เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 75 เมื่อ 28 ม.ค. 11, 09:33
|
|
เรื่องการมาพักแรมในพระนคร เป็นเกร็ดความรู้ที่พ.ท.พโยมเล่าไว้ละเอียดพอใช้ เป็นวัฒนธรรมการอยู่อาศัยที่จางหายไปแล้วตามกาลเวลา จึงขอเก็บมาบันทึกไว้ในกระทู้ให้คนรุ่นหลังได้เห็นกัน
เรื่องโฮเต็ลเป็นเรื่องตัดออกไปได้เลยสำหรับคนต่างจังหวัดที่มีกิจธุระมาพักในกรุงเทพ ถ้าไม่ใช่ฝรั่ง ก็ต้องเป็นพวกนักเรียนนอก หรือคนไทยระดับหรูหรามีหน้ามีตา บรรดาชาวบ้านทั่วไป มีที่อยู่อาศัยกันเป็นแหล่งๆ ตามแต่ว่าเป็นคนจังหวัดไหน เป็นที่รู้กันในแวดวง ส่วนใหญ่จะไปพึ่งพระที่เป็นชาวจังหวัดนั้นแต่มาเล่าเรียนอยู่ในเมืองหลวง หรือไม่ก็เป็นพระอาวุโสเป็นที่นับหน้าถือตา พระอยู่วัดไหน ชาวบ้านก็มาขอพำนักอยู่ในกุฏิของท่านในวัดนั้น จนเสร็จธุระก็ลากลับเพชรบุรี ชาวเพชรบุรีมีแหล่งวัดสระเกศ เป็นที่พำนักในคณะ "หลวงปู่แก้ว" รองลงมาคือวัดประยูรวงศ์ ชาวเมืองเพชรเรียกว่า"วัดรั้วเหล็ก" พวกที่มาอาศัยตามวัดแบบนี้มักจะเป็นชาวบ้านชาย หรือถ้ามีผู้หญิงมาด้วยก็มากันเป็นกลุ่มขบวนใหญ่ ล่องเรือมาขอพักเพราะไม่มีญาติจะพักด้วยได้ ส่วนบ้านของฆราวาสที่ชาวเพชรได้พึ่งพิงรวมทั้งแม่ด้วย คือบ้านของพระยาปริยัติฯ ซึ่งขณะนั้นเป็นคุณพระ เพราะท่านเป็นคนโอบอ้อมอารีต้อนรับชาวบ้านอยู่เสมอ และยังเป็นคนกว้างขวางในพระนคร ใครมีธุระปะปังอะไรก็มักจะมาปรึกษาหารือหรือพึ่งพิงขอพักอยู่เป็นประจำ หนึ่งในจำนวนนั้นก็คือแม่ของพ.ท.พโยม
แม้ว่ามีที่พัก และเดินทางรถไฟมาก็สะดวก แต่เข้ากรุงเทพก็ยังมีปัญหาทุลักทุเลอยู่เป็นประจำ อย่างหนึ่งคือ แม่เป็นคนชนบทไม่ชิบกับถนนหนทางบ้านเรือนในเมืองหลวง จนแล้วจนรอด อย่างที่สองคือแม่พูดสำเนียงชาวเมืองเพชร ซึ่งคนเมืองหลวงฟังไม่เข้าใจ จึงปรากฏว่ามีบางครั้งแม่ก็หลงทาง มาถึงท่าช้างวังหน้าแล้วจำไม่ได้ว่าทางไปถนนข้าวสารไปทางไหน จะจ้างรถม้าก็แพงเกินไป จึงจ้างรถลากที่มีคนจีนเป็นคนลาก สมัยนั้นเรียกว่ารถเจ๊ก เจ้ากรรมว่าจีนคนลากรถก็เป็นจีนใหม่ คือจีนเพิ่งเข้ามาอยู่เมืองไทยไม่นาน ฟังสำเนียงชาวเมืองเพชรไม่ออก ก็ลากไปตามบุญตามกรรม พาไปถึงสี่แยกคอกวัวในเวลาพลบค่ำ สมัยนั้นถนนราชดำเนินไม่ได้กว้างขวางโอ่อ่าเป็นระเบียบอย่างที่เห็นกันในรูป แต่เป็นถนนสายเปลี่ยว มีต้นมะฮ็อกกะนีขึ้นทึบ ในยามพลบค่ำแล้วน่ากลัวอันตรายมาก แม่ก็โวยวายให้หยุด จีนลากรถก็ฟังไม่ออก จึงเกิดชุลมุนกันขึ้นมา
หมายเหตุ พ.ท.พโยมบรรยายรถลากไว้ว่า มี ๒ ชั้น ชั้นที่ ๑ เป็นรถลากขนาดเล็ก ที่นั่งเดียว ค่อนข้างสะอาด เป็นที่นิยมของพวกขุนนางหรือพวกคนเมืองหลวงฐานะค่อนข้างดี ราคาแพงกว่ารถลากชั้น ๒ ซึ่งเป็นรถลากที่นั่งคู่ ขนาดเทอะทะกว่า และสกปรก เพราะใช้บรรทุกของด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 76 เมื่อ 31 ม.ค. 11, 08:58
|
|
ระหว่างที่แม่กับจีนลากรถกำลังเอะอะกันอยู่ พูดจากันเท่าไรก็ไม่รู้เรื่อง ก็พอดีมีนักเรียนนายร้อยทหารบกคนหนึ่งเดินผ่านมา แม่จึงร้องเรียกขอความช่วยเหลือ นักเรียนนายร้อยคนนั้นก็เดินเข้ามาช่วยทันที เมื่อจีนลากรถเห็นหนุ่มในเครื่องแบบคาดดาบปลายปืนเดินเข้ามาช่วยผู้โดยสาร ก็ยำเกรง หยุดล้งเล้ง ยอมฟังโดยดี สอบถามกันจนเข้าใจทั้งสองฝ่าย นักเรียนนายร้อยผู้ "มีจิตใจรับใช้ประชาชน" (อย่างที่พ.ท.พโยมเรียกในหนังสือ) ก็สั่งจีนลากรถให้พาแม่ลูกไปส่งที่ปากตรอกถนนข้าวสาร ซึ่งอยู่ถัดจากสี่แยกคอกวัวไปนิดเดียว แม่ประทับใจในตัวนักเรียนนายร้อยมาก คุณงามความดีของเขากลายเป็นภาพประจำใจแม่ตลอดมา พร้อมกันนั้นแม่ก็เริ่มเปลี่ยนความคิดที่จะให้ลูกชายเป็นมหาเปรียญ มาเป็นนักเรียนนายร้อยเช่นเดียวกันกับชายหนุ่มใจอารีคนนั้น และเพื่อเจริญรอยตามพ่อผู้เคยเป็นนักเรียนนายร้อยมาก่อนเช่นกัน
พ.ท.พโยมท่านละเอียดถี่ถ้วนในการบรรยาย เมื่อบอกว่านักเรียนนายร้อยคนนั้นคาดดาบปลายปืน ท่านก็ไม่ลืมอธิบายแถมไว้ด้วยว่า "นักเรียนนายร้อยรุ่นใหญ่สมัยเก่า เมื่อออกนอกบริเวณโรงเรียน ต้องคาดดาบปลายปืน มายกเลิกคาดดาบปลายปืนเอาเมื่อใกล้พ.ศ. ๒๔๗๐"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 77 เมื่อ 01 ก.พ. 11, 18:35
|
|
แม่หอบลูกขึ้นมากรุงเทพฯหลายครั้ง จนเงินทองร่อยหรอ ถึงขั้นอดมื้อกินมื้อ เพื่อติดตามข่าวคราวของพ่อที่มีคนส่งข่าวให้ว่าพ่อย้ายจากเมืองหมากแข้งหรืออุดร กลับมาพระนครแล้ว แต่เที่ยวสืบหาหลายครั้งก็ไม่พบตัวพ่อสักที ญาติพี่น้องก็พากันเวทนาว่าเป็นความเพ้อฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง แต่แม่ก็ยังมีปณิธานแน่วแน่ ในการติดตามถามข่าวพ่อเพื่อให้พบจนได้ เชื่อว่าความดีต้องชนะความชั่ว ธรรมะย่อมชนะอธรรม แม้นไม่ชนะในวันนี้ก็ต้องชนะในวันหน้า สัจธรรมต้องเป็นสัจธรรม
ย้อนหลังกลับไปถึงสาเหตุที่พ่อแม่ลูกต้องพลัดพรากกัน พ.ท.พโยมเล่าว่าเมื่อท่านอายุได้หนึ่งขวบ พ่อซึ่งเป็นนายทหารชั้นพันโทถูกย้ายจากเพชรบุรีแบบสายฟ้าแลบ ไปประจำอยู่อุดร ด้วยสาเหตุที่ไม่ใช่ความผิดของท่านเลย คือฝ่ายมหาดไทย(ตำรวจ)กับทหารในเพชรบุรีเกิดขัดแย้งถึงขั้นปะทะกัน เจ้าเมืองหรือหัวหน้าฝ่ายมหาดไทยซึ่งสืบตระกูลจากขุนนางผู้ใหญ่ซึ่งกินเมืองเพชรบุรีมาหลายชั่วคน ไม่ได้เกรงใจพ่อซึ่งมาจากตระกูลคนสามัญ ก็เลยสั่งย้ายพ่อไปเกือบจะสุดหล้าฟ้าเขียว พ่อตั้งใจจะพาแม่และลูกน้อยไปด้วยกัน แต่แม่ขอไว้ เพราะลูกอ่อนแอและขี้โรค ตอนคลอดก็มีกระเพาะและรกพันอยู่ หมอตำแยต้องฉีกกระเพาะออกถึงรอดมาได้ ถ้าต้องเดินทางตรากตรำบุกป่าฝ่าดงไปถึงอีสานก็เกรงว่าจะตายเสียก่อน แม่จึงยอมถูกทิ้งอยู่ข้างหลัง รอให้ลูกโตจึงค่อยพาไปพบพ่อ ด้วยความรักลูกเป็นแก้วตา ชื่อแรกของพ.ท.พโยมที่แม่ตั้งให้ คือ "แก้ว"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 78 เมื่อ 02 ก.พ. 11, 09:33
|
|
ในความเป็นจริง ที่ญาติคนหนึ่งของพ่อที่ติดตามไปถึงอุดรธานี กลับมาเล่าให้ฟังว่า เมื่อพ่อเดินทางจากเพชรบุรีไปรับตำแหน่งใหม่ รอเวลาให้ลูกโต ร่างกายแข็งแรงพอจะเดินทางได้ก็จะกลับมารับแม่ลูกไปด้วยกัน แต่พ่อไม่ได้ตรงไปอุดรธานี แต่ต้องแวะกรุงเทพเพื่อแวะรายงานตัวเพื่อรับคำสั่งและรับงานที่กระทรวงเสียก่อน ถือเป็นโอกาสเยี่ยมญาติพี่น้องซึ่งเป็นชาวกรุงเทพ และพบเพื่อนฝูงเก่าๆด้วย แต่ขึ้นชื่อว่านครหลวง ไม่ว่าที่ใดก็มีสังคมที่สลับซับซ้อน มีแสงสีน่าตื่นตาตื่นใจ พ่อได้พบปะเพื่อนฝูงเก่าๆ เที่ยวเตร่กันไปตามสถานที่หย่อนใจต่างๆ ตามประสานายทหารข้าราชการ พ่อจึงได้พบหญิงสาวคนหนึ่ง ที่พ.ท.พโยมเรียกว่า "สาวสังคม" เกิดถูกตาถูกใจ เมื่อถึงเวลาต้องเดินทางออกจากพระนครไปอุดรธานี หญิงสาวคนนั้นก็เดินทางไปด้วยในฐานะภรรยา ก่อความตะลึงงันและงุนงงกับผู้ร่วมทางที่มาจากเพชรบุรีด้วยกันอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร
ขออธิบายให้ฟังเพิ่มเติมว่า ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ต่อถึงต้นรัชกาลที่ ๖ ยังไม่มีทะเบียนสมรส ผู้ชายมีภรรยาหลายคนได้ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ถือเป็นเรื่องผิดอย่างสมัยปัจจุบัน ส่วนจะถือว่าใครเป็นภรรยาเอกก็แล้วแต่สามียกย่องใครขึ้นมา โดยมากก็นับจากการแต่งงานออกหน้าออกตาตามประเพณีกับคนไหนก็ถือว่าคนนั้นเป็นเมียเอก ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นภรรยาคนแรกถึงจะได้ตำแหน่งนี้ แม่พลอยไม่ได้เป็นภรรยาคนแรกของคุณเปรม แม่ตาอ้นต่างหากเป็นภรรยาคนแรก แต่เธออยู่ในฐานะสาวใช้ในบ้าน ญาติพี่น้องและคุณเปรมไม่ได้ยกย่อง เมื่อออกจากบ้านไปก็ถือว่าจบกัน ต่อให้ไม่ออกจากบ้าน ยังอยู่ในบ้านก็ยังเป็นเมียน้อยอยู่ดี แม่พลอยต่างหากเป็นภรรยาเอก ได้เป็นคุณหญิงเมื่อคุณเปรมเป็นพระยา เพราะแม่พลอยแต่งงานมีการสู่ขอรดน้ำทำพิธีกันตามประเพณี
เส้นทางเดินทางไปอุดรธานีใน ๑๐๐ ปีก่อน บรรยายไว้ในหนังสือละเอียดลออ เห็นภาพชัดมาก ถ้าท่านลองนึกภาพว่าเราขับรถไปตามถนนไฮเวย์ได้สะดวกสบาย ถึงอุดรธานีในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ก็ลองเทียบกับเส้นทางสัญจรในเรื่องนี้ดูนะคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 79 เมื่อ 02 ก.พ. 11, 10:10
|
|
พ.ท. พโยมให้เกร็ดความรู้ไว้ว่า รถยนต์ในสมัยนั้น คนไทยเรียกว่า "รถมอระคา" (Motor car) หรือเพี้ยนไปเป็นรถ "มรณา" รถยนต์ที่ชาวบ้านในกรุงเทพเห็น ก็เป็นรถในรั้วในวังเสียเป็นส่วนใหญ่ มีถนนไม่กี่สายในเมืองหลวง ชานเมืองยังไม่มีแม้แต่ถนนลาดยางหรือลูกรัง จึงไม่อาจหวังได้เลยว่านอกเมืองออกไปจะมีถนนไปสู่จังหวัดต่างๆ เส้นทางจากกรุงเทพไปอีสาน เริ่มช่วงแรกจากกรุงเทพไปแก่งคอย ทางรถไฟสายอีสานไปด้วนอยู่แค่นั้น ก็ลงรถไฟไปพักที่นั่น รอการถ่ายลำเลียงไปทางอีสานอีกที อีกทางคือไปทางเรือ ชาวบ้านนั่งเรือแจวหรือเรือถ่อ (ไม่มีเรือใช้เครื่องยนต์) ล่องจากเจ้าพระยาไปเลี้ยวเข้าแม่น้ำป่าสัก แล้วไปพักรอที่แก่งคอยก่อนเดินทางต่อ ท่านเล่าว่า ตำบลที่พักคอยเดินทางต่อไปอีสาน เป็นตำบลที่มีแก่งหินใหญ่ จึงเป็นที่มาของตำบล "แก่งคอย"
จากแก่งคอยขึ้นสู่ที่ราบสูง คือระยะทางทุรกันดารอย่างแท้จริง แม้ว่ามีเส้นทางการค้าและเส้นทางยาตราทัพอยู่หลายทาง แต่ทางที่สะดวกที่สุดคือทางที่เริ่มจาก ปากเพียว( หรือต่อมาเรียกว่าปากเพรียว) ไปเริ่มปรับขบวนเดินทางที่แก่งคอย จากนั้นก็ขึ้นทิวเขาใหญ่ ผ่านดงดิบไปออกเมืองโคราช ซึ่งเป็นเมืองใหญ่หน้าด่าน เป็นประตูสู่หัวเมืองอีสาน
จะว่าไป การเดินทางไปอีกสานไม่สลับซับซ้อนเท่าภาคเหนือซึ่งล้วนแต่ต้องผ่านภูเขาสูงชัน เป็นเส้นทางที่ขบวนเกวียนเดินทางได้สะดวก แต่ความยากลำบากอยู่ตรงผ่านป่าทึบดงดิบ ซึ่งเรียกกันในสมัยนั้นว่า ดงพระยาไฟ คนสมัยนี้ขับรถไปกินสเต๊คเนื้อโชคชัย หรือนกกระจอกเทศผัดพริกไทยดำของร้านครูต้อ ที่ปากช่องอย่างสะดวกสบายในวันนี้ คงนึกไม่ออกว่าเมื่อ ๑๐๐ ปีก่อน แถวนี้คือป่าดงดิบมหึมา มีแต่ต้นไม้ใหญ่สูงระฟ้า ด้านล่างก็มีต้นไม้เครือเถาและว่าน มืดทึบจนแสงตะวันส่องลงมาไม่ถึง เต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์ดุร้ายทุกชนิด เรื่อยไปถึงแมลงมีพิษทุกชนิดพร้อมจะทำอันตรายทั้งกลางวันและกลางคืน นอกจากเส้นทางเกวียนลัดเลาะไปในป่า ก็หาหมู่บ้านหรือบ้านช่องผู้คนไม่ได้เลยสักแห่งเดียว ที่สำคัญคือดงพระยาไฟยังอุดมไปด้วยไข้มาลาเรียจากยุงป่า ทำให้คนที่ต้องเดินทางผ่านหรือพักแรม เอาชีวิตมาทิ้งกันมากต่อมาก เป็นป่าที่ผู้คนหวาดกลัวกันมาก จนกลายเป็นโจษจันกันถึงอิทธิฤทธิ์ของภูตผีพรายป่าทั้งหลาย ว่าใครจะผ่านไปโดยไม่เจอเรื่องร้ายต่างๆเป็นไม่มี ใครเอาชีวิตรอดไปได้ก็ถือว่ากระดูกแข็งเอามากๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 80 เมื่อ 03 ก.พ. 11, 10:18
|
|
เพราะความร้ายแรงของป่าที่ทำให้คนเอาชีวิตมาทิ้งเสียมากต่อมาก ป่าตรงนี้ถึงชื่อว่า "ดงพระยาไฟ" เมื่อมีการบุกเบิกรถไฟจากแก่งคอยไปโคราชในเวลาต่อมา ป่านี้ก็เอาชีวิตคนงานเสียนับไม่ถ้วน เพื่อให้ร้ายกลายเป็นดี จึงมีการเปลี่ยนชื่อจาก "ดงพระยาไฟ" เป็น "ดงพระยาเย็น" ขบวนเกวียนของพ่อผ่านดงพระยาไฟไปถึงโคราชได้สำเร็จ จากโคราชทางก็ค่อยสบายขึ้นกว่าตอนแรก แต่ก็ยังลำบากลำบนอยู่ดี เกวียนต้องลัดเลาะไปตามทุ่งหญ้าป่าแพะ (พ.ท.พโยมหมายถึงป่าละเมาะ) บางครั้งต้องผ่าน"ทุ่งทราย" (ในหนังสืออธิบายว่า เข้าใจว่าเป็นทุ่งสัมฤทธิ์)ที่แห้งแล้งร้อนระอุปราศจากน้ำแม้แต่หยดเดียว ขอลอกสำนวนของพ.ท.พโยมมาให้อ่านกัน เมื่อบรรยายเส้นทางทุรกันดารของอีสาน
" ขบวนกองเกวียนของพ่อออกจากแก่งคอย ตัดเข้าดงดิบถึงที่ราบสูง รอนแรมลัดเลาะฟังเสียงวงล้อถูกับเพลาเกวียนไปท่ามกลางความร้อนระอุ เคล้าคลุ้งด้วยฝุ่นทรายที่ขบวนโคลากเกวียนเหยียบย่ำไปนานเท่านาน จวบจนกินเวลาหนึ่งเดือนจึงบรรลุถุงจุดหมายปลายทางคือ "เมืองหมากแข้ง" ต่อจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับพ่อ ก็เงียบหายไป เสมือนหนึ่งได้ถูกขุนเขาและดงดิบพระยาไฟเป็นด่านกักกั้นไว้เป็นเวลาถึง ๘ ปีเต็ม โดยไม่มีข่าวคราวใดๆทั้งสิ้น"
อ่านแล้ว เห็นว่าถ้าพ.ท.พโยมไม่ไปเอาดีทางทหาร น่าจะเป็นนักประพันธ์ได้ดีทีเดียว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 81 เมื่อ 04 ก.พ. 11, 12:24
|
|
ตอนท้ายหนังสือ พ.ท.พโยมเล่าถึงชีวิตหลังจากนั้นอย่างรวบรัด จะเป็นเพราะต้องเร่งเขียนให้เสร็จทันงานศพ หรือต้องการเพียงเน้นถึงชีวิตในวัยเยาว์กับแม่ ก็ไม่ทราบ ท่านเล่าเพียงย่อๆว่า เมื่อไปอยู่อุดรธานีได้ ๘ ปี พ่อก็ได้ย้ายคืนกลับมาพระนคร แต่ไม่ได้ส่งข่าวให้แม่ทางเพชรบุรีทราบ แม่เข้ากรุงเทพฯมาติดตามถามข่าวจากญาติฝ่ายพ่อ จึงทราบว่าพ่อกำลังลำบาก ทั้งชีวิตส่วนตัวและฐานะการงาน เพราะย้ายไปอุดร ๘ ปีพ่อก็ยังเป็น "คุณพระ" เช่นเดิม จะเป็นเพราะมีเรื่องจากเพชรบุรีเป็นชนักปักหลัง หรือว่ามีกรณีใหม่ ลูกชายไม่อาจทราบได้ แต่ก็ยังเคราะห์ดีได้ย้ายกลับกรุงเทพ มาดำรงตำแหน่งใหม่เป็นราชองครักษ์ แต่ตำแหน่งนี้แทนที่จะส่งผลดีให้ก็กลับเป็นโทษ เพราะเป็นตำแหน่งที่จำต้องทำตัวโอ่อ่าให้สมเกียรติยศ ราคาเกียรติยศที่ว่า คือพ่อต้องเช่าบ้านหลังโอ่โถงไว้อยู่ มีรถม้าดีๆเอาไว้นั่งไปทำงานและเข้าเวร ต้องมีเวลาสำหรับเข้าสังคมคนใหญ่โต ล้วนแต่เป็นเรื่องเปลืองเงินทองเกินกว่าเงินเดือนของพ่อ ส่วนภรรยาของพ่อ ก็ทำตัวเป็น "คุณนาย" เข้าวง"ญาติมิตร" เป็นประจำ ให้เปลืองเงินหนักเข้าไปอีก ทั้งๆพ่ออยู่ในฐานะที่ใครๆเห็นว่ามีหน้ามีตา พ่อก็หมองคล้ำ ไม่มีความสุข ภาระส่วนตัวของพ่อก็กลายเป็นปัญหานุงนังแก้ไม่ตก ทำให้ผู้บังคับบัญชาเพ่งเล็งหนักเข้าไปอีก ในภาวะเช่นนั้นเอง ที่แม่ได้มาพบพ่อ พ่อก็ต้องตัดสินใจอย่างหนักว่าจะทำอย่างไรดี ในที่สุดพ่อมองเห็นว่าหนทางที่กำลังเผชิญอยู่นี้มีแต่จะทำให้ชีวิตตกต่ำ ไม่มีสิ่งใดดีขึ้น มีแต่ความล้มละลายรออยู่ปลายทาง พ่อก็ตัดสินใจเด็ดขาดหันหลังให้ชีวิตปัจจุบัน เพราะเล็งเห็นว่ามีแต่จะเป็นภัยพิบัติกับตัวเองและวงศ์ตระกูล
เรื่องเล่าตอนนี้ไม่มีในหนังสือ แต่ว่าได้ข้อมูลจากบุคคลที่รู้เรื่องดีว่า เมื่อพ่อกลับมาหาแม่ ในตอนแรกก็ยังประสานกันไม่ได้เร็วนัก แต่ว่าอาศัยความอนุเคราะห์จากเจ้าจอมอาบ (ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ้าจอมก๊ก อ.) ช่วยประสานความเข้าใจระหว่างพ่อกับแม่ให้ พระนเรนทร์รักษากับภรรยาจึงได้กลับมาใช้ชีวิตร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง เด็กชายพโยมก็อำลาชีวิตเด็กเมืองเพชรมาอยู่ในเมืองหลวง ได้เรียนหนังสือชั้นมัธยม เพื่อเรียนต่อทางด้านทหารตามความประสงค์ของแม่ต่อไป พันโทพระนเรนทร์รักษาได้เลื่อนขึ้นเป็นพันเอกพระยาวิเศษสิงหนาถ ภรรยาจึงได้เป็นคุณหญิงวิเศษสิงหนาถ มีบุตรธิดาอีก ๒ คนคือธิดาชื่อพยูร และบุตรชายคนเล็กชื่อพยศ แต่ต่อมาได้ตัด พ. ออก เหลือแต่ชื่อ ยศ เฉยๆ ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่อ.บางโพ ในกรุงเทพ พระยาวิเศษสิงหนาถถึงแก่กรรมเมื่อพ.ศ. 2468 ปีสุดท้ายในรัชกาลที่ 6 คุณหญิงยังมีชีวิตต่อมาจนถึงแก่กรรมเมื่อพ.ศ. 2490 แต่ได้เก็บศพไว้ รอเผาเมื่อพ.ท.พโยมกลับมาอีกครั้ง เพื่อทำหน้าที่ครั้งสุดท้ายให้มารดา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
bookaholic
|
ความคิดเห็นที่ 82 เมื่อ 18 ก.พ. 11, 13:31
|
|
หลังต้องข้อหากบฏเสนาธิการ พ.ท.พโยมหลุดข้อหาจริงครับ ศาลสั่งยกฟ้อง แต่ท่านก็เดินทางไปลี้ภัยที่เมืองหาง และจากนั้นก็ไปประเทศจีน ประเทศไทยไม่ปลอดภัยสำหรับพ.ท.พโยม ในยุคที่จอมพลป. มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการบริหารประเทศ ที่สำคัญคือเป็นยุคที่ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้ อำนาจของพลต.อ. เผ่า ศรียานนท์มีมากถึงขีดสุด พ.ท.พโยมกลับมาเมื่อจอมพลสฤษดิ์ยึดอำนาจได้แล้ว อำนาจเก่าหมดไป ท่านก็กลับมาเพราะคิดว่าการเมืองไทยน่าจะดีขึ้น แต่ก็ต้องระเห็จลี้ภัยออกนอกประเทศไปเป็นคำรบสองครับ จากนั้นไม่มีโอกาสกลับมาอีกจนถึงแก่กรรม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Jalito
|
ความคิดเห็นที่ 83 เมื่อ 18 พ.ย. 15, 19:41
|
|
ตามรอยพ่อเนตร ลูกชายคู่ทุกข์คู่ยากของแม่เกด ยอดหญิงเมืองเพชร เข้ามาจนถึงกระทู้นี้เลยครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 84 เมื่อ 18 พ.ย. 15, 20:37
|
|
เขาเรียกว่าอินค่ะ อิน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
unming
อสุรผัด

ตอบ: 19
|
ความคิดเห็นที่ 85 เมื่อ 20 พ.ย. 15, 14:56
|
|
เข้ามา ติดตาม อ่าน คะ ชอบเรื่อง ราตรี ประดับดาว และ สองฝั่งคลอง มาก ๆ เวลา ท้อแท้ ก็จะหยิบ 2 เล่มนี้ขึ้นมาอ่าน เคยคิด เหมือนกันคะว่า ในช่วงเวลา วัน พ.ศ. เดียวกัน คนเรามักจะเจอ ปัญหา แตกต่างกันไป ใหญ่ เล็ก อยู่ที่ ความสามารถในการแก้ไข
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
superboy
|
ความคิดเห็นที่ 86 เมื่อ 14 ม.ค. 16, 21:52
|
|
เป็นเรื่องที่น่าติดตามมากครับ โดยเฉพาะข้อมูลประเทศไทยในสมัยก่อน และเรื่องพ่อกับลูกที่ต้องอยู่คนล่ะฝ่ายในสงครามใหญ่
ช่วงนี้ผมพยายามกำจัดทุกข์ในใจเรื่องหนึ่งอยู่ ได้อ่านแล้วรู้สึกว่าตัวเองนี่มันติงต๊องแฮะ แต่พรุ่งนี้ต่อไปอีกร่วมอาทิตย์มีงานสำคัญมากต้องทำก็ทำไปก่อน เดี๋ยวว่างเมื่อไหร่ค่อยมานั่งทุกข์ใจต่อ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นัทชา
อสุรผัด

ตอบ: 37
|
ความคิดเห็นที่ 87 เมื่อ 21 ม.ค. 16, 10:51
|
|
รบกวนถามว่า คุณสิรินทร์ พัธโนทัยได้เขียนบอกเล่าประสบการณ์ชีวิตไว้ในหนังสือ The Dragon's Pearl หรือ ‘มุกมังกร’ เกี่ยวกับ พ.ท.พโยม อย่างไรบ้างครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 88 เมื่อ 21 ม.ค. 16, 11:20
|
|
คุณนัทชาถามเหมือนได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|