นึกแล้วว่าไม่มีอะไรในอินทรเนตรที่คุณเพ็ญชมพูส่องหาไม่เจอ

เอาอย่างนี้ดีกว่า ขอถ่ายทอดเรื่องราวจากการรับรู้ของลูกหลานท่าน มาให้อ่านกัน ส่วนจะเชื่อหรือไม่เชื่อขึ้นกับวิจารณญาณของแต่ละคนค่ะ
- ลูกหลานของพท.พโยม ซึ่งปัจจุบันอายุประมาณ 80 ปี ไม่เคยได้ยินพ่อพูดถึงคุณสังข์ พัทโนทัยเลย ไม่ว่าในฐานะคนรู้จักคุ้นเคย หรือว่าคนที่เกี่ยวข้องใดๆกับชีวิตการเมืองของท่าน
สมัยนั้น จอมพลป. มีอำนาจเด็ดขาดในการตัดสินใจ ถ้าจะกวาดล้างศัตรูทางการเมือง ก็ทำได้ทันที ไม่มีใครมาขอร้องให้ยกเว้นให้ใครได้
- ลูกหลานรู้ว่าคนที่เป็นปฏิปักษ์ทางการเมืองกับพ.ท.โพยม คือจอมพลป. และพลต.อ.เผ่า ศรียานนท์
- พ.ท. พโยมลี้ภัยการเมือง 2 ครั้ง ครั้งแรกหลังจากเกิดกบฏเสนาธิการ พลต.อ. เผ่าส่งตำรวจมาถึงบ้าน ทำให้ต้องหนี ครั้งนั้นภรรยาของท่านคือคุณวรรณดี จุลานนท์ ได้ติดตามสามีไปอยู่ในป่าชายแดนพม่าด้วย
- เมื่อสิ้นยุคจอมพลป. จอมพลสฤษดิ์ขึ้นเป็นนายกฯ พ.ท.พโยม จึงกลับมาอีกครั้ง มาสมัครเป็นผู้แทน และจัดงานศพคุณหญิงวิเศษสิงหนาทผู้มารดา เมื่อพ.ศ. 2506
- ด้วยนโยบายกวาดล้างการกระทำเป็นคอมมิวนิสต์ ของรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ พ.ท.พโยมต้องหนีอีกครั้ง คราวนี้คุณวรรณดีไม่ได้ตามไปด้วย เพราะมีบุตรเล็กๆถึง 4 คนต้องดูแลอยู่ทางนี้
- พ.ท.พโยมใช้ชีวิตอยู่ในป่า ในนาม "สหายคำตัน" นานหลายปี จนสุขภาพทรุดโทรมลงอย่างหนัก สาเหตุสำคัญคือตกช้างเป็นเหตุให้ร่างกายพิการ เดินไม่ได้ไปซีกหนึ่ง ทางการคอมมิวนิสต์จึงรับตัวไปรักษาพยาบาลที่ปักกิ่ง ท่านก็อยู่อย่างคนป่วยพักฟื้นที่นั่น ไม่ได้กลับไปสู่การสู้รบอีก
- เมื่อไทยกับจีนเปิดสัมพันธไมตรีกัน พลเอกเปรม เป็นทูตไมตรีไปจีน ได้พาพลเอกสุรยุทธ์ซึ่งขณะนั้นเป็นพันเอก ร่วมขบวนไปด้วย พ่อกับลูกจึงได้พบหน้ากันอีกครั้ง
- ตั้งแต่พ.ศ. 2521 พ.ท.พโยมป่วยต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นประจำ แต่ก็ดีใจที่ได้พบหน้าลูกชายซึ่งเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่แล้วในตอนนั้น พ่อกับลูกมีโอกาสพบกันชั่วระยะสั้นๆไม่กี่วัน เป็นการพบกันครั้งสุดท้าย ก่อนสุขภาพท่านทรุดหนักจนถึงแก่กรรมเมื่อพ.ศ. 2523
คนแก่อายุ 70 ร่างกายพิการไปซีกหนึ่ง สุขภาพทรุดโทรมจนทางการจีนต้องรับจากป่าไปอยู่ในกรุงปักกิ่งเพื่อรักษาพยาบาล จะมีเรี่ยวแรงไปกระทำการอะไรที่ต้องใช้แรงอย่างหนัก แม้แต่เดินเหินก็ไม่คล่องอย่างหนุ่มสาว ถูกผลักก็ล้มแล้ว
ในเมืองจีนยุคบั้นปลายชีวิต พ.ท.พโยมไม่ได้อยู่อย่างผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ แต่อยู่อย่างทหารผ่านศึกชรา เจ็บป่วย ตำแหน่งหน้าที่ก็ไม่มีอีกแล้ว ไม่มีอิทธิพลใดๆที่จะปิดปากผู้ใดได้ หากว่าได้กระทำการอันไม่สมควรลงไป ก็ต้องเป็นเรื่องขึ้นมาแน่นอน
จีนในสมัยนั้นเข้มงวดสอดส่องความประพฤติของปัจเจกบุคคลมาก หากว่ามีผู้ไปฟ้องร้องต่อรัฐบาลหรือผู้มีอำนาจ ว่าอดีตทหารผ่านศึกทำร้ายผู้หญิง อย่างน้อยก็ต้องมีการสอบสวนหาความจริง ก็ไม่มีเหตุผลว่าเรื่องนี้ ผู้ที่รู้เห็นเหตุการณ์จะพากันปิดปากเอาไว้หาอะไร จะว่าเพื่อเห็นแก่หน้าท่าน และปล่อยให้ผู้เสียหายซึ่งอ้างว่าตัวเองมีฐานะใหญ่โตเป็นถึงลูกบุญธรรมของอดีตผู้นำ ต้องเก็บความเจ็บช้ำน้ำใจมาบรรยายในหนังสือ ก็ไม่มีน้ำหนักพอจะเชื่อได้เช่นนั้น
นี่คือมุมที่มองจากอีกด้านหนึ่ง คุณนัทชาจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็เป็นสิทธิ์ของคุณ ไม่มีใครว่า ส่วนตัวดิฉัน ไม่เชื่อเรื่องนี้ค่ะ