้ปกครอง
ในตอนเช้าท่านผู้หญิงเดินไปโรงเรียนเพื่อเรียนภาษาญี่ปุ่น แล้วกลับมากินอาหารกลางวันที่บ้าน ในตอนบ่ายจะไปเรียนวิชาพิเศษที่บ้านครู
บางวันไปเรียนวาดเขียน บางวันไปเรียนปักสะดึง บ้านครูพิเศษนี้อยู่ในทิศทางตรงกันข้ามกับโรงเรียน ต้องเดินไปไกลพอใช้ ในฤดูที่อากาศดี
ก็ไม่ลำบาก แต่ถ้าฝนตกหรือหิมะตกและต้องเดินเท้าแบบญี่ปุ่นยำ่หิมะก็ทุลักทุเล
เมื่อท่านผู้หญิงอยู่ญี่ปุ่น ท่านเป็นที่นิยมรักใคร่ในแวดวงของท่าน เขาตั้งชื่อญี่ปุ่นให้ท่านว่า ฮานาโซนะ ยูริโกะ แปลว่า ดอกลิลลี่(ว่าน)ในสวนดอกไม้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 12 เมื่อ 31 ธ.ค. 10, 07:44
|
|
ชีวิตในวังหลังจากกลับจากญี่ปุ่น พ.ศ. ๒๔๕๑ - ๒๔๕๕
เมื่อสำเร็จการศึกษาและกลับสู่ประเทศไทยใน พ.ศ. ๒๔๕๑ ท่านผู้หญิงได้กลับมาเป็นข้าหลวงรับใช้เบื้องพระยุคลบาทสมเด็จพระพันปีหลวงเช่นเดิม
ซึ่งในขณะนั้นประทับที่พระตำหนักสวนสี่ฤดูพระราชวังดุสิต สมเด็จพระพันปีหลวงทรงมีพระเสาวณีย์ให้คุณแม่ไปเป็นครูที่โรงเรียนราชินี
มี ม.จ. พิจิตรจิราภา ทรงเป็นอาจารย์ใหญ่ สอนวิชาวาดเขียนและปักสะดึงแทนครูญี่ปุ่นซึ่งกลับไปเมื่อหมดสัญญา
เวลาไปโรงเรียนก็ไปเรือเลียบฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาและไปขึ้นที่ท่าราชินี
ท่านผู้หญิงพักอยู่ที่เรือนไม้ ๒ ชั้น ข้างล่างเป็นที่อยู่ของ "นายแดง" (แต่เป็นผู้หญิง)หัวหน้าห้องเครื่องซึ่งชอบพอกับคุณแม่มาก
และมีข้อตกลงกันว่าถ้าคุณแม่หิวก็ให้หย่อนเชือกลงมาแล้วนายแดงก็จะห่ออาหารผูกเชือกให้ท่านผู้หญิงสาวเชือกขึ้นไป บางครั้งนายแดง
ก็จะใจดีห่ออะไรแอบมาวางให้ในห้อง ถ้าท่านไม่อยู่หรือเผลอ ท่านหญิงพรพิมลพรรณซึ่งอยู่ห้องติดกันทรงแกล้งเอาไปซ่อน หรือแอบเอาไปเสวย
เสียก่อน นายแดงมีความสามารถในการทำและจัดอาหาร ในการตั้งเครื่องทุกครั้งจะมี เครื่องใหญ่ซึ่งเป็นกับข้าวหลักนานาชนิด
เต็มหนึ่งถาดใหญ่ มีเครื่องเคียงอีกหนึ่งถาด แล้วถึงจะถึงเครื่องหวาน ที่เก่งกว่าปกติคือจัดเครื่องพิเศษ ซึ่งจะเสวยเมื่อใดก็เมื่อนั้น
ไม่มีกำหนดล่วงหน้า สามารถจัดถวายได้ในระยะเวลาอันสั้น ทั้งๆที่สมัยนั้นไม่มีตู้เย็นสำหรับถนอมอาหารสดไว้มาก ๆ
หรือมีเครื่องผ่อนแรงอย่างสมัยนี้แต่ประการใด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทพกร
|
ความคิดเห็นที่ 13 เมื่อ 31 ธ.ค. 10, 14:09
|
|
ขอบคุณสำหรับเรื่องดี ๆ ครับ 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 14 เมื่อ 31 ธ.ค. 10, 14:53
|
|
ขอบคุณคุณเทพกรอย่างยิ่ง
การอ่านเรื่องราวดี ๆ ที่สนุกและให้ความรู้เป็นการแบ่งปันความสุขกันค่ะ เป็นความสุขที่หาได้ง่าย
ปัดและเป่าทุกข์บางประการให้ห่างออกไป สร้างกำลังใจเมื่อเรียนรู้ว่าผู้ใหญ่ที่มีเกียรติยศ ชื่อเสียง
และบรรดาศักดิ์หลายต่อหลายท่านมาจากสามัญชน เรียนรู้ว่าท่านเหล่านั้นคิดอย่างไร ทำตัวอย่างไร
และประสบความสำเร็จปานใด มีครอบครัวเป็นสุขและบุตรหลานที่ดีงาม มีการศึกษา มีชื่อเสียงเป็นที่เคารพทั่วไป
ในปีที่ผ่านมานี้ ดิฉันคิดว่าเป็นปีที่ดีที่สุดในชีวิตเพราะได้พบปะและสนทนากับเพื่อน ๆ ในเรือนไทย
ได้รับโอกาสจากท่านเจ้าเรือนให้เขียนถึงเรื่องราวบางประการที่ดิฉันคิดว่าสำคัญ โดยมีหลักฐานพอสมควร
ได้รวมรวมหนังสืออนุสรณ์ที่กระจัดกระจายอยู่ในบ้านให้มารวมอยู่ในตู้หนังสือ ได้รับคำแนะนำจากเพื่อนๆ
หลายคนว่าการเสริมความรู้และหาหลักฐานเพิ่มเติมทำอย่างไร เพื่อน ๆ ของดิฉันเป็นนักอ่านค่ะ เราอ่านหนังสือ
แข่งกันและคุยกันแต่เรื่องหนังสือโดยเฉพาะหนังสือเก่าที่มีค่าและหายาก
เมื่อวานนี้ได้รับเชิญจากนักสะสม ริชาร์ด ใจสิงห์ ให้ไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดของเธอ ต้องจดรายละเอียดเอง
ไม่ได้รับอนุญาตให้ถ่ายรูปเพราะหนังสือโบราณคร่ำคร่า ดิฉันได้พบหนังสือ "ราชินีบำรุง" แล้วส่วนหนึ่งค่ะ แต่ยังไม่เจอรุ่นที่หม่อมเสมอ แปล
คุณพ่อขายาวไว้ หวังว่าคงจะได้พบเป็นแน่ในเวลาไม่นานนัก
ขอบคุณที่อ่านและกรุณาโพสรูป เพื่อน ๆ จะได้เห็นว่า ท่านผู้หญิงเฟี้ยวขนาดไหน และละมุนละม่อมปานใด
สวัสดีปีใหม่ค่ะ และเราคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันต่อไป
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|