Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 15 เมื่อ 03 ธ.ค. 10, 08:04
|
|
ฉันเข้าโรงเรียนชาวบ้านเพราะเรียนกันตามบ้าน ครูทำหน้าที่สอนหนังสือ ทั้งอบรมกิริยามารยาท ทั้งเป็นพี่เลี้ยงดูแลอาหารการกิน
ฉันเรียนในห้องใหญ่ในบ้าน มีบรรยากาศอบอุ่นใจ ท่านเจ้าของตึกสร้างขึ้นเพื่อให้ครอบครัวเล็ก ๆอยู่ เลียนแบบตึกอังกฤษ
เป็นที่อยู่ทันสมัยมาก ท่านเจ้าของคือพระยาบรมบาทบำรุง ตึกนี้อยู่ที่มุมห้าแยกพลับพลาไชย ต่อมาเป็นร้านข้าวหน้าไก่เหลาะงาทิ้น
(ข้าวหน้าไก่....!!!)
ห้องเรียนมีห้องเดียว นั่งกับพื้นมีไม้ต่อเป็นม้าวางหนังสือ ค่าเล่าเรียนก็เก็บกันเดือนละสองสลึงถึงหนึ่งบาท
ฉันไปเรียนไม่เสียสตางค์เพราะเป็นหลาน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
:D :D
|
ความคิดเห็นที่ 16 เมื่อ 03 ธ.ค. 10, 09:39
|
|
..อร่อยระดับตำนาน...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 17 เมื่อ 03 ธ.ค. 10, 15:52
|
|
ฉันเรียนแบบเรียนเร็วของกระทรวงธรรมการ เริ่มแต่ ก.ไก่ วิธีอ่านก็วางหนังสือลงบนม้าสี่เหลี่ยมผืนผ้าเตี้ย ๆ
พอสำหรับนักเรียนนั่งพับเพียบ เวลาครูสอนอ่าน ฉันก็ใช้ไม้ก้านธูปจิ้มไป ปากอ่านไป ตาเหม่อออกไปข้างนอก
เผื่อจะได้เห็นอะไร ต่างคนต่างอ่านของตนเสียงสับสน เมื่อใครถูกครูเรียกออกไปอ่าน อ่านถูกหมดก็ได้ต่อบทใหม่
เรียกว่าไปต่อ แบบเรียนเร็วเล่ม ๑ เป็นแบบหัดอ่านไม่เหมือนมูลบทบรรพกิจ คือไม่มีการแจกลูก แต่ใช้แบบหัดอ่านเป็นเรื่องทบทวนความจำ
เป็นเรื่องราวของสังคมสมัยนั้น เป็นร้อยแก้วแบบหัดอ่านตัวสะกดในแม่กน ตอนหนึ่งว่า "หนูแหวนแขนอ่อนบ้านอยู่บางเขน"
แสดงว่าสมัยนั้นเด็กผู้หญิงที่มีลักษณะเป็นผู้หญิงแท้ และนิยมกันว่าสวยนั้นจะต้องแขนอ่อน เพราะสมัยนั้นนั่งพับเพียบท้าวแขน
เพื่อยันตัวให้นั่งอยู่ได้นานจะได้ไม่เมื่อย
ฉันเป็นเด็กหญิงที่ซนมากและลือชื่อมาจนเป็นนักเรียนชั้นโต ฉันช่างคุยจนถูกทำโทษบ่อย ๆ แต่การเรียนไม่เสียครูจึงรัก
ฉันเรียนที่โรงเรียนนี้พออ่านออกเขียนได้ก็ย้ายโรงเรียนเพราะคุณป้าครูต้องย้ายไปสอนที่โรงเรียนสตรีเสาวภาบ้านหม้อ ฉันต้องตาม
ไปด้วย และได้เป็นนักเรียนโรงเรียนหลวง ต้องหอบหนังสือกระดานชนวน ดินสอหิน ขวดน้ำสำหรับลบกระดานและอาหารกลางวัน
ในสมัยนั้นกระดานชนวนส่วนมากทำด้วยหินเป็นแผ่นแบน ๆ สีดำเป็นมันมีไม้ล้อมกรอบกันแตก ไม้นั้นก็ทาน้ำมันกันสกปรก ดินสอที่เขียน
เรียกว่าดินสอหิน แท่งขนาดหลอดกาแฟ ซื้อกันเป็นกล่องมันเปราะหักง่าย และต้องฝนให้แหลมจึงจะเขียนได้ดี
เขียนหนังสือก็เขียนกดลงไปบนกระดานชนวนแต่เบา ๆ จะเป็นเส้นสีขาว ถ้ากดแรงจะเป็นรอยลึกลบยาก ฉะนั้นต้องีฝีมือเขียน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 18 เมื่อ 03 ธ.ค. 10, 16:26
|
|
การเดินทางจากวรจักรไปโรงเรียนที่บ้านหม้อ นับว่าไกลมาก นอกจากกระเป๋าหนังสือยังมีขนมฝรั่งอยู่ในกระเป๋า
กระเป๋ามีหลายชั้น ตอนแรกใส่ดินสอหิน ขวดน้ำที่ใช้ลบกระดานต้องใช้ขวดน้ำอบสวย ๆ(ประกวดกันมากสมัยนั้น)
ผ้าเช็ดกระดาน กระดานชนวน หนังสือ ของกินที่เป็นของคาวใส่ปิ่นโตเล็ก ๆ สามชั้น สีเขียวอ่อนมีลายนูนเป็นสีชมพู
ปัญหาการเดินทางไม่ต้องพูดถึง เพราะคุณตาฝากให้ไปกับป้าสะใภ้ที่เป็นครู และมีเพื่อนอีกสองคนมาร่วมเดินไปด้วย
บางวันเดินไปขึ้นรถรางที่สี่แยกวรจักรไปลงปากคลองตลาด ถ้าวันไหนไปสายหน่อยก็ขึ้นรถเจ๊กชนิดใหญ่หน่อย
รถขนาดใหญ่นี้ผู้ใหญ่สองคนนั่งได้สบาย เด็กตัวเล็ก ๓ คนอย่างพวกฉันและป้านั่งได้พอดี
เพื่อนสองคนของฉันนั้นคนหนึ่งฐานะดีกว่าฉันมาก ตอนท้ายสามีตายฉันกลับต้องเป็นผู้ช่วยเหลือเขา ทำให้ฉันคิดว่าคนเรานั้น
คงมีผู้ลิขิตชีวิตเป็นแน่ เพราะทั้งสามคนต่างก็พยายามทำความดี แต่ผลที่ได้รับต่างกันเห็นปานฉะนี้ ก็ควรที่จะพิจารณาด้วยเหตุผลเมื่อผจญ
อุปสรรค จังหวะแห่งชีวิตเป็นตัวจักรสำคัญที่จะผวนผันไปให้ได้ลงช่องที่เหมาะหรือไม่ เพื่อนของฉันอีกคนได้ไปเป็นใหญ่เป็นโต
ฉันก็ได้พึ่งเขาเหมือนกันเมื่อมีธุระ เขาได้เป็นคนสนิทของผู้ใหญ่ สุดท้ายก็ได้เป็นภริยาเอกอรรคราชทูต
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Ruamrudee
|
ความคิดเห็นที่ 19 เมื่อ 03 ธ.ค. 10, 16:46
|
|
แวะมานั่งพับเพียบเรียบร้อยตามอ่านไม่ลดละเจ้าค่ะ
รถซ่อมเสร็จเมื่อไร จะหา เฮโลอีน ...อุ๊ย...ขอประทานโทษค่ะ คาเฟอีน ไปจิ้มก้องแลกหนังสืออ่านนะเจ้าคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 20 เมื่อ 04 ธ.ค. 10, 05:37
|
|
น่าแปลกที่ว่าพระเจ้าหรือธรรมชาติก็มักจะทดแทนให้ในสิ่งที่คนอื่นไม่มี เพื่อนคนแรกเธอมีพร้อมทุกอย่าง
แต่ขาดลูกที่จะผูกจิตใจทั้งพ่อและแม่ ส่วนเพื่อนคนที่สองมีลูกหลายคนแต่ขาดพ่อ ส่วนตัวฉันเองก็ปานกลาง
และในชีวิตของฉันก็ได้เห็นเช่นนี้มามากหลาย
ฉันเรียนอยู่โรงเรียนเสาวภาประมาณ ๖ เดือน ฉันแปลกใจเป็นอย่างยิ่งว่าโรงเรียนหญิงทำไมต้องมีลับแล ซึ่งทำเป็น
ขาตั้งแล้วตีไม้เป็นแผ่นยาวประมาณสามเมตรสูงสองเมตร เห็นจะเป็นเพราะหวงลูกสาวจึงต้องกั้นไม่ให้คนภายนอกเห็น
เมื่อฉันย้ายโรงเรียนก็พบกับลับแลอีก ที่ต้องย้ายโรงเรียนก็เพราะโรงเรียนเสาวภามีเพียงชั้นประถม โรงเรียนใหม่แถวเสาชิงช้ามีชั้นมัธยม
ลุงฉันแต่งงานใหม่และป้าสใภ้เป็นครูที่โรงเรียนนี้ ฉันจึงย้ายมาเข้าชั้นมูล
ฉันแต่งตัวไปโรงเรียนอย่างพิถีพิถันขึ้น เพราะมีนักเรียนมาก นุ่งผ้าโจงกระเบนผืนเล็ก ๆ ตามขนาดตัว สีต่าง ๆ ตามวันเพราะไม่มีเครื่องแบบ
สวมเสื้อขาวคอกลมลงมาจนปิดชายพก ซึ่งมีเข็มขัดรัดไว้ เข็มขัดเป็นเงินทึบ มีตะขอ และมีรูขยายได้ตามขนาดของเอว ฉันไว้ผมยาวราว
ครึ่งหลังต้องถักเปียให้เรียบร้อย ผูกโบว์ โบว์นั้นบางทีเรียกว่าริบบิ้น ยิ่งใหญ่เท่าไรยิ่งโก้ ยังจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าบางทีก็มี
ลวดลายต่าง ๆ เป็นตาหมากรุกก็มี สวมรองเท้าแตะประทุน(คือตอนหัวรองเท้าเขาเรียกประทุน)ทึบ ไม่โปร่ง เดินลากลำบากเหลือเกิน
ถ้าเดินไปในที่มีน้ำแฉะ กระเด็นขึ้นมาเปรอะผ้านุ่งหมด
เช้า ๆ คุณตาก็พามาส่งบ้านป้าสะใภ้ซึ่งอยู่ในตรอกเขมร อยู่ระหว่างสมาคมไวเอ็มซีเอกับสี่แยกวรจักร ตรอกนี้ไปทะลุออกถนนบ้าน
ดอกไม้ ตรงกลางมีถนนเลี้ยวไปออกถนนหลวงข้างวังกรมขุนกำแพงเพชร หรือที่เรียกกันว่าวังแดง บ้านป้าสใภ้อยู่ตรงมุมทางเลี้ยวพอดี
ด้านตรงกันข้ามมีบ้านคหบดีมีชื่อสมัยโน้น บ้านตรงกันข้ามก็ยังรักษาประตูเก่าไว้แม้จะเปลี่ยนรูปทรงบ้านเป็นตึกสมัยใหม่แล้ว
ประตูสังกะสีดามสังกะสีทั้งสองด้าน ด้านในมีตุ้มใหญ่ทำเป็นรอก เวลาเปิดปิดต้องค่อย ๆ เปิดและจะปิดเอง ไม่ต้องใช้บานพับสมัยใหม่
ฉันได้เข้าเป็นนักเรียนโรงเรียนหลวง เก็บค่าเล่าเรียนปีละ ๑๐ บาท ฉันเป็นเด็กซนมาก แต่เป็นเด็กตัวเล็กที่สุดจึงได้รับอภัยเสมอ
เมื่ออยู่ ป. ๑ นักเรียนชั้นเดียวกันอายุมากที่สุดแก่กว่าชั้นถึงแปดปี เขาเป็นหัวหน้าชั้น สมัยนั้นนักเรียนเกรงกลัวหัวหน้าชั้นมาก
ฉันประจบเขาจนเขารัก เมื่อชั่วโมงไหนไม่อยากเรียน ก็บอกว่าไม่สบายและไปหาพี่หัวหน้าที่หลังชั้นขอนอนตักหลับสบาย โต๊ะหัวหน้าชั้นจะอยู่หลังชั้นเสมอ
เพื่อควบคุมลูกน้อง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 21 เมื่อ 04 ธ.ค. 10, 15:32
|
|
ชั้นประถมสมัยก่อนไม่เรียนภาษาอังกฤษด้วยถือว่าเด็กยังเล็กนัก จะรับวิชามาก ๆ พร้อม ๆ กันย่อมเกินกำลังปัญญา
จึงเรียนแต่ภาษาไทยและความรู้เรื่องเมืองไทย การรักษาตัว ภูมิศาสตร์ บทเรียนด้วยของ จรรยา
ฉันเรียนอ่านไทยและหนังสือเรื่อง "พลเมืองดี" ของเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี ซึ่งท่านเขียนให้เด็กอ่านได้รู้เรื่อง
ในทางศีลธรรมจรรยา เราเด็กก็เรียนเรื่อง "สมบัติผู้ดี" สอนให้รู้ว่าผู้ดีต้องปฎิบัติอย่างไร ความรู้รอบตัวก็เรียน
ให้รู้เรื่องกรุงเทพก่อน เช่นกรุงเทพมีรถรางกี่สาย จากไหนไปไหน หนังสือพิมพ์มีกี่ฉบับ ชื่ออะไรบ้าง
เมื่อฉันเรียนป. ๑ นั้นมี ๕ ฉบับ ฉบับหนึ่งนั้นเป็นภาษาฝรั่งชื่อ "สยามออบเซอร์เวอร์"(สหายผู้เรืองปัญญาแถวนี้ร้องโอ๊ย!!
เพราะอยากอ่านมานานแล้ว ดิฉันก็อยากอ่านสยามมวย แต่จะไม่อ่านเรื่องหมัดมวยหรือศอก อยากอ่านบทความดี ๆค่ะ)
หนังสือพิมพ์ไทยชื่อฝรั่งมี เดลิเมล์ นักเรียนต้องท่องชื่อและโรงพิมพ์ว่าอยู่ที่ไหน หนังสือพิมพ์ไทยเป็นของรัฐบาลมี
ข้าราชการเป็นบรรณาธิการคือ พระสันทัดอักษรสาสน์ ต้นสกุลอักษรานุเคราะห์ โรงพิมพ์อยู่หลังวัดเทพศิรินทร์
วิชาภูมิศาสตร์ ก็เรียนภูมิศาสตร์เล่ม ๑ ของพระเมธาธิบดี สอนทิศทาง เรื่องความร้อนจากดวงอาทิตย์ เป็นเรื่องราวติดต่อกันเหมือนนิทาน
สาวน้อยผู้นี้จำความได้ไม่น้อยเลยนี่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 22 เมื่อ 04 ธ.ค. 10, 15:52
|
|
ในตอนปลายปี มีงานประจำปีของโรงเรียน ฉันตื่นเต้นมากเพราะได้แต่งตัวเต็มที่ ได้เห็นแขกรับเชิญมากมาย ได้ดูละคร
ปีนั้นฉันนุ่งผ้าโจงกระเบนสีน้ำเงิน สวมเสื้อคอตั้งผ้าป่านสีน้ำเงิน ตรงคอตั้งเป็นผ้าจีบฟู ตัวยาวปิดหน้าท้อง
ต่อตรงเอวเพื่อให้ปลายบาน จีบฟูเหมือนกับคอ มีแพรขาวรัดเอวมาผูกเป็นโบว์ทางด้านซ้าย
ตัวแขนเป็นลูกไม้ผ้าโปร่งสีขาว ปลายข้อมือเป็นผ้าป่านสีน้ำเงินจีบฟู ฉันสวมถุงน่องรองเท้าด้วย ถุงเท้าทำด้วยฝ้าย
รองเท้าส้นสูงเล็กน้อย ส้นเป็นรูปถ้วยแชมเปญ
ฉันถูกจับให้ดัดผมเพื่อให้ผมฟู แล้วจับผมทางขวามือหนึ่งปอยถักเปียไขว้มาทางซ้ายผูกโบว์สีดำใหญ่ การดัดผมเหมือนถูกจับ
ตัวมาทำโทษเพราะต้องนั่งนิ่ง ๆ ใช้คีมเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมใหญ่ คล้ายพิมพ์ขนมวอฟเฟิลเป็นร่องยาวๆ ผิงบนเตากะว่ามีความร้อนพอที่จะให้ผมอ่อนตามมือ
แล้วยกขึ้นบีบมือถือ จับผมแทรกลง นาบไปประมาณ ๑ นาที กะว่าผมเป็นลอนแล้วยกขึ้น กว่าจะเสร็จก็ร้อนพอดู อยากสวยก็ทนเอา
ด้านหน้าผมไม่หยิกก็มีหวีประดับเพชรเสียบไว้
วันแรกที่แต่งตัวเช่นนี้ ฉันรู้สึกว่าเป็นสาวขึ้นมากทั้งๆที่อายุ ๖ ขวบเท่านั้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 23 เมื่อ 04 ธ.ค. 10, 16:07
|
|
ฉันไปโรงเรียนทุกวันไม่เบื่อเลยเพราะชอบเล่นมาก พอกระดิ่งหยุดพักก็วิ่งไปจองที่เล่น บางทีก็ลืมกินข้าว
เข้าห้องเรียนตอนบ่ายก็เรียนไม่รู้เรื่องเพราะตัวเหนียวไปหมด การเล่นของเด็กผู้หญิงมีกระโดดเชือก ลิงชิงหลัก วิ่งเปี้ยว สะบ้า
มอญซ่อนผ้า ท่านผู้เล่าเรื่องนี้ได้เล่าไว้ว่าการเล่นที่เมื่อท่านโตแล้วไม้ได้เห็นคือโปลิศจับขโมย กับตี่จับ
(ด.ญ.วันดีขอให้การโดยสัตย์จริงว่าหลายสิบปีหลังจากนั้น ด.ญ.วันดีก็ควงปืนคู่ใส่แก๊ปเป็นบางครั้งวิ่งไล่ผู้ร้ายตัวเล็กกว่าไปตามซอยรางน้ำ มีหมวกเคาบอยของลูกชายบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษใบที่ดีที่สุดใส่หัว มรดกทางวัฒนธรรมนี้ไม่สูญเจ้าค่ะ)
เด็กผู้หญิงแถวบ้านชอบเล่นรำละคร เล่นหม้อข้าวหม้อแกง เลี้ยงน้อง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 24 เมื่อ 04 ธ.ค. 10, 16:22
|
|
ปีนั้นฉันป่วยเป็นไข้รากสาดหรือไทฟอยด์เจียนตาย การรักษาพยาบาลยังไม่เจริญ พ่อไปราชการ
ต่างจังหวัด คุณตาให้ยา วันสอบไล่แม่พาไปโรงเรียนเพราะเพิ่งฟื้นไข้ กลางวันแม่อยู่ป้อนข้าวกลางวัน
ปีต่อมาโรงเรียนไม่มีงานประจำปีเพราะสมเด็จพระพันปีหลวง พระราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระมงกฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคต
พวกเราทุกคนเศร้าสลดใจ ฉันเองเล็กๆแต่พอจำงานพระเมรุได้เลา ๆ แม่เล่าว่าเมื่องานพระเมรุพระบรมศพรัชกาลที่ ๕ นั้น
คุณตาเป็นผู้คุมการก่อสร้าง ท่านอยู่กรมโยธาธิการ งานพระเมรุเมื่อถวายพระเพลิงพระบรมศพ รัชกาลที่ ๖ นั้น ฉันอยู่ชั้น ม. ๖ แล้ว
จำความได้ดีว่าการสร้างพระเมรประณีตเหลือเกิน ที่เป็นทองก็ปิดทองคำเปลวจริง ๆ ทองสมัยรัชกาลที่ ๖ บาทละ ๒๐ บาท คนนิยมคาด
เข็มขัดทองเต็มไปหมด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 25 เมื่อ 05 ธ.ค. 10, 07:53
|
|
โรงเรียนที่ฉันเรียนเป็นโรงเรียนฝึกหัดครู นักเรียนฝึกหัดครูต้องรอบรู้หลายอย่างเพื่อไปเผยแพร่ในจังหวัดต่าง ๆ
จึงเรียนทอผ้าด้วย ในห้องประชุมซึ่งใช้ประโยชน์หลายอย่างมีกี่ทอผ้าอยู่ด้วย นักเรียนไปเช้าเย็นกลับใช้ห้องนี้รับประทานอาหารกลางวัน
พวกที่มีปิ่นโตมาก็แอบปิ่นโตไว้ที่หนึ่ง เลิกกลางวันก็มาล้อมวงรับประทานอาหารกัน พวกที่ไม่ได้เอาอาหารมาจากบ้านก็จะไปซื้อของจากแม่ค้าผู้เข้ามาขาย
วันสอบไล่ได้สตางค์มากเป็นพิเศษวันละ ๑๐ สตางค์ อาหารจานหนึ่ง ข้าวเนื้อย่างจิ้มซีอิ๊วก็ ๓ สตางค์ ขนมจานละ ๑ สตางค์
น้ำแข็งราดน้ำหวานนมสดก็ ๑ สตางค์ ฉะนั้น ๑๐ สตางค์จึงเหลือถึงเย็น ก๋วยเตี๋ยวชามละ ๓ สตางค์ ผลไม้สมัยนั้นที่สมัยนี้ไม่มีคือ
ลูกไหนจิ้มพริกกะเกลือ ลูกลิ้นดอง(เรียกเองเพราะลักษณะเหมือนลิ้น) จิ้มน้ำตาล ผลไม้แห้งคือเกี้ยมห้วยโป๋ เกี้ยมซึงตี เซงจาของจากเมืองจีน
มีรสอร่อย ๑ สตางค์ก็ได้มากพอดู ถ้าเป็นหน้าลิ้นจี่ ก็มีลิ้นจี่ดองลูกใหญ่ ๆ ควักจากไหหวานฉ่ำมาก เมื่อเลิกสอบแล้วจะวิ่งมาซื้อขนมพวกนี้ไปกินแล้วไปวิ่งเล่นต่อ
นักเรียนประจำรับประทานแยกจากนักเรียนไปเช้าเย็นกลับเพราะรับประทานไม่เสียเงิน กระทรวงศึกษาเป็นผู้อุปถ้มภ์เพราะเป็นนักเรียนทุน
ต้องกลับไปสอนตามจังหวัดที่ตนได้ทุน การรับประทานนั่งล้อมเป็นวงมีสำรับกลาง จานและสำรับนี้จะจัดไว้ก่อนโรงเรียนเลิก ข้าวหุงด้วยกระทะซึ่งต้องใช้แรงงานมาก
เพราะต้องโพงน้ำออกตอนข้าวจะสุก ข้าวก้นกระทะเป็นข้าวตัง เป็นรายได้พิเศษของคนทำ เราชอบซื้อข้าวตังใหม่ ๆ กินเล่นกันเอร็ดอร่อย ๒ แผ่นสตางค์ก็กินกัน ๕ คน
อาหารส่วนมากเป็นอาหารพื้นคือน้ำพริกปลาทู แกงส้ม วันไหนมีแกงเผ็ด มัสมั่นเป็นดีใจกันเหลือล้น
ในระหว่างรอผลสอบไล่อยู่นั้นเป็นฤดูที่มะม่วงกำลังออกผล ฉันเก็บมะม่วงดิบไปฝากเพื่อนนักเรียนเป็นประจำ เพราะที่บ้านมีต้นมะม่วง
หลายต้นชนิดต่าง ๆ กันสำหรับใช้ประโยชน์ต่าง ๆ ที่ใช้ตำน้ำพริกก็มีพิมเสนเปรี้ยว พอสุกก็ใช้กวนมะม่วงแผ่น ที่รับประทานดิบ ๆ ก็ได้แก่พิมเสนมัน
มะม่วงแก้วใช้ทำมะม่วงกวนเพราะเนื้อแข็งกวนแล้วใสเหมือนแก้วเป็นเส้น ๆ สวยมาก บางทีก็ดองไว้ในไหจิ้มน้ำตาลทราย
ที่ไว้รับประทานเมื่อสุกก็มีอกร่องซึ่งมีรสหวานแหลมเหมาะที่จะรับประทานกับข้าวเหนียวมะม่วง ยังมีทองคำ กับ เขียวไข่กาอีกสองต้น หน้ามะม่วงนี้ฉันสนุกมาก
เพราะคอยวิ่งแย่งมะม่วงหล่น มะม่วงแต่ละต้นโตมาก ยิ่งนานปีกิ่งก้านยิ่งสูง จะเก็บแต่ละครั้งต้องปีน ถ้าต้นโตมากลำต้นเท่าผู้ใหญ่เอามือโอบ
สูงประมาณ ๑๐ เมตรขึ้นไป ฉันตัวเล็กขึ้นต้นไม่เป็นต้องรอหล่นเวลาลมพัดหรือมีพายุ ต้นพิมเสนมีกิ่งระหลังคาเรือนหลังเตี้ยที่เป็นสังกะสี
พอหล่นก็ดัง เด็ก ๆ วิ่งแย่งกันสนุก ยิ่งแตกยิ่งอร่อย ที่บ้านเด็กที่รุ่นราวคราวเดียวกันมีแต่เด็กผู้ชายทั้งนั้น เขามาอยู่ที่บ้านเพื่อเรียนหนังสือ
ฉันจึงมีความว่องไวเท่าเด็กผู้ชาย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 27 เมื่อ 06 ธ.ค. 10, 07:03
|
|
ขอบคุณค่ะ คุณไซมีส
ตอนเด็กไม่ได้เจอขนมนอกบ้านเลยค่ะ หนึ่งไม่เคยมีสตางค์ติดตัว
เหตุผลข้อที่สอง และ สามสี่ไม่ต้องเอ่ย เพราะไม่มีสตางค์แล้ว ก็เป็นความครอบคลุมที่เหลือไม่ต้องเอ่ยก็ได้
ตามบ้านในสมัยฉันเป็นเด็ก ฉันเห็นทุกบ้านปลูกมะม่วงและชมพู่ถ้ามีที่ดินพอ ฉะนั้นทุกบ้านจึงมีมะม่วงและชมพู่รับประทานไม่ต้องซื้อ
รสอร่อยเพราะสดเก็บจากต้น ถ้ามะม่วงยังไม่สุก ก็ต้องรอบ่ม วิธีบ่มก็ใช้ใส่เข่งเอาใบตองสุม ที่บ้านฉันมีชมพู่หลายชนิด
ฉันเรียกว่าชมพู่เขียว ชมพู่แดง ชมพู่ขาว คือเรียกตามสี ชมพู่ขาว เขาเรียกว่ากะหลาป๋า จะได้มาจากไหนก็ไม่ทราบดูเสียงคล้ายชวา
หวาน อร่อย เนื้อแน่น ชมพู่แดงคือชมพู่สาแหรก มีลายแดงขาว
ฉันมีงานอดิเรกอยู่อย่างหนึ่ง หลังจากสอบไล่เมื่อกลับบ้านก็คอยเก็บมะม่วงขบเผาะ ที่หล่นจากต้นเมื่อยังเล็กอยู่ ชมพู่ที่หล่นลอยน้ำ
มารวมเข้าแล้วเย็บกระทงใบตอง ใส่มะม่วงและชมพู่เหล่านี้นำไปขายที่ตลาด บางทีนึกสนุกก็ไปนั่งขายเอง ชอบตรงได้รับสตางค์ทอนสตางค์
ที่ไปขายได้เองก็เพราะคุณทวดเก็บของสวนที่อยู่ห่างบ้านฉันไปไม่มาก แถวสวนมะลิ ออกไปตั้งแผงขายเอง มีมะม่วง มะปราง กล้วยตานีดอง
หน่อไม้ไผ่สีสุกที่หั่นและจัดเป็นตองแผ่อย่างสวยงาม หมากดิบ หมากสง ฉันก็ไปผสมกับท่านบ้าง บางทีก็ได้ ๕ - ๖ สตางค์ ดีใจเหลือเกินเพราะเป็นน้ำพักน้ำแรง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 28 เมื่อ 07 ธ.ค. 10, 09:44
|
|
แถวบ้านฉันใกล้สวนหลวงซึ่งมีมอญหรือผู้มีเชื้ออยู่หลายครอบครัว สวนหลวงอยู่ต่อจากวัดจางวางพ่วงไปจนถึงถนนบำรุงเมืองออกสะพานดำ
คือตรงถนนคลองถมเยื้องร้านสุภาพรรณ ที่เรียกกันว่าสะพานดำนั้น ฉันคิดว่าเป็นเพราะที่สะพานนี้ที่ราวสะพานมีรูปคุณแม้น
หม่อมของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช เจ้าของวังบูรพาภิรมย์ สะพานเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก มีรูปหม่อมเป็น
แบบรมดำ รูปทรงสะพานคล้ายสะพานมหาดไทยอุทิศที่ข้ามสี่แยกคลองบางลำภูตรงหน้ากรมโยธาธิการ ทางที่จะไปวัดสะเกศ
ที่สี่แยกสะพานดำหรือสี่แยกแม้นศรีแต่ก่อนยังมีร้านถ่ายรูปชื่อว่าฉายาแม้นศรี
การเล่นอย่างหนึ่ง ที่ฉันยังจำติดตาได้จนบัดนี้ ก็คือการเข้าแม่ศรี ที่ว่าจำได้ก็เพราะมีเหตุการณ์แปลกประหลาดพิสูจน์ไม่ได้
วันหนึ่งฉันเห็นคนกลุ่มหนึ่งแต่งตัวแบบชนบท เขาชวนมาเล่นแม่ศรีที่กลางลานวัดจางวางพ่วง เขาเอาครกตำข้าวมาคว่ำลง แล้วให้เด็กสาวคนหนึ่งนั่งลงบนครกแล้วเอาผ้าผูกตาไว้
พวกที่ล้อมวงก็ร้องเพลงเชิญแม่ศรี เขาเชื่อกันว่า แม่ศรีนั้นรำละครเก่งมาก และเมื่อเชิญมาแล้ว จะมาเข้าผู้ที่สมมุติเป็นแม่ศรี การร้องเชิญนั้น
บางทีก็ร้องเที่ยวเดียวสองเที่ยว ผู้ที่เป็นแม่ศรีก็จะลุกขึ้นรำไปตามทำนองที่ผู้ร้องร้อง เป็นการเล่นที่คิดว่าแม่ศรีมาเข้าทรง ฉันนั่งดูที่ระเบียงบ้านก็เห็นถนัด
เด็กคนนั้นแต่งตัวสวย นั่งพนมมือ ผู้ที่ล้อมวงร้องเพลงเชิญแม่ศรีอยู่หลายเที่ยว
แม่ศรีเอย แม่ศรีสาวสะ ยกมือไหว้พระ ว่าจะมีคนชม ขนคิ้วเจ้าก็ต่อ ต้นคอเจ้าก็กลม ชักผ้าปิดนม ชมแม่ศรีเอย
เมื่อแม่ศรีลุกขึ้นรำ รำได้อ่อนช้อยมาก ลูกคู่ก็กระทุ้งใหญ่ แม่ศรีก็รำไป ฉันชักตื่นเต้นเพราะรู้ว่าเขารำไม่เป็น แต่พอแม่ศรีเข้า รำได้สวยมาก
พอรำ ๆ ไป แม่ศรีด็วิ่งแหวกฝูงคนเข้าไปทางศาลาที่จะไปออกสวนมะลิ ผู้คนแตกตื่นวิ่งตามไป เรียกให้กลับก็ไม่กลับ
เลยวิ่งไปตามตัวไว้ ฉันก็ออกไปดูกับเขาบ้าง และได้เห็นกับตาว่าผู้ชายสี่คนดึงไว้ถึงอยู่ทั้ง ๆ ที่เด็กคนนั้นตัวนิดเดียว เขาพากันดึงกลับมาที่วัด
เด็กคนนั้นฮึดฮัดมากไม่ยอมมา คนอื่นบอกว่าผีพลอย จึงรีบไปนิมนตร์พระที่วัด ดึงเด็กคนนั้นออกมาที่ลาน พระท่านทำอย่างไรฉันไม่เห็น
มีคนหนึ่งนำไม้แบบไม้เรียวมาแล้วหวดลงไปที่เด็กคนนั้น เสียงร้องเป็นเสียงผู้ชาย ฉันอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง หวดได้สามสี่ทีเด็กนั้นก็อ่อนปวกเปียก
ทำท่างงงวยทั้ง ๆ ที่ถูกฉุดกลับมาเสื้อผ้าขาดเกือบหมด ฉันทราบจากพระท่านภายหลังว่า เมื่อเชิญแม่ศรีออกไปแล้ว ผีอื่นที่เป็นชายเข้าผสมรอย
จะจริงเท็จอย่างไรฉันก็พิสูจน์ไม่ได้ ดูเป็นศาสตร์ลึกลับ จึงมาเล่าสู่กันฟัง ตั้งแต่นั้นมา แถวบ้านฉันไม่เล่นเข้าแม่ศรีกันอีกเลย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Wandee
|
ความคิดเห็นที่ 29 เมื่อ 07 ธ.ค. 10, 10:26
|
|
"ฉัน" เล่าเรื่องการเล่นของไทยไว้ มี
ลิงชิงหลัก
หมาไล่ห่าน ห่านมีสิทธิวิ่งหนีเข้าวง (คงเหยียบขาแขนคนนั่งล้อมวงไปกันบ้างล่ะน่า)
ลิงชิงหลัก
โปลิศจับขโมย
ซ่อนหา
เอาเถิด
กระโดดเชือก กระโดดเชือกหมู่
รีรีข้าวสาร
งูกินหาง
สะบ้า "ฉัน" เล่าว่า มีถึง ๔๘ บท ท่านเองเล่นได้แค่ ๒๔ บทเท่านั้น การเล่นพลิกแพลงใช้ลูกสะบ้าไว้ตามที่ต่าง ๆ
ของร่างกาย เช่นเอาไว้ที่น่าอก ท้อง ที่หัวเข่า โดยนั่งคุกเข่าแล้วยิง หนีบไว้ที่เข่าแล้วกระโดด
ไว้ที่ไหล่แล้วหันหลังยิง
ท่านยังเล่าเรื่อง หมากเก็บ
อีตัก
จ้ำจี้
ปั่นแปะ
โพงพาง
ไอ้เข้ไอ้โขง
ซักส้าว
แมงมุม
เสือข้ามห้วย
จูงนางเข้าห้อง และ
เสือตกถัง เป็นต้น
ขอข้ามไปเพราะไม่เช่นนั้นก็จะติดอยู่ที่กระทู้นี้ถึงตรุษจีนค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|