ถ้าหินฮ่วยเส่งง้ำเอามาทำผักกาดและตัวสัตว์สวยๆอย่างในรูปที่คุณนวรัตนนำมาให้ดู ก็เป็นหินคนละอย่างกับสิงโตจีนตามวัด
ดิฉันยังหาหลักฐานไม่พบว่าสมัยอยุธยาตอนปลาย มีการนำตุ๊กตาจีนมาประดับวัง(หรือวัด)เช่นในรัชกาลที่ ๒ และ ๓ ถ้ามี น่าจะบันทึกไว้ในจดหมายเหตุ หรือหนังสือเช่นคำให้การชาวกรุงเก่า คำให้การขุนหลวงหาวัด ตลอดจนภาพผนังโบสถ์สมัยอยุธยาตอนปลาย น่าจะมีรูปตุ๊กตาจีนวาดประกอบไว้บ้าง
ปรากฏข้อมูลชั้นต้นที่มาจากพจนานุกรมศัพท์ศิลปะ อังกฤษ-ไทย
ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2530 หน้า 6-8 ความว่า
agalmatolite หินตุ๊กตาจีน
หินเนื้ออ่อน สีเขียวอมเทา (ภาษาแต้จิ๋วเรียก หินฮ่วยเส่งง้ำ) มีมากในประเทศจีนและญี่ปุ่น
หินชนิดนี้เมื่อขุดขึ้นมาใหม่ๆ จะมีเนื้ออ่อน มีความร้อน และเมื่อกระทบกับอากาศภายนอกจะขึ้นไอ เหมาะสำหรับแกะสลักเป็นรูปต่างๆเมื่อทิ้งไว้ประมาณ 2 สัปดาห์จะแข็งตัว ตัวอย่างที่เห็นได้ในประเทศไทยได้แก่ ตุ๊กตาและสิงโตในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดอรุณราชวราราม วัดเทพธิดาราม ที่สั่งทำในประเทศจีนและนำเข้ามาเป็นเครื่องบรรณาการในรัชกาลที่ 2 และที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และในขณะขนส่งมานั้นได้ใช้ประโยชน์เป็นอับเฉาเรือด้วย
ตัวแดงนั้น หมายความว่าตุ๊กตาจีนไม่ใช่อับเฉาเรือ แต่เป็นสินค้าตามสั่ง และนำเข้าเป็นเครื่องบรรณาการ การเป็นอับเฉาเรือถือเป็นผลพลอยได้ในการขนส่ง
ก็ถ้ามันเป็นสินค้าธรรมดา มาตั้งแต่สมัยอยุธาตอนปลาย ก็น่าจะเป็นสินค้าธรรมดาต่อเนื่องกันมาถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น เมื่อสถาปนาอาณาจักรใหม่ การค้าก็จะเฟื่องฟูขึ้นมา อะไรที่เคยขายได้ก็น่าจะนำมากันอีก เพราะดีมานด์ยังมีอยู่ แต่นี่ก็ดูว่าจะไม่ใช่เช่นนั้น
นอกจากนี้ได้ข้อสังเกตอีกอย่างว่า ประวัติขุนนางของนายกุหลาบ มีแพทเทิร์นซ้ำกัน ๒ ตระกูลแล้วเท่าที่ได้อ่านมา คือตระกูลบุนนาคและตระกูลบรรพชนของเจ้าคุณจอมมารดาเอม
เป็นขุนนางต่างชาติ เดินเรือเข้ามาสมัยอยุธยา เข้ามาสวามิภักดิ์กับกษัตริย์อยุธยา เลยอยู่ที่อยุธยา ได้เป็นขุนนางไทย ต่อมามีความดีความชอบปราบกบฎได้ จึงเลื่อนเป็นขุนนางใหญ่
กำลังหาประวัติตระกูลอื่นๆอยู่ว่าจะมีแบบนี้คล้ายๆกันหรือไม่