เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33479
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 120 เมื่อ 22 ธ.ค. 10, 08:53
|
|
ขอเสริมโปรแกรมด้วยหนัง Jason and the Argonauts หนังเมื่อปี 1963 part 1
part ต่อๆมาหาดูได้ในยูทูป
ฉากเจสันรบกับนักรบโครงกระดูก เป็นฉากเทคนิคทันสมัยที่สุดของฮอลลีวู้ด เมื่อ 40 ปีมาแล้ว เรียกว่า stop motion technique คือเอาวัตถุเป้าหมาย ที่อยู่นิ่งๆ จับให้เปลี่ยนอิริยาบถทีละเล็กทีละน้อย แล้วถ่ายทีละช็อต เมื่อมาเรียงภาพแล้วฉายต่อกันเร็วๆก็จะเห็นเคลื่อนไหวได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 121 เมื่อ 22 ธ.ค. 10, 15:14
|
|
ขอบคุณครับ อาจารย์
อภินิหารขนแกะทองคำ Jason and the Argonauts เป็นหนังเรื่องหนึ่งของบรรดา หนังในตำนานที่ผู้ใหญ่เล่าขานถึง animation ตื่นตาแห่งยุคนั้น ให้เด็กๆ ฟังแล้วใฝ่ฝันอยากดู
Argonaut แปลว่า sailor of the Argo (ชื่อเรือซึ่งตั้งตามนามคนสร้างคือ Argus)
และ Argo ยังมีความหมายว่า The Swift ด้วย จากคำกรีก argos = swift
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 122 เมื่อ 16 พ.ย. 17, 14:26
|
|
ขุดกระทู้มาเติมต่อเพราะเจ้าแมว Quimera ใน สัตว์ประหลาด ๕ http://www.reurnthai.com/index.php?topic=6794.msg159734;topicseen#msg159734 Chimera เป็นตัวประกอบในตำนานวีรบุรุษกรีก Bellerophon โอรสของราชา Glaucus แห่ง Ephyra (Corinth) และพระนาง Eurymede (แต่เทพบดีซูสได้สาปไว้ให้ราชาไม่สามารถมีโอรสได้, บิดาที่แท้จริงของเจ้าชายคือชลธีเทพ Poseidon)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 123 เมื่อ 16 พ.ย. 17, 14:29
|
|
นามเบลลรฟอนนี้ได้มาหลังจากที่เจ้าชายได้สังหาร Bellerus ชนชั้นสูงในเมือง แล้วจึงถูกเนรเทศ เจ้าชายได้ไปพำนักพึ่งพิงราชา Proetus ซึ่งมีชายา Stheneboea ที่ต้องใจในตัวเจ้าชายแต่ถูกปฏิเสธ นางจึง ใส่ร้ายว่าเจ้าชายหมายข่มเหง ราชาวางแผนยืมมือพ่อตาจัดการกำจัดเจ้าชายแทนจึงแนะนำให้เจ้าชายเดินทางไปเมือง Lycia ที่นี่ เจ้าชายได้รับมอบหน้าที่วีรบุรุษ(เสี่ยงตาย) นั่นคือภารกิจพิชิต Chimera อสูรร้ายพันธุ์ผสมที่มีลมหายใจเป็น ไฟสังหารผู้คนที่ผ่านมาใกล้ถ้ำ ตัวตนหลักเป็นสิงห์ มีหัวแพะโผล่ตรงกลางหลัง ส่วนหางเป็นหัวงู บุพการีอสูรนี้คือ Typhon(อสูรอสรพิษร้ายแรงที่สุด หาญกล้าต่อกรกับเทพบดีซูส ) และ Echidna (อสูรครึ่งคนครึ่งงู เป็นมารดาของอสูรร้ายทั้งหลายในตำนาน)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 124 เมื่อ 16 พ.ย. 17, 14:30
|
|
เบลลรฟอนจับม้า Pegasus แล้วบินไปยังถิ่นอาศัยของไคเมียรา และใช้หอกปลายหุ้มตะกั่วแทงเข้าคอ ลมหายใจพ่นไฟหลอมละลายตะกั่วไหลลงอุดกั้นทางเดินหายใจจนไคเมียราวางวาย
ภาพวาดโดย Peter Paul Rubens
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 125 เมื่อ 16 พ.ย. 17, 14:33
|
|
ศัพท์ Chimera ถูกหยิบยืมมาใช้ในทางการแพทย์ หมายถึง คนที่มียีน 2 ชุดในร่างกาย พบได้ในกรณี แฝดจากไข่คนละใบที่สะเต็มเซลล์ต้นทางจากแฝดคนหนึ่งหลุดเข้าไปในไขกระดูกของแฝดอีกคนหนึ่ง อีกกรณีคือ แฝดกำพร้า(อีกแฝดหนึ่งเสียชีวิตในครรภ์) ได้รับเซลล์จากอีกหนึ่งแฝดมาก่อนแฝดนั้นเสียชีวิต ปัจจุบันนี้ที่มีการผสมเทียมแล้วนำไข่มากกว่าหนึ่งใบใส่ในมดลูกทำให้มีการตั้งครรภ์แฝดมากขึ้น จึงน่า จะพบไครเมียราได้มากขึ้นไปด้วย นอกจากนั้นการปลูกถ่ายไขกระดูกเพื่อการรักษามะเร็งเม็ดโลหิต ที่มีการทำลาย ไขกระดูกเดิมของผู้ป่วยก่อนแล้วจึงปลูกถ่ายไขกระดูกของผู้ให้เข้าไปแทนที่ทำให้เม็ดเลือดของผู้ป่วยมียีนใหม่ของ ผู้ให้ในขณะที่ยีนในเซลล์อวัยวะอื่นๆ ของผู้ป่วยยังคงเดิม ส่วนกรณี microchimera คือ คนที่มีเซลล์แปลกแตกต่างปนมาเล็กน้อย อาจจะเป็นเซลล์ของแม่ผ่าน ทางรกเข้ามาหรือในกรณีเซลล์ที่มาจากการให้เลือด
ในขณะที่ Bellerophon ไปปรากฏเป็นชื่อ genus of extinct paleozoic marine molluscs of uncertain position (Gastropoda or Monoplacophora) in the family Bellerophontidae.(วิกกี้)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 126 เมื่อ 29 พ.ย. 17, 10:31
|
|
Medusa
นามธิดาของ Phorcys ปฐมเทพสมุทรและ Ceto ปฐมเทวีชลธี, เป็นหลานของ Gaia เทวีปฐพี และ เป็นน้องสุดท้องของสามดรุณีปีศาจ Gorgon(gorgos - กรีก แปลว่า dreadful)
รูปปั้น Gorgon เป็นอสุรีมีปีก,เส้นผมเป็นงู
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 127 เมื่อ 29 พ.ย. 17, 10:33
|
|
เมดูซา นั้นเดิมมีรูปร่างหน้าตาเป็นสาวผมงามล้ำเหนือใครรวมไปถึงเทวีอธีน่า ตำนานเล่าว่า เธอได้ เอ่ยวาจาปรามาสเทวีเรื่องความงามจึงโดนเทวีสาปให้มีผมเป็นงูและร่างเป็นปีศาจเหมือนพี่สาว ใครมองหน้า เธอต้องกลายเป็นหิน ตำนานสอง - เพิ่มเติมว่า ขณะที่เมดูซาอยู่ในวิหารแห่งพรหมจรรย์ของเทวีอธีน่า เทพโพไซดอนผ่านมา เกิดต้องตาในตัวนางได้ใช้พลังข่มเหง เทวีได้ทีจึงลงโทษนางด้วยข้อหาบังอาจสมสู่ชายในสถานศักดิ์สิทธิ์,สาป นางให้เป็นปีศาจเช่นนี้
(Arnold Bocklin)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 128 เมื่อ 29 พ.ย. 17, 10:37
|
|
ความแค้นเคืองของเทวียังไม่จบลงเพียงเท่านี้ หากแต่ถึงขั้นยืมมือคนอื่นมากำจัด นั่นคือ เพอร์ซีอัส บุตรของเทพบดีซูสกับดานาเอ(ธิดากษัตริย์แห่งอาร์กอส), วีรบุรุษกรีกอีกคนหนึ่ง เพอร์ซีอัสถูกราชาแห่ง เกาะที่มารดามาพึ่งพิงคิดกำจัดให้พ้นทางขวางพระองค์ที่พึงใจในตัวมารดาของเพอร์ซีอัส โดยบัญชาให้ไป สังหารเมดูซาแล้วนำศีรษะมาเป็นของขวัญ เทพร่วมบิดาซูสได้ร่วมด้วยช่วยเหลือน้องชายต่างมารดาโดยมอบของวิเศษเพื่อใช้เดินทางไปยังถ้ำของ นางมารกอร์กอนทั้งสาม เทวีอธีน่านั้นมอบของสำคัญนั่นคือโล่ห์วับวาวราวกระจกเพื่อให้เพอร์ซีอัสใช้มองเมดูซา จากเงาบนโล่ห์ได้ถนัดทำให้สามารถตัดศีรษะเมดูซาได้สำเร็จโดยไม่ต้องมองนางโดยตรง เลือดที่ฉีดไหลออกมาจากคอของเมดูซาเป็นต้นกำเนิดของม้ามีปีก ที่เรียกว่า เพกาซัส
Perseus Fountain, Grottenhof, Residenz, Munich
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 129 เมื่อ 29 พ.ย. 17, 10:47
|
|
ระหว่างทางกลับโดยสายการบินเพกาซัส เพอร์ซีอัสผ่านมาพบเจ้าหญิงแอนโดรเมดาที่ถูกจับมัดบนชายหาด เพื่อเป็นเครื่องสังเวยอสูรร้ายที่มารังควานชาวเมือง เพอร์ซีอัสใช้ศีรษะเมดูซาสาปอสูรเป็นหินแล้วจึงได้ครองคู่กับเจ้าหญิง ก่อนที่จะกลับมาแก้แค้นราชาที่หลอก ไปตายให้กลายเป็นหินด้วยศีรษะเมดูซาเช่นกัน
(Gustave Moreau)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 130 เมื่อ 29 พ.ย. 17, 10:49
|
|
ศีรษะของเมดูซานี้ในที่สุดได้ถูกนำไปประดับโล่ห์ของเทวีอธีน่า และได้กลายมาเป็น
ศัพท์ทางการแพทย์ - caput medusae ใช้เรียกอาการแสดงที่ปรากฏบนหน้าท้องของผู้ป่วยด้วยโรคตับแข็งทำให้เลือดดำไหลผ่านทางหลอดเลือดดำ ในตับสู่หลอดเลือดดำใหญ่กลับไปหัวใจไม่ได้สะดวก มวลเลือดดำจึงต้องหาทางอ้อมกลับผ่านทางหลอดเลือดดำรอบสะดือ ทำให้หลอดเลือดดำเหล่านี้โป่งออกแลเห็นเป็นเส้นสายคล้ายผมงูบนศีรษะเมดูซา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 131 เมื่อ 03 ธ.ค. 17, 11:35
|
|
ในทางชีววิทยา เมดูซาเป็นศัพท์ใช้เรียกระยะตัวเต็มวัย (adult) ของแมงกะพรุนอีกด้วย 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 132 เมื่อ 04 ธ.ค. 17, 10:31
|
|
เมดูซา ยังไปไกลถึง 1,500 ปีแสงบนฟากฟ้า ในนามของเนบิวลาขนาดกว้างสี่ปีแสง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 133 เมื่อ 04 ธ.ค. 17, 10:32
|
|
ที่ใจกลางของเนบิวลานี้ คือดาวฤกษ์ชราที่สลัดเปลือกชั้นนอกออกมาเป็นเมฆสีสดสวย แก๊สสีแดงมาจาก ไฮโดรเจน, ส่วนสีเขียวคืออ็อกซิเจน ชะตาระยะสุดท้ายของดวงอาทิตย์ของเราก็จะเป็นเช่นดังนี้ ก่อนที่จะกลายไปเป็นดาวแคระขาว 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 134 เมื่อ 14 ธ.ค. 17, 09:54
|
|
At last,
Atlas
หนึ่งตนในชนเผ่า Titan รุ่นที่สอง เป็นลูกของ Iapetus เทพแห่งสงคราม กับ Oceanid Asia หรือ Clymene เทพธิดาแห่งมหาสมุทร
(ไททัน - ปฐมเทพก่อน Olympian(บ้างว่าเป็น กึ่งเทพกึ่งอสูร) ตระกูลอสูรสาแหรกที่เก่าแก่ที่สุดในตำนานกรีก สืบสายจากเทพ Ouranos ผู้ปกครองโอลิมปัสกับ Gaea เทวีปฐพี)
ช่วงอภิมหาสงครามระหว่าง Titans และทวยเทพ Olympian แอตลัสเป็นจอมทัพต่อกรแล้วปราชัย เทพบดีซูสลงทัณฑ์ให้ไปยืนอยู่ทางทิศตะวันตกของโลกแล้วแบกฟากฟ้าไว้ (- นึกถึงกรณีครูทำโทษให้ไปยืนกางแขน,คาบไม้บรรทัดหลังห้อง) ภาพหรือรูปปั้นนั้นจัดทำเป็นแอตลัสแบกฟ้าลูกทรงกลมแลละม้ายลูกโลก,บ้างก็เป็นแบกลูกโลก
รูปนี้เป็นแบกลูกฟ้า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|